เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการเดินทางbee_nis
ดอยหลวงเชียงดาว ครั้งที่1
  • ทำไมถึงครั้งที่1 หน่ะหรอ? เพราะมันจะต้องมีครั้งที่ 2 อีกไง

    ขอเกริ่นคร่าวๆหน่อย ดอยหลวงเชียงดาว เป็นเขาสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ สูงถึง 2,275 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในสมัยโบราณดอยเชียงดาวถูกเรียกว่า “ดอยอ่างสลุง”   ยอดเขา ที่อนุญาตให้ขึ้นไปท่องเที่ยวทั้งหมด 2 ยอดด้วยกัน คือ ยอดดอยกิ่วลมซึ่งเหมาะกับการ ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า และยอดดอยสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว เหมาะสำหรับไปชมพระอาทิตย์ตก 


    เราเป็นคนชอบเขา เห็นเขาทีไรใจมันก็จะบอกกับตัวเองว่า"ได้เวลาเดินทางแล้ว"
    ดอยหลวงเชียงดาว  เป็นอีกที่หนึ่งที่พอเห็นรูปแล้วก็บอกกับตัวเองว่า 
    "กูต้องไปที่นี่ให้ได้

    ตามสเต็ปเดิมก็ชวนเพื่อนที่มันถึกๆหน่อย ได้มา 2 คน ชื่อบีจิน กับปอนด์ ตอนแรกก็ว่าจะชวนเพิ่มอีก แต่ชวนกี่คนๆ ก็ไม่มีใครไปด้วย....เลยเอาวะ!! สามคนก็สามคน แล้วเราก็เริ่มวางแผนกัน
    เราวางแผนไว้ว่าจะขึ้นดอยทั้งหมด 3 วัน 2 คืน  กำหนดวัน หาคนนำทาง แล้วก็โทรจองกับทางอุทยานกันเลยย

    เริ่มเราเดินทางไปดอยหลวงโดยขึ้นรถที่ขนส่งช้างเผือก ตอน 7 โมงครึ่ง โดยรถที่ไป อ.เชียงดาว จะมีออกทุกๆครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึงโลตัสของอำเภอ เราก็ลงแล้วนั่งรถเหลืองต่อไปยังจุดที่นัดพบกับคนนำทางของเรา ไกด์ของเราตลอด 3 วัน ชื่อคุณลุงสิงห์คำ คุณลุงเป็นคนที่เท่มาก ลุงแกจะมีเอกลักษณ์คือแกจะห้อยพระพวงใหญ่มากเกือบ 2 โลขึ้นเขาด้วย!! 

    พอเจอกับคนนำทางเขาก็จะขับพาเราไปตรงทางขึ้นดอย เราขึ้นทางเด่นหญ้าขัด แล้วลงทางปางวัว(ชันกว่า)
    ระหว่างทางคดเคี้ยวมาก และที่สำคัญคือต้องบีบแตรทุกโค้ง เพราะถนนแคบ เผื่อมีรถสวนมาจะได้หลบทัน (ใครที่ปกติเมารถก็อย่าลืมทานยากันมาก่อนด้วย) เราถึงตรงทางขึ้นประมาณสิบโมงครึ่ง 

    หลังจากจัดแจงเอาของสัมภาระให้ลูกหาบแล้ว จัดของที่เราจะแบกขึ้นเองเรียบร้อย ก็ลุยกันเลย!!!

  •            ทางช่วงแรกมันยังเรียบไม่ชันเท่าไหร่ แต่พอเดินไปประมาณสองสามกิโลเริ่มมีฝนตก  และเจอทางที่เละและลื่นมาก ทำให้เดินลำบาก  ถ้าเราลื่นก็ตกหายลงไปเลย   แต่เรายังโชคดีที่ยังเจอฝนไม่หนักมาก ลุงสิงห์แกเล่าว่าเมื่อวันก่อนฝนตกหนัก คนที่ลงเขาตรงนี้เค้าไม่เดินกันนะ เค้าใส่เสื้อกันฝนแล้วเอาตูดไถลกันลงไป เราก็ขำ แต่ก็เข้าใจเลย เพราะพื้นตรงนั้นมันเป็นโคลนเละๆ ถ้าฝนตกหนักนี่คงไม่ต้องพูดถึง เอาตูดไถลอย่างเดียว      เราเริ่มเดินตอน 11 โมง ถึงลานกางเต้นท์ประมาณ 4 โมงเย็น ถือว่าเดินช้า เพราะพักกันบ่อยไปหน่อย ปกติคนเดินเก่งๆ สี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว 

