เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการเดินทางbee_nis
สังขละบุรี (ถิ่นของชาวมอญ)
  • #bbinsangkhla
    กลับมาอีกแล้วค่า หลังจากหายไปนานเน้อะ^^  ครั้งนี้เราจะมาบันทึกการเดินทางครั้งล่าสุดของเราที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีค่ะ 
    ความจริงทริปนี้เราไปมาซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่ก็เพิ่งจะมีเวลามาแบ่งปันให้ชาวminimore ได้อ่านกันนี่แหละค่ะ

    เริ่มเล้ยยยยย....
          การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นแบบกระทันหันมากๆ ผู้ร่วมทริปในครั้งนี้จึงมีทั้งหมด 2 คนถ้วนค่า ก็คือเรากับบีจินคนเก่าคนเดิม เราเป็นคนไม่ค่อยซีเรียสเรื่องจำนวนความมากเท่าไหร่นะ บางคนบอกว่าคนไปเยอะๆดีกว่าจะได้มีเพื่อนช่วยแชร์ค่านู่นนี่นั่น เราว่ามันก็จริงแต่มันก็จะวุ่นวายหน่อยๆ

    ทริปนี้เราไปทั้งหมด 3 วัน วันที่ 1-3 เมษา 60 (เสาร์-อาทิตย์-จันทร์) 

    - วันที่หนึ่ง -

          ออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถตู้ที่สถานีขนส่งหมอชิต2 ปลายทางคือตัวเมืองกาญจนบุรีค่ะ
    พอพวกเรามาถึงสถานีขนส่งที่เมืองกาญแล้ว เรายังต้องต่อรถเพื่องไปยังอำเภอสังขละบุรีอีก  มีสองทางเลือกว่าเราจะไปรถตู้ หรือ รถหวานเย็น(ไม่มีแอร์) เราเลือกรถตู้ค่ะ เพราะประหยัดเวลากว่าและมีแอร์

    นี่เป็นหน้าตาของรถหวานเย็นค่ะ 

          กว่าเราจะถึงสังขละก็ปาเข้าไปบ่ายสามกว่าๆแล้วค่ะ เมื่อรถตู้มาส่ง เราก็ต้องนั่งพี่วินต่อเพื่อไปยังที่พักของเรา สำหรับทริปนี้เราพักที่ P. Guest house  เราจองห้องพัดลม แบบห้องน้ำรวม ค่อนข้างประทับใจค่ะ เพราะบริการดีมาก เป็นกันเอง ให้คำแนะนำเราตลอดทริป วิวสวย และที่สำคัญคืออาหารอร่อยค่ะ:)  (ทางที่พักมีบริการเช้ารถมอเตอร์ไซต์ด้วยนะ) แต่เนื่องด้วยพวกเราสองคนขับมอเตอร์ไซต์ไม่เป็น  พวกเราจึงใช้สกิลการเอาตัวรอดด้วยการขอเบอร์พี่วินที่มาส่งเราที่เกสเฮ้าเผื่อให้พี่เค้ามารับ

    เมื่อเรามาถึงก็เอาข้าวของสัมภาระเข้าไปเก็บที่ห้อง วันนี้เรามีแพลนจะไปถนนคนเดินค่ะซึ่งจะเปิดประมาณหนึ่งทุ่ม แต่ด้วยความหิวจัด เพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง เราสองคนจึงจัดข้าวผัดแหนมของทางเกสเฮ้าท์ไปคนละจานค่ะ ราคาจานละ 60 บาท ถ้าเทียบกับปริมาณและรสชาติถือว่าไม่แพงเลย 

          หลังจากทานอาหารเรียบร้อย อิ่มหนำกันถ้วนหน้าแล้ว พวกเราก็สังเกตเห็นแสงอาทิตย์ยามเย็นสวยมาก  พวกเราจึงทนไม่ไหวที่จะหยิบกล้องมาถ่ายรูปซักสองสามช้อต (ลืมบอกไปเราสองคนเป็นพวกบ้ากล้องเอามากๆ) รวมๆเวลาถ่ายรูปก็ปาไปเป็นชั่วโมงค่ะ 555 

    ข้าวผัดแหนมที่ พี เก้สเฮ้าท์

          และแล้วก็ได้เวลาไปเดินถนนคนเดิน เราจัดแจงโทรหาพี่วินคนเดิมให้มารับเราที่เกสเฮ้าท์ ปลายทางคือถนนคนเดินค่ะ แต่เดี๋ยวก่อน ท้องฟ้าก็ยังไม่มืดมาก ถนนคนดินก็เปิดจนดึกด้วย 

    เพราะความอยากของเราจึงบอกพี่วินว่า "พี่ๆตอนนี้ยังไปสะพานมอญได้ไหมคะ?

