เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อฉันติดโควิดเมื่อฉันรีวิวหนังสือ
Day 11
  • Day 11

    วันนี้ฉันตื่นมาพร้อมกับเสียงโทรทัศน์ เอาจริงๆ ฝันเมื่อคืนเป็นฝันที่ดีมากเลยนะ ฉันฝันว่าฉันได้เจอเพื่อนสมัยประถมอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ฉันก็ได้พูดคุยว่าเพื่อนแต่ละคนตอนนี้ทำอะไร เรียนอะไรกันบ้าง ช่างเป็นฝันที่ช่วงให้คิดถึงอดีตตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ สาเหตุที่เมื่อคืนนอนดีน่าจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนฝนตกด้วยแหละ ดีจังเลยนะ ไม่ได้นอนหลับสนิท ฝันดีแบบนี้มานานแล้ว 

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องเรียนออนไลน์ เอาจริงๆ ฉันไม่ต้องเขียนเยอะก็ได้เพราะเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไง ใช่ค่ะ หลังจากฉันเข้า class ไปได้ครึ่งชั่วโมง เน็ตก็หลุด ฉันก็เลยเลิกเรียนแม่ง (อีกแล้ว) ให้ตายสิ พอออกจาก hospitel ฉันต้องมานั่งเรียนย้อนรัวๆ แน่ๆ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

    วันนี้ก็เป็นวันที่ 11 แล้ว อีกแค่ 2 วันฉันก็จะได้ออกจาก hospitel แล้ว ในที่สุดฉันก็ได้หลุดพ้นจากที่นี้แล้วค่ะทุกคน! (ปรบมือ) แต่วันพรุ่งนี้พี่น้อยกับพี่โอ๋ก็จะออกจาก hospitel แล้ว ใจหนึ่งก็ดีใจที่ฉันจะได้เป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องสักที แต่อีกใจหนึ่งก็เหงา เพราะฉันจะไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้เจอพี่ทั้งสองคนอีกครั้งหรือเปล่า พี่น้อยเนี่ยไม่น่ายากเพราะพี่น้อยเปิดร้านอาการแกงใต้ที่ดิโอลสยาม (คุยกับแม่แล้วว่าเดี๋ยววันหลังจะลองสั่งข้าวจากร้านพี่น้อยมากิน - เอาจริงๆ การมาอยู่ hospitel ครั้งนี้ทำให้ฉันกินอาหารใต้เป็นเฉยเลย กินเป็นทั้งแกงไตปลา แล้วก็คั่วกลิ้งด้วย พี่น้อยคือเปิดโลกมากๆ 555) แต่พี่โอ๋เนี่ยสิ ไม่รู้จะได้เจอกันอีกไหม เพราะพี่โอ๋ก็ทำงานเป็นแผนกรับเงินที่ TOT ซึ่งเอิ่ม ฉันก็ไม่น่าจะมีธุระอะไรกับ TOT เลย จะว่าไปแล้วการมากักตัวครั้งนี้มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอยู่นะ ได้รู้จักกับคนแปลกหน้าแล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องด้วยกันเป็นเวลาตั้ง 14 วันแหนะ แต่พอออกแล้วก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง แล้วก็อาจจะไม่ได้วนกลับมาเจอกันอีกเลย ทุกอย่างเหมือนไม่ใช่ความจริงเลยว่าไหม แต่สำหรับฉันแล้วความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นที่นี้คือเรื่องจริง ทั้งเรื่องที่สั่งอาหารอีสาน อาหารใต้มากินด้วยกัน บ่นอาหารที่ hospitel ด้วยกัน ดูละครด้วยกัน คุยเล่นกัน ทุกอย่างคือความจริง และจะเป็นประสบการณ์ที่ฉันจะไม่มีวันลืม (เอาจริงๆ คือพี่น้อยกับพี่โอ๋วางแผนให้ด้วยซ้ำว่าแบบหลังพี่เขาออกไปแล้วจะเหลืออาหารที่สั่งมาไว้ให้ มีทั้งมาม่า ต้มแซ่บ แล้วก็ขนมอย่างอื่น พี่น้อยกับพี่โอ๋บอกว่าเหลือเอาไว้ให้นี่จะได้มีอะไรกิน - ฮือออ พี่เขาน่ารักกันมากๆ เลยนะ TT) 