              พอไปถึงก็จัดของเข้าเต้นท์  คุณบอกว่าจะขึ้นไปยอดดอยหลวงเลยก็ได้นะไปดูพระอาทิตย์ตก แต่เราปีนไม่ไหวแล้วเลยส่งปอนด์ขึ้นไปคนเดียว เรากับบีจินรออยู่ข้างล่างรอกินข้าวเย็นที่คุณลุงกับพี่ลูกหาบทำมาให้  นาทีนั้นกินอะไรก็อร่อยไปหมด พอเริ่มดึก อากาศก็เริ่มหนาว ความจริงเราก็ดูอุณหภูมิมาแล้วว่าน่าจะประมาณ 11-12 องศา เราก็โอเคไม่เลขตัวเดียวก็ยังไหว แต่พอเอาเข้าจริงปาไป 8 องศา นอนหลับๆตื่นๆ เพราะหนาวมาก ต้องตื่นมาใส่เสื้อ ใส่กางเกง ใส่ถุงเท้าเพิ่ม เป็นคืนที่ทรมานจริงๆ

    เช้าวันที่สอง เราต้องตื่นตีสี่ครึ่ง เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกที่ยอดดอยกิ่วลม เราเดินจากที่พักตอนตี 5 แวะดูอุณหภูมิ ว้าว เก้าองศา หนาวอะไรเบอร์นั้น ด้วยความที่พระอาทิตยังไม่ขึ้น เราก็ต้องปีนขึ้นพร้อมกับถือไฟฉายด้วย ดินก็เละ ทางก็ชันมากถึงมากที่สุด แต่ในที่สุดเราก็ไปถึงยอดดอยกิ่วลมจนได้ แล้วก็นั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ภาวนาขอให้ฟ้าเปิด จะได้เห็นทะเลหมอก .....แล้วฟ้าก็เปิดให้เราจริงๆ แต่เปิดให้ไม่ถึงห้านาที แต่ก็ยังดีกว่าไม่เปิดวะ! 

    ภาพที่เห็นตรงหน้าระหว่างฟ้าเปิดสวยมาก เหมือนอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ปาน  อยู่ๆความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า "คุ้มค่าแล้วที่กูขึ้นมา กูคุ้มแล้ววว เย้



  •       พอลงมาจากดอยกิ่วลมถึงลานกางเต้นท์ประมาณ 11โมง คณลุงก็จัดแจงทำอาหารเช้า+เที่ยงมาให้อย่างรวดเร็ว เมื่อกินกันอิ่ม เราก็แยกย้ายกลับไปนอน เพราะง่วงกันมาก     ตื่นมาอีกทีก็บ่ายสองกว่าๆแล้ว
           ตอนเย็นเราต้องขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยหลวง เลยเดินไปถามคุณลุงว่าเราต้องออกกี่โมง ลุงบอกว่าซัก 4 โมงกำลังดี เพราะพระอาทิตย์จะเริ่มตกตอน 6 โมงนิดๆ เราเลยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าต้องหิวกันแน่ๆเลย ต้องขอบคุณบีจินที่บอกให้เราซื้อมาม่าคัพมาจากเซเว่นตรงขนส่งช้างเผือก เราสามคนเดินไปขอน้ำร้อนจากคุณลุง แล้วก็จัดมาม่ากันไปตามระเบียบ กินไปลมพัดไปเย็นๆนี่มันฟินจริงๆนะ....

          พอถึงเวลาก็เตรียมอุปกรณ์พวกไฟฉาย เสื้อกันหนาว กล้องถ่ายรูป แล้วก็ออกเดินกันเลย ทางเดินไม่ไกลมากแต่หินค่อนข้างเยอะ ต้องใช้สกิลในการไต่ สองมือ สองเท้าช่วยๆกัน พอถึงยอด ก็ต้องร้องโอ้โหอีกครั้ง ขุนเขาสลับทับซ้อนกันไม่รู้กี่ยอดต่อกี่ยอด เรียงรายมาให้เห็นกันตรงหน้า "สวยโว้ยยยยย" ต้องร้องตะโกนดังๆกันเลยทีเดียว     รอไปถ่ายรูปกันเพลินๆไป ซักพักพระอาทิตย์ยามเย็นก็ค่อยๆตกลง และลับขอบฟ้าไปในที่สุด เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกที่สวยขนาดนี้  พอฟ้าเริ่มมืดทุกคนก็ต้องเปิดไฟฉายกันตามระเบียบ และค่อยพากันลงจากยอดดอย