    พี่วินตอบกลับว่า "ได้น้อง จะแวะก่อนไหมล่ะ อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่"

     เรา "จัดเลยค่ะพี่"

    แล้วเราก็วาปมาที่สะพานมอญ.... ขนาดเย็นแล้วยังมีคนเดินเต็มเลย เรากับเพื่อนลงจากมอไซต์ แล้วเดินไปยังต้นสะพานฝั่งไทย (อีกฟากของสะพานเป็นหมู่บ้านมอญ ซึ่งมีชาวมอญอาศัยอยู่ค่ะ) เมื่อเราเห็นความใหญ่และยาวของสะพาน ก็ทำให้เราอึ้งไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะตระหนักได้ว่าต้องรีบเดิน ก่อนที่ฟ้าจะมืดซะก่อน เราสองคนค่อยๆเดินตามสะพานที่ทอดยาวออกไปเรื่อยๆ  ขณะที่เรายังอยู่กลางสะพานนั้นฟ้าก็มืดซะแล้ว เราจึงเดินต่ออีกนิดหน่อย แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาที่ต้นสะพานฝั่งไทยเพื่อนั่งวินไปที่ถนนคนเดินค่ะ  ที่ต้นสะพานจะมีพี่วินรออยู่เยอะมาก เพราะฉะนั้นไม่ตองกลัวจะกลับไม่ได้นะคะ 

          มาถึงถนนคนเดิน...     ของที่เห็นคนมาทานกันเยอะเลยก็เห็นจะเป็น จิ้มจุ่มของพม่า  มีลักษณะเป็นไม้ๆค่ะ ส่วนตัวเนื้อก็จะเป็นพวกเครื่องในหมู พวกตับหมู ไส้หมู ลิ้นหมู ทานกับน้ำจิ้มของเค้า ถ้าใครชอบทานเครื่องในก็จัดว่าเด็ด แต่ถ้าใครไม่ชอบทานเหมือนเรา ก็คงไม้เดียวจอดค่ะ 555 

    หมูจุ่มพม่า (น้องเค้าทานดูอร่อยกันมากๆ)

          ในตลาดส่วนใหญ่จะขายของกินค่ะ มีทั้ง หอยทอด พิซซ่า หมูจุ่มพม่า(มีหลายร้าน) ลูกชิ้นทอด และอีกหลายอย่างเลย มีของที่ระลึกขายด้วยเป็นพวก พวงกุญแจ สร้อยข้อมือ น่ารักมาก เหมือนจะเป็นงานแฮนเมดด้วยนะ ถ้าใครอยากได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านก็ช้อปกันได้สบายเลย  

    เดินได้ซักพักก็เริ่มมีฝนปรอยลงมา พวกเราจึงรีบไปซื้อขนมกลับไปกินที่ที่พักเผื่อหิว แล้วเราก็เดินไปขึ้นพี่วิน แค่15 นาทีก็ถึงที่พักแล้ว เวลาก็ประมาณสามทุ่มแล้ววว พวกเราจึงแยกย้ายกันอาบน้ำแล้วมานั่งวางแผนสำหรับการเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะเข้านอน


  • - วันที่สอง -

    แผนการวันนี้ของเราคือ ตักบาตรตอนเช้าที่สะพานมอญ ไปเยือนถิ่นพม่า ด่านเจดีย์สามองค์ ทัวร์วัดใต้น้ำ (ส่วนหนึ่งของแผนการเราได้รับคำแนะนำมาจากพี่ที่เกสเฮ้าค่ะ ขอบคุณพี่มากๆที่ให้ความช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างดีค่ะ)

          วันนี้เราต้องตื่นตีห้าครึ่งเพื่อที่จะได้ไปตักบาตรตอนเช้าให้ทันหกโมงค่ะ แต่ทว่า...พอพวกเราตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกา 7 โมงแล้วค่าาาา เราพลาดการตักบาตรตอนเช้าไปแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวจะเยอะกว่าวันธรรมดา จึงมีพระออกมาเยอะแล้วเดินแถวยาวข้ามสะพานค่ะ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาเราต้องเดินข้ามสะพานไปฝั่งมอญเพื่อตักบาตรค่ะ ที่นั่นจะมีร้านขายชุดตักบาตรอยู่หลายร้านราคาชุดละ 99 บาท แถมมีบริการให้ยืมชุดแต่งเป็นชาวมอญฟรีด้วย แอบเสียดายนิดๆที่มาไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรค่ะพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ ยังเหลืออีกวัน 
          