    นอกจากนี้ ประสบการณ์ดีๆ อีกอย่างของวันนี้คือการที่ได้รู้ว่าเพื่อนคนจีนก็ชอบนักเขียนคนเดียวกัน คือนี่ลงรูป ‘รหัสลับพันธุกรรม’ ของเคโงะไป แล้วเพื่อนที่เป็นคนจีน ชื่อย่อ ว. ก็มาบอกว่าชอบนักเขียนคนเดียวกันเลย คือเอาจริงฉันกับ ว. อะเคยเรียนด้วยกันตั้งแต่ปี 1 แล้วแต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรเพราะอยู่คนละกลุ่ม การที่ได้รู้ว่า ว. ชอบนักเขียนคนเดียวกันเนี่ยเป็นอะไรที่ surprise ฉันมากๆ (เพราะเพื่อนที่มหาลัย แบบรุ่นเดียวกันไม่ค่อยมีใครอ่านหนังสือแนวเดียวกันเท่าไร) เอาจริงๆ ตอนคุยเนี่ยก็ลำบากเหมือนกันนะ อย่างตอนที่ถามว่าชอบเล่มไหนเนี่ย คือเราก็ต้องคุยกันโดยใช้ชื่อภาษาอังกฤษของเล่ม คือมือนึงคุยอีกมือก็นั่งหาว่าเล่มที่ ว. พูดถึงเนี่ย ภาษาไทยชื่ออะไรนะ 555 (สุดท้ายก็โดน ว. ป้ายเล่ม ‘พระอาทิตย์เที่ยงคืน’ ไป และนี่ก็เลยป้ายเล่ม ‘ความลับใต้ทะเลสาบ’ กับ ‘ความลับ’ ไป - เอาจริง งง มากว่าทำไม ว. ยังไม่ได้อ่าน 2 เล่มนี้โดยเฉพาะเล่ม ความลับ ทั้งๆ ที่เป็นเล่มที่ดังมากๆ) นอกจากนี้ก็ได้ insight เกี่ยวกับความนิยมของเคโงะที่จีนด้วย คือ ว. เล่าให้ฟังว่าเคโงะคือดังมากๆ ที่จีน แบบผลงานของเคโงะติดอันดับ 1 นิยายสืบสวนตลอด แล้วคนที่อ่านหนังสือเกือบทุกคนก็คือรู้จักเคโงะไม่ก็ผลงานของเคโงะ ขนาด สนพ. ยังออก limited edition หรือ unique version ของนิยายของเคโงะเลย (ฟังแล้วคืออิจฉามาก อยากได้ version limited edition บ้างอ่าาา TT) นอกจากนี้คือหน้าปกของนิยายเคโงะของที่จีนก็คือสวยมากกก แบบหันกลับมาดูหน้าปกของไทยแล้วเศร้าเลย ฮืออ ว. ก็บอกว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเคโงะอาจจะไม่ได้ดังในไทยเท่าที่ดังที่จีน ซึ่งนี่ก็ว่ามีความเป็นไปได้เพราะแค่ประชากรที่ชอบอ่านหนังสือของจีนก็น่าจะนำไทยไปเยอะแล้ว ก็ไม่แปลกที่หนังสือเขาจะดูดีกว่า TT (แต่นี่ก็เคยอ่านสัมภาษณ์ของ Daifuku publishing ที่ตีพิมพ์หนังสือของเคโงะเยอะๆ เหมือนกัน เจ้าของ สนพ บอกว่าที่ออกแบบหน้าปกแบบนี้เพราะอยากลดต้นทุนการผลิตหนังสือให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ว่าคนจะได้ afford หนังสือได้) หลังจากนั้น นี่ก็เลยถามเรื่องพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนจีนไปนิดนึง ว. บอกว่าปัจจุบันนิยายออนไลน์คือได้รับความนิยมมากๆ โดยเฉพาะแนวแฟนตาซี (ซึ่งนี่ไม่แปลกใจเลยเพราะเคยเห็นนิยายแปลจีนผ่านตามาบ้างซึ่งส่วนมากก็คือเป็นแนวแฟนตาซีทั้งนั้นอย่างเช่นเรื่องที่มี setting เป็นโลกในอนาคตแบบอวกาศที่มีเผ่าพันธุ์หลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่ก็แนวแบบทะลุมิติไปอยู่ในโลกที่มีสัตว์อสูรอะไรแบบนี้ ซึ่งนี่ก็ชอบอ่านนะ มันน่ารักดี 5555) แต่จากที่ถามมา ว. บอกว่าตอนนี้คนจีนชอบอ่าน ebook มากกว่าหนังสือแบบ physical book ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนไปห้องสมุดแล้ว ส่วนมากก็คือใช้อินเตอร์เน็ตเป็นหลักกันหมดแล้ว เล่น Tiktok, ดูซีรี่ย์เกาหลี, อ่านนิยายรักออนไลน์ อะไรแบบนี้ คือคุยกับ ว. แล้วได้ความรู้ขึ้นเยอะเลย ความจริงก็อยากคุยมากกว่านี้นะ แต่ก็เกรงใจ ว. ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีเพื่อนคนจีนที่สามารถคุยกันแบบนี้ได้อีกเยอะๆ จังเลยนะ แต่เหตุการณ์วันนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งกับความพิเศษของหนังสือมากๆ แบบว่าฉันสามารถ connect สามารถพูดคุยกับเพื่อนคนจีนที่ปกติไม่คุยกันได้เพียงเพราะว่าเราชอบนักเขียนคนเดียวกัน หนังสือเนี่ยมันวิเศษจังเลยนะ แล้วการที่ได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกับเราก็เป็นเรื่องที่วิเศษมากๆ เหมือนกัน 

