- วันที่สอง -
แผนการวันนี้ของเราคือ ตักบาตรตอนเช้าที่สะพานมอญ ไปเยือนถิ่นพม่า ด่านเจดีย์สามองค์ ทัวร์วัดใต้น้ำ (ส่วนหนึ่งของแผนการเราได้รับคำแนะนำมาจากพี่ที่เกสเฮ้าค่ะ ขอบคุณพี่มากๆที่ให้ความช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างดีค่ะ)
วันนี้เราต้องตื่นตีห้าครึ่งเพื่อที่จะได้ไปตักบาตรตอนเช้าให้ทันหกโมงค่ะ แต่ทว่า...พอพวกเราตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกา 7 โมงแล้วค่าาาา เราพลาดการตักบาตรตอนเช้าไปแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวจะเยอะกว่าวันธรรมดา จึงมีพระออกมาเยอะแล้วเดินแถวยาวข้ามสะพานค่ะ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาเราต้องเดินข้ามสะพานไปฝั่งมอญเพื่อตักบาตรค่ะ ที่นั่นจะมีร้านขายชุดตักบาตรอยู่หลายร้านราคาชุดละ 99 บาท แถมมีบริการให้ยืมชุดแต่งเป็นชาวมอญฟรีด้วย แอบเสียดายนิดๆที่มาไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรค่ะพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ ยังเหลืออีกวัน
ในเมื่อเราพลาดแพลนแรกของวันไป เราจึงรีบเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่ากันค่ะ ก่อนออกเราก็ทานอาหารเช้าที่เกสเฮ้าก่อน บรรยากาศดีมากกินไปชมวิวไป ฟินมากๆ และอาหารก็อร่อยเช่นเคยค่ะ
ออกเดินทาง...เราให้บริการของทางเกสเฮ้าให้ไปส่งเราที่ป้ายรถสองแถว เพื่อที่จะนั่งต่อไปชายแดน โดยรถสองแถวจะมีเป็นรอบ ออกทุกๆครึ่งชั่วโมง ราคา 30บาท/คน ค่ะ นั่งรถสองแถวประมาณ 20 นาทีก็ถึงปลายทางซึ่งมีพี่วินจอดอยู่มากมาย พี่คนขับสองแถวก็ลงมาถามเราว่าจะเหมาคันพี่เค้าเข้าไปเที่ยวต่อในพม่าไหม หรือ จะจ้างวินมอเตอร์ไซต์ ตอนนั้นก็ลังเลก็เพื่อนว่าจะเอายังไงดีวะ เพราะราคาพอๆกัน 300บาท/คน สรุปก็เลือกจ้างพี่วินเข้าไปค่ะ เพราะคิดว่าน่าจะได้เห็นสองข้างทางที่ชัดเจนกว่า ได้สัมผัสสิ่งรอบข้างมากกว่า แล้วเราก็ย้ายตัวขึ้นวินคนละคันเลยค่ะ พี่เขาก็พาเราซอกแซกเข้าไปในซอยหนึ่ง พี่วินก็จอดหน้าประตูสังกะสี ซักพักก็มีคุณลุงมาเปิดประตูให้ แล้วพี่วินก็จ่ายตังค์ 20 บาท ไอเราก็งงว่าจ่ายค่าไรหว่าา
มารู้เอาทีหลังว่าไอประตูนั้นที่พี่วินพาเราผ่านเข้าไปในเขตพม่า มันคือการแอบเข้าไปในประเทศเค้าโดยไม่ได้ผ่านด่าน ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายมั้ยอ่ะ แต่ก็ได้เข้าไปเที่ยวหลายที่เลย555 จากที่เราอ่านรีวิวก่อนมา คือ ถ้าเราจะข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่าเราต้องเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ โดยต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน และ เสียค่าเข้าที่มากกว่ายี่สิบบาท แต่ก็เอาเถอะไม่โดนจับก็ดีแล้ว
หลังจากที่เราข้ามไปฝั่งพม่าแบบงงๆแล้ว พี่วินก็พาเราไป วัดเสาร้อยต้น และอีกหลายวัด ซึ่งจำชื่อไม่ได้555 พาไปตลาด มีขายของที่ระลึกของฝาก แล้วก็มาจบด้วยวัดเจดีย์สามองค์ค่ะ
วัดเสาร้อยต้น (แต่พี่เค้าบอกว่ามีเกินแล้ว ทำเพิ่ม)
พื้นที่นั่นเป็นดินแดงทั้งหมด ฝุ่นจะเยอะหน่อยเวลาเรานั่งมอเตอร์ไซต์ ระหว่างทางได้ผ่านบ้านเรือนของคนที่นั่นแล้วก็ทำให้รู้ว่า "คนพม่านี่ต้องทา ทานาคา กันทุกคนจริงๆนะ"