         ในเมื่อเราพลาดแพลนแรกของวันไป เราจึงรีบเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่ากันค่ะ ก่อนออกเราก็ทานอาหารเช้าที่เกสเฮ้าก่อน บรรยากาศดีมากกินไปชมวิวไป ฟินมากๆ และอาหารก็อร่อยเช่นเคยค่ะ 
          ออกเดินทาง...เราให้บริการของทางเกสเฮ้าให้ไปส่งเราที่ป้ายรถสองแถว เพื่อที่จะนั่งต่อไปชายแดน โดยรถสองแถวจะมีเป็นรอบ ออกทุกๆครึ่งชั่วโมง ราคา 30บาท/คน ค่ะ นั่งรถสองแถวประมาณ 20 นาทีก็ถึงปลายทางซึ่งมีพี่วินจอดอยู่มากมาย พี่คนขับสองแถวก็ลงมาถามเราว่าจะเหมาคันพี่เค้าเข้าไปเที่ยวต่อในพม่าไหม หรือ จะจ้างวินมอเตอร์ไซต์ ตอนนั้นก็ลังเลก็เพื่อนว่าจะเอายังไงดีวะ เพราะราคาพอๆกัน 300บาท/คน สรุปก็เลือกจ้างพี่วินเข้าไปค่ะ เพราะคิดว่าน่าจะได้เห็นสองข้างทางที่ชัดเจนกว่า ได้สัมผัสสิ่งรอบข้างมากกว่า  แล้วเราก็ย้ายตัวขึ้นวินคนละคันเลยค่ะ พี่เขาก็พาเราซอกแซกเข้าไปในซอยหนึ่ง พี่วินก็จอดหน้าประตูสังกะสี ซักพักก็มีคุณลุงมาเปิดประตูให้ แล้วพี่วินก็จ่ายตังค์ 20 บาท ไอเราก็งงว่าจ่ายค่าไรหว่าา 
          มารู้เอาทีหลังว่าไอประตูนั้นที่พี่วินพาเราผ่านเข้าไปในเขตพม่า มันคือการแอบเข้าไปในประเทศเค้าโดยไม่ได้ผ่านด่าน ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายมั้ยอ่ะ แต่ก็ได้เข้าไปเที่ยวหลายที่เลย555 จากที่เราอ่านรีวิวก่อนมา คือ ถ้าเราจะข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่าเราต้องเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ โดยต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน และ เสียค่าเข้าที่มากกว่ายี่สิบบาท แต่ก็เอาเถอะไม่โดนจับก็ดีแล้ว 

          หลังจากที่เราข้ามไปฝั่งพม่าแบบงงๆแล้ว พี่วินก็พาเราไป วัดเสาร้อยต้น และอีกหลายวัด ซึ่งจำชื่อไม่ได้555 พาไปตลาด มีขายของที่ระลึกของฝาก แล้วก็มาจบด้วยวัดเจดีย์สามองค์ค่ะ

    วัดเสาร้อยต้น (แต่พี่เค้าบอกว่ามีเกินแล้ว ทำเพิ่ม)
        พื้นที่นั่นเป็นดินแดงทั้งหมด ฝุ่นจะเยอะหน่อยเวลาเรานั่งมอเตอร์ไซต์ ระหว่างทางได้ผ่านบ้านเรือนของคนที่นั่นแล้วก็ทำให้รู้ว่า "คนพม่านี่ต้องทา ทานาคา กันทุกคนจริงๆนะ