    สำหรับวันนี้ก็ประมาณนี้แหละ ไปแหละ บรัยยย


    ปล. วันนี้หนังสือที่สั่งเมื่อวันที่ 8 มาส่งแล้วแหละ อยากกลับไปอ่านไวๆ จังเลยนะ แต่ว่าหนังสือที่สั่งให้พี่ลี่ยังดูไม่เคลื่อนไหวเลย อยากให้หนังสือถึงมือพี่ลี่เร็วๆ จังเลย อยากรู้ว่าพี่ลี่จะชอบไหม 

    ปล 2. วันนี้ได้คุยเรื่องพี่โอ๋ด้วยแหละ แต่ก่อนจะเล่าว่าฉันคุยเรื่องอะไรไป ฉันอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ตั้งแต่เด็กๆ ฉันก็พอจะรู้แล้วว่าฐานะทางบ้านของตัวเองหนะ อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าค่าเฉลี่ย ตอนเด็กๆ ฉันจะรู้สึกภูมิใจมากเวลาบอกให้คนอื่นรู้ว่าบ้านของฉันทำอะไร ถ้าให้พูดตรงๆ หละก็ฉันรู้สึกว่าฐานะทางบ้านของฉันทำให้ฉันดูสูงส่งกว่าคนอื่น แต่พอโตมา ทุกคนเชื่อไหม ฉันกลับรู้สึกกระดากปากทุกครั้งเมื่อต้องบอกว่าบ้านของฉันทำอะไร โดยเฉพาะเวลาที่ต้องพูดกับคนที่ไม่สนิท ฉันรู้สึกว่าฉันขี้โกงเหลือเกินที่เกิดมามีฐานะมากกว่าคนอื่น และมีชีวิตที่สะดวกสบายมากกว่าคนอื่น เมื่อคืนพี่น้อยถามฉันเรื่องเรียนและเรื่องหอ ฉันเลยบอกไปว่าเรียนที่จุฬา แล้วหอก็คืออยู่แถวจุฬานั้นแหละ ค่าหอต่อเดือนก็ประมาณหมื่น (ความจริงคือเกือบสองหมื่นนั้นแหละ แต่บอกไปว่าประมาณหมื่น) แล้วพี่น้อยก็ถามประมาณว่าอยู่แถวจุฬาแบบนี้ได้เงินค่าขนมเดือนละเท่าไร ฉันเลยบอกไปว่าได้ประมาณหมื่น (โดยที่ไม่ได้จ่ายค่าหอเอง) แล้วบ้านฉันมีลูกสามคนแล้วแต่ละคนก็คือได้ค่าขนมเท่ากันหมด ซึ่งถ้ารวมค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่ฉันต่างจ่ายต่อเดือนก็คือแค่ค่าขนมก็สามหมื่นแล้ว คุยไปคุยมาก็เลยได้รู้ว่าพี่โอ๋ทำงานเป็นพนักงานการเงินของ TOT โดยเงินเดือนอยู่ที่ประมาณสองหมื่นเอง คือฉันฟังถึงตรงนี้แล้วฉันรู้สึกแย่มาก ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกผิดนี้อย่างไง ฉันรู้สึกว่าฐานะการเงินของฉันกับพี่โอ๋ต่างกันเหลือเกินฉันฉันก็รู้สึกแย่กับความจริงข้อนี้มาก ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีอยู่จริง และฉันเกลียดมัน 

    นอกจากนี้ตอนเย็นวันนี้ฉันยังได้รู้เรื่องชีวิตของพี่โอ๋อีก พี่โอ๋เล่าให้ฟังว่าสามีของพี่โอ๋เคยประสบอุบัติเหตุมาก่อนนั้นก็คือตกจากสไลเดอร์ (คือตอนแรกฟังก็แบบห้ะ??) แต่จากอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้สามีของพี่โอ๋กลางเป็นคนพิการ ทำงานไม่ได้ (คือจำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คล้ายๆ กับว่าข้อเขาเลื่อน แล้วดันไปทับตรงเส้นกล้ามเนื้อตรงขาอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ทำให้เดินไม่ได้ แล้วก็ต้องผ่าตัดใหญ่ร่วม 6 ชั่วโมง) ปัจจุบันก็คือสามีพี่น้อยก็คือต้องใส่ขาเทียม แล้วก็ทำงานไม่ได้ คือฉันฟังแล้วรู้สึกว่าชีวิตพี่โอ๋คือน่าสงสารมาก (ยิ่งล่าสุดคนทั้งบ้านก็ติดโควิดอีก) แต่นั้นก็ยิ่งที่ให้ฉันประทับใจในตัวพี่โอ๋ขึ้นไปอีก เพราะถึงแม้ชีวิตของพี่โอ๋อาจจะดูไม่ราบเรียบ แต่พี่เขาก็ยังคงยิ้มอยู่ได้ แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กินอื่น นอนหลับ ฉันว่าพี่โอ๋เก่งมากเลยนะที่ยังมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ได้ ฉันขอนับถือพี่เขาจากใจจริงเลย ขอให้ชีวิตที่เหลือของพี่โอ๋มีความสุขมากๆ แล้วก็ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in