เมื่อเที่ยวเสร็จ พี่วินก็พาเรามาส่งที่เดิม เพื่อรอรถสองแถว พอลงรถเราก็กำลังจะจ่ายเงิน พี่วินคันของเราก็พูดขึ้นมาว่า "พี่ขอเพิ่มได้มั้ยครับ" หื้ม ไอเราก็งง คือคิดว่าแค่ 300 บาทก็แพงแล้วนะ
"...ไม่ใช่สามร้อยหรอพี่?" เราถาม
"ก็พวกน้องถ่ายรูปกันนาน พี่เสียเวลาเยอะแล้วยังมีค่าผ่านประตูอีก" พี่เค้าตอบ (อ๋ออเรื่องนี้เอง ค่าผ่านประตูแค่ 20 เองนะพี่! ไม่จ่ายเว้ย)
"โหพี่ 300 เหอะนะ เดี๋ยวจ่ายค่าผ่านประตูให้น้า" เราอ้อนวอน
พี่เค้าก็ลังเล "พี่ขอ 400" (เอ้า ไม่จบ) พอดีเพื่อนเราจ่ายตังค์อีกคันนึงเรียบร้อยแล้วเดินมาหาเรา เราถามเพื่อนก็บอกว่าจ่ายไป 300 เอง
เรา "พี่เพื่อนเราก็จ่าย 300เองนะ" พี่ิวินคันเราก็หันไปคุยกับคันของเพื่อนเรา
พี่วิน "ก็ได้ๆ " แล้วก็บ่นๆ เราก็จ่ายไป 320 ให้พี่เขา
จบเรื่องพี่วิน กับเพื่อนก็เดินมารอรถสองแถวเพื่อกลับไปที่เดิม ตอนนั้นประมาณเกือบบ่ายโมงแล้ว เราสองคนหิวมากๆ เลยตัดสินใจจะไปกินขนมจีนมอญที่ฝั่งหมู่บ้านมอญกัน พอลงจากรถ เราก็นั่งวินต่อไปลงสะพานมอญแล้วเดินข้ามฝั่งไปเพื่อกินขนมจีนร้านป้าหยิน พอถึงฝั่งหมู่บ้านมอญร้านจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ไม่ไกลมาก จัดไปขนมจีนมอญคนละจาน ตอนที่เราไปกินเหลือ น้ำยาอยู่สามแบบ มีน้ำยาปลา น้ำยาหยวกกล้วย แล้วก็แกงฮังเลหมู ที่พิเศษของร้านนี้คือ เค้าใช้น้ำมะขามเปียกแทนน้ำส้มสายชูค่ะ อร่อยมากๆ
หลังจากท้องอิ่มกันแล้ว เราก็แอบมาเดินเล่นที่หมู้บ้านมอญกันนิดนึง เดินมาเจอร้านขายของเล่น ด้วยความอยากเล่นเราเลยซื้อน้ำยาที่เป่าออกมาแล้วเป็นฟองสบู่ ย้อนวัยสุดๆ เราก็เป่าไปเดินไปถ่ายรูปไป พอเดินมาถึงจะข้ามสะพานมอญ ก็เจอน้องๆตัวเล็กๆสามคน เค้ามองเราเล่นเป่าฟองสบู่ใหญ่เลย เราเลยถามน้องเค้าว่าเล่นมั้ย น้องเค้าก็พยักหน้าแล้วบอกว่าเล่น แล้วเค้าก็เอาไปเล่นกันสามคน ไอเราก็ยืนดูน้องเค้าเล่นอยู่ดีๆ ก็มีคุณน้าเข้ามาถามว่า "ปะแป้งมั้ยจ้ะ" ไอเราก็แบบปะดีมั้ยวะ เดี๋ยวต้องไปต่อด้วยเดี๋ยวถ่ายรูปไม่สวย แต่สรุปก็ปะค่าไหนๆก็มาแล้วปะซักหน่อย มีรูปให้เลือกด้วย เราเลือกรูปยอดฮิตที่เหมือนดาวกระจาย ส่วนเพื่อนเราเลือกรูปดอกไม้ น่ารักดีค่ะ พอป่ะเสร็จเราก็หันไปหาน้องๆกะจะขอที่เป่าคืน แต่พอหันไปเห็นน้องเค้าเล่นกันสนุกมาก หัวเราะกันใหญ่ เลยคิดว่าให้น้องเค้าไปเลยก็ได้ เลยบอกน้องเค้าว่า "พี่ให้น้องเอาไปเล่นเลย แต่พวกน้องต้องมาช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยโอเคมั้ย"
น้องเค้าก็ตกลงทันที เรากับเพื่อนก็ดีใจมีคนถ่ายรูปคู่ให้แล้ว555
น้องๆที่มาถ่ายรูปให้เราค่ะ
พอถ่ายรูปเสร็จ เราก็ร่ำลาน้องๆ แล้วเดินไปหาทัวร์เพื่อไปต่อวัดใต้น้ำกัน ทัวร์มีสองแบบ ทัวร์สามวัด กับ ห้าวัด และเนื่องด้วยเรามีงบน้อย555 เราจึงเลือกไปแค่สามวัด คนละ 250 ค่ะ ก็จะมีวัดวังก์วิเวการาม(เก่า) หรือวัดจมน้ำ วัดศรีสุวรรณ(เก่า) และวัดสมเด็จ(เก่า)
ซึ่งวัดวังก์วิเวการาม หลังจากที่การไฟฟ้าได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมเสร็จ ทำให้น้ำท่วม ท่านหลวงพ่ออุตตมะจึงให้ย้ายวัดขึ้นมาอยู่บนเนินเขาตรงที่อยู่ปัจจุบัน ส่วนวัดเก่าซึ่งอยู่ใต้น้ำ จึงเป็นวัดร้างและเห็นได้เฉพาะช่วงที่น้ำลดเท่านั้น จุดนี้จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย
ขึ้นเรือกันเล้ยยย...