          เมื่อเที่ยวเสร็จ พี่วินก็พาเรามาส่งที่เดิม เพื่อรอรถสองแถว พอลงรถเราก็กำลังจะจ่ายเงิน พี่วินคันของเราก็พูดขึ้นมาว่า "พี่ขอเพิ่มได้มั้ยครับ" หื้ม ไอเราก็งง คือคิดว่าแค่ 300 บาทก็แพงแล้วนะ
    "...ไม่ใช่สามร้อยหรอพี่?" เราถาม
    "ก็พวกน้องถ่ายรูปกันนาน พี่เสียเวลาเยอะแล้วยังมีค่าผ่านประตูอีก" พี่เค้าตอบ (อ๋ออเรื่องนี้เอง ค่าผ่านประตูแค่ 20 เองนะพี่! ไม่จ่ายเว้ย)
    "โหพี่ 300 เหอะนะ เดี๋ยวจ่ายค่าผ่านประตูให้น้า" เราอ้อนวอน
    พี่เค้าก็ลังเล "พี่ขอ 400" (เอ้า ไม่จบ) พอดีเพื่อนเราจ่ายตังค์อีกคันนึงเรียบร้อยแล้วเดินมาหาเรา เราถามเพื่อนก็บอกว่าจ่ายไป 300 เอง 
    เรา "พี่เพื่อนเราก็จ่าย 300เองนะ" พี่ิวินคันเราก็หันไปคุยกับคันของเพื่อนเรา 
    พี่วิน "ก็ได้ๆ " แล้วก็บ่นๆ เราก็จ่ายไป 320 ให้พี่เขา 
         จบเรื่องพี่วิน กับเพื่อนก็เดินมารอรถสองแถวเพื่อกลับไปที่เดิม ตอนนั้นประมาณเกือบบ่ายโมงแล้ว เราสองคนหิวมากๆ เลยตัดสินใจจะไปกินขนมจีนมอญที่ฝั่งหมู่บ้านมอญกัน พอลงจากรถ เราก็นั่งวินต่อไปลงสะพานมอญแล้วเดินข้ามฝั่งไปเพื่อกินขนมจีนร้านป้าหยิน พอถึงฝั่งหมู่บ้านมอญร้านจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ไม่ไกลมาก จัดไปขนมจีนมอญคนละจาน ตอนที่เราไปกินเหลือ น้ำยาอยู่สามแบบ มีน้ำยาปลา น้ำยาหยวกกล้วย แล้วก็แกงฮังเลหมู ที่พิเศษของร้านนี้คือ เค้าใช้น้ำมะขามเปียกแทนน้ำส้มสายชูค่ะ อร่อยมากๆ

          หลังจากท้องอิ่มกันแล้ว เราก็แอบมาเดินเล่นที่หมู้บ้านมอญกันนิดนึง เดินมาเจอร้านขายของเล่น ด้วยความอยากเล่นเราเลยซื้อน้ำยาที่เป่าออกมาแล้วเป็นฟองสบู่ ย้อนวัยสุดๆ เราก็เป่าไปเดินไปถ่ายรูปไป พอเดินมาถึงจะข้ามสะพานมอญ ก็เจอน้องๆตัวเล็กๆสามคน เค้ามองเราเล่นเป่าฟองสบู่ใหญ่เลย เราเลยถามน้องเค้าว่าเล่นมั้ย น้องเค้าก็พยักหน้าแล้วบอกว่าเล่น แล้วเค้าก็เอาไปเล่นกันสามคน ไอเราก็ยืนดูน้องเค้าเล่นอยู่ดีๆ ก็มีคุณน้าเข้ามาถามว่า "ปะแป้งมั้ยจ้ะ" ไอเราก็แบบปะดีมั้ยวะ เดี๋ยวต้องไปต่อด้วยเดี๋ยวถ่ายรูปไม่สวย แต่สรุปก็ปะค่าไหนๆก็มาแล้วปะซักหน่อย มีรูปให้เลือกด้วย เราเลือกรูปยอดฮิตที่เหมือนดาวกระจาย ส่วนเพื่อนเราเลือกรูปดอกไม้ น่ารักดีค่ะ พอป่ะเสร็จเราก็หันไปหาน้องๆกะจะขอที่เป่าคืน แต่พอหันไปเห็นน้องเค้าเล่นกันสนุกมาก หัวเราะกันใหญ่ เลยคิดว่าให้น้องเค้าไปเลยก็ได้ เลยบอกน้องเค้าว่า "พี่ให้น้องเอาไปเล่นเลย แต่พวกน้องต้องมาช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยโอเคมั้ย"
    น้องเค้าก็ตกลงทันที เรากับเพื่อนก็ดีใจมีคนถ่ายรูปคู่ให้แล้ว555