          เมื่อวานท้องฟ้าไม่เปิดโอกาสให้เราเห็นดาวกันเลย เพราะพระจันทร์ทำหน้าที่ได้ดีเกินไป แต่คืนนี้ พอเราลงมาจากยอดดอย      เราก็พบกับดวงดาวเต็มท้องฟ้ามากมายเลย ขอบคุณพระจันทร์จริงๆ

          อากาศเริ่มหนาว พวกเราเลยต่างแยกย้ายกันไปสวมใส่อุปกรณ์กันหนาวให้เรียบร้อย แล้วออกมากินข้าวเย็นกัน
          คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ท่ามกลางหุบเขามากมายแบบนี้ ใจนึงก็ไม่อยากกลับ แต่อีกใจนึงก็คิดถึงเตียงนุ่มๆที่บ้าน และน้ำอุ่นๆที่อาบ เพราะมาอยู่นี่ ไม่มีน้ำให้อาบ (ถึงมีก็ไม่อาบเพราะหนาวมาก..จุ้ๆ)    
  • เช้าวันที่สาม...."นี่เราต้องลงแล้วหรอเนี่ย
    เก็บของที่จะฝากพี่ลูกหาบให้เรียบร้อย ก็ทานข้าวเช้า มื้อสุดท้ายบนดอยหลวงของพวกเรา พอทานเสร็จก็พร้อมออกเดินทาง โดยมีคุณลุงสิงห์พาเราลงเหมือนเคย
    สูดหายใจลึกๆเอาธรรมชาติเข้ามาให้เต็มปอด ก่อนลง แล้วลุยยย!!

           เราลงทางปางวัวซึ่งเป็นทางที่ยากและชันกว่า ทางเด่นหญ้าขัดที่เราขึ้นมา แต่ระยะทางจะสั้นกว่า ลุงแกมาส่งเราแค่ครึ่งทาง เพราะแกต้องรอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่จะขึ้นมาวันนั้น พวกเราเลยลาคุณลุงตั้งแต่ตรงนั้น แล้วออกเดินทางต่อ

     "ใครบอกทางนี้ชันวะ ไม่เห็นจะชันเลยย" นี่คือคำพูดของเรา ก่อนที่เราจะพบกับ 'ของจริง'

    เดินมาซักพักก็พบกับความชิบหายครั้งยิ่งใหญ่ พวกเราเดินมาถึงตรงทางที่เละ ลื่น ชัน และไม่มีอะไรให้เกาะ เป็นการเดินลงที่ลำบากมากกว่าจะก้าวได้แต่ละก้าวใช้เวลาคิดอยู่นานว่ากูจะเอาขาลงตรงไหนดีวะ

    "โหดสัสสส!" เป็นคำพูดของเราหลังเจอ 'ของจริง'

         ในที่สุดเราก็ลงมาถึงข้างล่าง เราก็พอว่ารถกระบะได้รอรับเราอยู่แล้ว 'จะได้กลับบ้านแล้วววว' ดีใจเล็กๆ พี่คนขับพาเราไปส่งที่รอรถบัสเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ 
    ระหว่างรอรถ เราก็ทานอาหารกลางวันที่คุณลุงสิงห์ทำให้เราติดตัวกันลงมา 

          พอขึ้นรถบัส ก็หลับกันเป็นตายจนถึงตัวเมืองเลย เมื่อเรามาถึงสถานีขนส่งช้างเผือกอีกครั้ง เราก็หารถแดงต่อไปยังสถานีรถไฟ เพื่อไปขึ้นรถไฟตู้นอนสายใหม่อุตราวิถีกลับกรุงเทพฯกัน



           เป็นทริปที่สนุก และ โหดมากจริงๆ ถ้าถามว่าจะไปอีกมั้ย? ไปอีกแน่นอน เป็นทริปที่คุ้มค่ามาก
    แต่เหนื่อยมากเช่นกัน....

    "จุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่สุดของการเดินทาง...."


    ขอบคุณ ลุงสิงห์ที่คอยดูแลเราตลอดทริปนี้ค่ะ

           

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in