วัดแต่ละที่ก็จะมีความขลัง ถึงจะดูเก่า แต่ก็ยังมีล่องรอยความสวยงามของสถาปัตยกรรมหลงเหลืออยู่ ให้เราให้มาชมความงามกัน บางที่ก็จะมีมัคคุเทศก์น้อย มาคอยบรรยายถึงประวัติของสถานที่นั้นๆ เด็กแต่ละคนพูดกันเก่งมาก จนบางทีเราก็ยังต้องอายน้องเขาเลย พูดเก่งจริงๆ
พอเราทัวร์ครบสามวัดเรียบร้อย พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับไป สายฝนกำลังจะมาเยือนแทน พี่ไกด์ของเราเลยบอกให้รีบหน่อยเดี๋ยวฝนตกแล้วจะกลับไม่ได้ เรารีบถ่ายรูปแล้วก็รีบลงเรือทันที ระหว่างทางกลับที่พักเราก็ได้ชมพระอาทิตย์ตกดินบนเรือ เป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆค่ะ (ที่เกสเฮ้าท์ของเรามีท่าเรือด้วย พี่เค้าเลยไปส่งเราที่เกสเฮ้าท์เลยค่ะ สะดวกมากๆ) พวกมาถึงที่พัก เราก็จัดแจงจ่ายเงินพี่เค้า แล้วพี่เค้าก็ถามเราว่า "ไปตักบาตรกันมายัง"
เราก็ตอบว่า "ยังเลยค่ะ" ( เพราะตื่นสายอ่ะค่ะพี่ )
พี่เค้าก็ถาม "เนี่ย ถ้าจะไปตักบาตรนะก็โทรหาทัวร์ของพี่ได้ เดี๋ยวจะขับเรือมารับ" แล้วพี่เค้าก็ยื่นนามบัตรมาให้
เราตอบ "ได้เลยค่ะพี่ เดี๋ยวโทรไปนะคะ"
วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) หรือ วัดจมน้ำ
เรากับเพื่อนก็เอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วก็ไปอาบน้ำกัน เพราะตัวเหนียวมาก พออาบน้ำเสร็จก็ประมาณสองทุ่มแล้ว ฝนก็เริ่มโปรยลงมา เราสองคนเลยตัดสินใจทานข้าวเย็นที่เกสเฮ้าท์ คราวนี้เราสองคนสั่งกันแบบจัดเต็มมาก เพราะใช้พลังงานไปเยอะต้องหาของมาทดแทนค่ะ(หัวเราะ) เราสั่งกับข้าวไปสามอย่าง กับข้าวสวยสองจาน (ค่าเสียหายประมาณคนละ 200 บาท)
ระหว่างทานข้าว ฝนก็ตกหนัก ทำให้บรรยากาศดีมากๆอากาศเย็นสบาย ลูกค้าก็น้อย เราเลยรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของสถานที่(หัวเราะ) พอทานเสร็จเราก็นั่งเล่นดูวิวไปเรื่อยเปื่อยจนถึงสี่ทุ่มกว่า แล้วค่อยกลับเข้าห้อง
ก่อนเข้านอนเราก็วางแผนกับเพื่อน ว่าพรุ่งนี้จะอะไรยังไงบ้าง เราสรุปตรงกันได้ว่า จะไปตักบาตรตอนเช้าโดยให้ทัวร์ของพี่เค้ามารับ เลยรีบโทรไปตอนนั้นเลย เป็นเสียงคุณลุงรับสาย เราก็จัดแจงนัดแนะเวลากับคุณลุงเค้า แล้วเราก็เข้านอนค่ะ
ฝันดีค่ะ (คืนสุดท้ายของที่นี่แล้ว)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in