    น้องๆที่มาถ่ายรูปให้เราค่ะ
          พอถ่ายรูปเสร็จ เราก็ร่ำลาน้องๆ แล้วเดินไปหาทัวร์เพื่อไปต่อวัดใต้น้ำกัน ทัวร์มีสองแบบ ทัวร์สามวัด กับ ห้าวัด และเนื่องด้วยเรามีงบน้อย555 เราจึงเลือกไปแค่สามวัด คนละ 250 ค่ะ ก็จะมีวัดวังก์วิเวการาม(เก่า) หรือวัดจมน้ำ วัดศรีสุวรรณ(เก่า) และวัดสมเด็จ(เก่า)
         ซึ่งวัดวังก์วิเวการาม หลังจากที่การไฟฟ้าได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมเสร็จ ทำให้น้ำท่วม ท่านหลวงพ่ออุตตมะจึงให้ย้ายวัดขึ้นมาอยู่บนเนินเขาตรงที่อยู่ปัจจุบัน  ส่วนวัดเก่าซึ่งอยู่ใต้น้ำ จึงเป็นวัดร้างและเห็นได้เฉพาะช่วงที่น้ำลดเท่านั้น  จุดนี้จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย

          ขึ้นเรือกันเล้ยยย...
          วัดแต่ละที่ก็จะมีความขลัง ถึงจะดูเก่า แต่ก็ยังมีล่องรอยความสวยงามของสถาปัตยกรรมหลงเหลืออยู่ ให้เราให้มาชมความงามกัน บางที่ก็จะมีมัคคุเทศก์น้อย มาคอยบรรยายถึงประวัติของสถานที่นั้นๆ เด็กแต่ละคนพูดกันเก่งมาก จนบางทีเราก็ยังต้องอายน้องเขาเลย พูดเก่งจริงๆ 
          พอเราทัวร์ครบสามวัดเรียบร้อย พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับไป สายฝนกำลังจะมาเยือนแทน พี่ไกด์ของเราเลยบอกให้รีบหน่อยเดี๋ยวฝนตกแล้วจะกลับไม่ได้ เรารีบถ่ายรูปแล้วก็รีบลงเรือทันที ระหว่างทางกลับที่พักเราก็ได้ชมพระอาทิตย์ตกดินบนเรือ เป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆค่ะ (ที่เกสเฮ้าท์ของเรามีท่าเรือด้วย พี่เค้าเลยไปส่งเราที่เกสเฮ้าท์เลยค่ะ สะดวกมากๆ) พวกมาถึงที่พัก เราก็จัดแจงจ่ายเงินพี่เค้า แล้วพี่เค้าก็ถามเราว่า "ไปตักบาตรกันมายัง"
    เราก็ตอบว่า "ยังเลยค่ะ" ( เพราะตื่นสายอ่ะค่ะพี่ )
    พี่เค้าก็ถาม "เนี่ย ถ้าจะไปตักบาตรนะก็โทรหาทัวร์ของพี่ได้ เดี๋ยวจะขับเรือมารับ" แล้วพี่เค้าก็ยื่นนามบัตรมาให้
    เราตอบ "ได้เลยค่ะพี่ เดี๋ยวโทรไปนะคะ"

    วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) หรือ วัดจมน้ำ

         เรากับเพื่อนก็เอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วก็ไปอาบน้ำกัน เพราะตัวเหนียวมาก พออาบน้ำเสร็จก็ประมาณสองทุ่มแล้ว ฝนก็เริ่มโปรยลงมา เราสองคนเลยตัดสินใจทานข้าวเย็นที่เกสเฮ้าท์  คราวนี้เราสองคนสั่งกันแบบจัดเต็มมาก เพราะใช้พลังงานไปเยอะต้องหาของมาทดแทนค่ะ(หัวเราะ)  เราสั่งกับข้าวไปสามอย่าง กับข้าวสวยสองจาน (ค่าเสียหายประมาณคนละ 200 บาท) 
          ระหว่างทานข้าว ฝนก็ตกหนัก ทำให้บรรยากาศดีมากๆอากาศเย็นสบาย ลูกค้าก็น้อย เราเลยรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของสถานที่(หัวเราะ)  พอทานเสร็จเราก็นั่งเล่นดูวิวไปเรื่อยเปื่อยจนถึงสี่ทุ่มกว่า แล้วค่อยกลับเข้าห้อง
         ก่อนเข้านอนเราก็วางแผนกับเพื่อน ว่าพรุ่งนี้จะอะไรยังไงบ้าง    เราสรุปตรงกันได้ว่า จะไปตักบาตรตอนเช้าโดยให้ทัวร์ของพี่เค้ามารับ เลยรีบโทรไปตอนนั้นเลย เป็นเสียงคุณลุงรับสาย  เราก็จัดแจงนัดแนะเวลากับคุณลุงเค้า แล้วเราก็เข้านอนค่ะ

     ฝันดีค่ะ (คืนสุดท้ายของที่นี่แล้ว)


      
  • - วันที่สาม -

           อรุณสวัสดิ์ค่า 
           เราตื่นมาตีห้ายี่สิบค่ะ เพราะนัดลุงให้มารับตีห้าห้าสิบ พอตื่นปุ้บก็ต้องรีบเด้งตัวเลย รีบอาบน้ำแต่งตัวกันมากๆค่ะเพราะกลัวไปไม่ทันอีก 555
           ตีห้าห้าสิบ... เรือก็มารับตรงเวลาเป้ะ คุณลุงไม่ได้มาคนเดียว แต่คุณลุงมากับลูกสาวค่ะ เราสองคนก็พากันลงเรือ พอเรือจะออกน้องเค้าก็จะเป็นคนดันเรือออกจากท่า แล้วค่อยขึ้นเรือตามทีหลังแล้วนั่งที่หัวเรือ เราเห็นแล้วเราก็ประทับใจ น้องเค้าตัวเล็กแค่นี้แต่เก่งมากเลย     ที่นั่งบนเรือเปียกหมดคงเป็นเพราะฝนตกเมื่อคืนแน่ๆ  เราเลยหาเรื่องชวนน้องเค้าคุย "เมื่อคืนฝนตกหนักเลยใช่มั้ยคะ
    น้องเค้าก็ตอบว่า "ใช่ค่ะ หนักจนเมื่อคุณพ่อต้องออกมาดูเรือเลยว่าจมไหม เพราะฝนเคยตกจนเรือจมลงไปครึ่งลำเลย" เราก็โหขนาดนั้นเลยหรอ 
    เราถาม "แล้วช่วงนี้ลูกค้าเยอะมั้ยคะ
    น้องก็ตอบ "ไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ จะเยอะช่วงปีใหม่สงกรานต์มากกว่า
    เราถาม "แล้วเวลานักท่องเที่ยวมานี่เค้าจะพักที่ไหนเป็นส่วนใหญ่หรอคะ" ไอเราก็หาเรื่องคุยไปเรื่อยๆ 
    "ส่วนใหญ่เขาจะชอบพักฝั่งมอญมากกว่าค่ะ อาจจะได้บรรยากาศของการมาสังขละมากกว่า" น้องตอบ เราก็อ่าวไม่เห็นรู้เลย555  เพิ่งรู้ว่าฝั่งมอญก็มีที่พัก แต่ก็ไม่เป็นไรนั่งเรือก็สะดวกมากๆ

         ซักพักเรือก็มาจอดตรงข้างๆสะพานมอญ (ฝั่งมอญ) ก่อนขึ้นฝั่งคุณลุงก็บอกว่าเสร็จแล้วให้โทรมานะ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่ที่พัก เรางงว่าคุณลุงมีบริการขากลับด้วยหรอ พอถามคุณลุง ลุงก็บอกว่าใช่เดี๋ยวไปส่งตักบาตรเสร็จก็ไปกินข้าวกันก่อนก็ได้เสร็จแล้วก็โทรมาหาลุง เรากับเพื่อนก็ดีใจมาก เพราะไม่ต้องกลับเองแล้วววสบายเลยทีนี้
          พอขึ้นฝั่งมา  น้องเค้าก็พาเราไปที่ร้าน จัดแจงหยิบเสื้อผ้าชาวมอญออกมาให้เลือก เราก็ยืนเลือกกับเพื่อนแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดกัน พอเสร็จก็ออกมายืนรอพระกัน เท่าที่เห็นก็ยังมีนักท่องเที่ยวบ้างถือว่าค่อนข้างเยอะเลยสำหรับวันจันทร์ รอไปซักพักพระก็ค่อยๆเดินเรียงแถวกันมา แล้วเราก็ตักบาตรอย่างคนมอญ (รึเปล่า) ด้วยความตื่นเต้น   พอตักบาตรเสร็จเรียบร้อย เรากับเพื่อนก็เดินไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเดิม 
          พอกำลังจะเก็บชุดคืนน้องเค้าก็มีคนเดินมาบอกว่า "เนี่ยมีพระธุดงค์มา น้องที่เป็นเน็ตไอดอล ชื่อเณรกร" เรากับเพื่อนก็ตื่นเต้นมาก เห็นพี่เขาบอกว่าตอนนี้เดินอยู่ที่สะพาน เรากับเพื่อนก็รีบเดินไปที่สะพาน (ความจริงเราไม่รู้จักน้องเขาหรอก) ก็เจอคนมุงกันเต็มเลย เลยเดินเข้าไปดู  เจอหลวงพ่อ หลวงพี่ และเณรกรมาเดินบิณฑบาตตอนเช้า 
           หลังจากที่เรายืนถ่ายรูปเณรซักพัก เรากับเพื่อนก็เดินไปที่สะพาน เพื่อสูดอากาศยามเช้า เช้านี้มีหมอกลง เป็นเพราะเมื่อวานฝนตกแน่ๆ มีความฟินระดับสิบค่า555     คนเดินขวักไขว่กันบนสะพานกัน บ้างก็มาเป็นครอบครัว บ้างก็มาเป็นคู่รัก บ้างก็มาเป็นกลุ่มเพื่อนค่ะ ต่างคนต่างถ่ายรูปกันเลยต้องมีการต่อคิวขอสถานที่ถ่ายรูป555

    น้องลูกสาวของคุณลุงที่มารับเราค่ะ
          เมื่อเราถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว เวลาประมาณแปดโมงแล้ว เราจึงเดินไปทานโจ้กที่ได้อ่านรีวิวมา เนื้อโจ้กจะไม่ละเอียดมากโดยข้าวยังมีความเป็นเม็ดอยู่ค่ะ รสชาติถือว่าโอเคเลย ที่ร้านก็จะมีเมนูอื่นๆด้วยเช่นโอวัลติน โรตี ประมาณนั้น

    โจ้กมอญ
          พอทานเสร็จเราก็โทรบอกคุณลุงว่าจะกลับแล้ว คุณลุงเลยบอกว่ามาเจอกันที่เดิมนะ 
          คุณลุงมาส่งเราที่เกสเฮ้าท์ ก็ร่ำลากับคุณลุง แล้วเดินไปเก็บของเตรียมเช็คเอ้าท์ค่ะ 
          เราเช็คเอ้าท์ออกจากเกสเฮ้าท์ประมาณสิบโมงครึ่ง  แล้วก็ใช้บริการมอไซต์ของทางเกสเฮ้าท์ให้ไปส่งเราที่ท่ารถตู้ค่ะ (คนละ 20 บาท) เราซื้อตั๋วรถตู้ไปลงที่สถานนีรถไฟน้ำตก เพราะเราอยากนั่งรถไฟผ่านสายมรณะ เห็นในรีวิวบอกว่าสวยมาก แล้วอีกอย่างรถไฟก็ฟรีด้วย 

           ทางรถไฟก็สวยสมที่เค้าล้ำลือกันมาเลยค่ะ มีความหวาดเสียวเล็กๆด้วย ชอบค่ะ แต่สิ่งที่ไม่ชอบเห็นจะเป็นการนั่งรถไฟฟรีซึ่งไม่มีแอร์ ร้อนมาก และฝุ่นเพียบค่ะ กลับมาสิวขึ้นเลยค่ะ ลองครั้งเดียวพอเน้อะ 555

          เวลาผ่านไปอย่างเชื่ิองช้า.....  
     และแล้วเราก็ถึงกทม.ค่ะ ประมาณหกโมงครึ่งได้

    เป็นอันจบทริปสังขละบุรีค่าา^^

    ความประทับใจ : คงจะเป็นเรื่องของคนที่นั่น อัธยาศัยดีมาก โดยเฉพาะน้องๆมัคคุเทศก์น้อย น้องน่ารักกันมากๆ มีทั้งถ่ายรูปให้ ชวนคุย และให้ความรู้แก่เรา น้องๆเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทริปนี้ของเรามีความหมายมากยิ่งขึ้นค่ะ

    ขอบคุณรูปภาพจาก : FB คุณ B-jin
                                      instagram  B-jin , 16th_log , #bbinsangkhla
    ขอบคุณข้อมูลการเที่ยวจาก : เพจ สังขละบุรี 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
prettytytytyy (@prettytytytyy)
ชอบบรรยากาศ วิถีชีวิต อยากไปปเลยค่าา