เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
What I watchedpeanutspread
The Joy Luck Club: ความหวังจากแม่สู่ลูก
  • *มีสปอยล์จ้า และถ้าหากว่าพิมพ์ชื่อใครไม่ถูกก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ชื่อจีนหรือแถบๆ นี้มันอ่านจากภาษาอังกฤษยากมากเลยเนอะ ฮ่าๆๆ (บางอันที่อ่านไม่รู้จริงๆ ก็เลยพิมพ์อังกฤษไปเลยนะคะ)

    ภาพยนตร์อเมริกันปี 1993 ที่กำกับโดยเชื้อสายฮ่องกง เวย์น หวัง (Wayne Wang) เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของแม่-ลูกชาวจีนที่อาศัยอยู่ในอเมริกาสี่คู่

    เมื่อเปิดเรื่องมานั้นเราจะได้ยินเสียงบรรยายของจูน (นำแสดงโดย Ming-Na Wen) ที่เล่าเรื่องขนหงส์ของแม่ให้ผู้ชมฟัง หลังจากนั้นก็จะเป็นภาพบรรยากาศของงานเลี้ยงในบ้านของเธอ เราจะได้รู้ว่าแม่ของเธอ—ซูหยวน (นำแสดงโดย Kieu Chinh) เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว เธอเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเล่นไพ่มาจองกับบรรดาป้าๆ ที่เป็นเพื่อนของซูหยวน จากนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพวกเธอก็ได้เริ่มเผยให้เราได้เห็น


    • ลินโด และ เวฟเวอรี่

    แม่ลูกคู่นี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่นัก เพราะลินโด (นำแสดงโดย ไซ่ฉิน) ชอบนำเวฟเวอรี่ (นำแสดงโดย แทมลิน โทมิตะ) ผู้เป็นลูกสาวที่เป็นแชมป์หมากรุกไปพูดคุยอวดชมให้กับชาวบ้านฟัง ถึงขนาดที่เมื่อเวฟเวอรี่ได้ขึ้นปกของนิตสารไทมส์ ลินโดก็ได้เดินถือหน้าปกอยู่ตรงอกและเดินไปตลอดทาง เวฟเวอรี่รู้สึกอึดอัดแกมรำคาญกับความคาดหวังของแม่ จนเธอได้ประกาศกร้าวว่าจะไม่เล่นหมากรุกอีกต่อไป

    ก่อนหน้านี้เราได้รู้ว่าชีวิตในวัยเด็กของลินโดเป็นอย่างไร เธอถูกแม่ขายให้ไปเป็นสะใภ้ของบ้าน หวง ไท่ ไท่ ตั้งแต่อายุสี่ปี และต้องย้ายออกไปแต่งงานเมื่ออายุ 15 ปี แม่ของลินโดบอกให้เธอทำตัวให้มีความสุขไว้ แต่ชีวิตแต่งงานกลับไม่เป็นอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามในตอนสุดท้ายเธอก็ใช้วิธีสุดแสบทำให้หลุดพ้นออกมาจากบ้านนั้นได้ และได้ออกมามีครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าเดิม

    ทั้งลินโดและเวฟเวอรี่ต่างมีอีโก้สูงกันทั้งคู่ เรียกได้ว่าแม่ลูกมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างมาก ตอนที่เวฟเวอรี่เลิกเล่นหมากรุกนั้น เธอหวังว่าแม่ของเธอจะมาขอให้เธอกลับไปอีก แต่แม่ของเธอก็ใช้วิธีการนิ่งเงียบตอกกลับ จนสุดท้ายเธอก็กลายเป็นคนเอ่ยปากจะไปเล่นอีกครั้งเอง

    แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม แม่ของเธอไม่ได้สนับสนุนเธอเหมือนแต่ก่อนแล้ว การเล่นที่มั่นใจก็หดหายไปด้วย เธอไม่ได้เป็นแชมป์หมากรุกอีกต่อไป

    ทั้งนี้สิ่งที่เวฟเวอรี่ต้องการอาจเป็นการได้รับการยอมรับจากแม่ของเธอก็ได้ เพราะสิ่งที่เธอรู้สึกจากการโดนนำไปโอ้อวดให้บรรดาแม่ๆ ฟังนั้น เป็นเหมือนการที่ลินโดใช้เธอเป็นเครื่องมือให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เธออยากให้แม่มองเธอแล้วเห็นเป็นเวฟเวอรี่ ไม่ใช่เซียนหมากรุก

    และสิ่งที่ลินโดต้องการอย่างแท้จริงอาจไม่ใช่การได้มีหน้ามีตาจากความสำเร็จของลูก แต่เป็นการเป็นแม่ที่ลูกจะจดจำตลอดชีวิต อย่างที่แม่ของเธอเป็น เธอมีความสุขในทุกวันนี้ได้เพราะแม่ของเธอต้องสอนและเสียสละ ถึงแม้มันจะทำให้ลูกสาวของตนกลายเป็นของคนอื่นตั้งแต่อายุสี่ขวบ แต่ถึงอย่างไรเธอก็รู้ว่าลินโดนั้นจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้แน่นอน บางทีลินโดก็อาจจะคิดว่า ถ้าเธอทำให้ลูกสาวมีชีวิตที่สำเร็จรุ่งเรือง เธอก็อาจจะเป็นแม่ที่น่าจดจำสำหรับเวฟเวอรี่ก็เป็นได้

    สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนร่นระยะห่างจากกันได้ก็คือการลดทิฐิ อย่างที่บอกว่าทั้งคู่นั้นต่างมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่เมื่อได้ระเบิดอารมณ์เผยความในใจออกมาแล้ว สิ่งที่ทั้งคู่รับรู้ได้ก็คือความรักและเคารพที่มีให้กัน เพียงแค่ระดับความเข้มข้นนั้นอาจจะไม่พอดีกันไปสักนิด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทั้งคู่จะต้องกลับไปทดลองชั่งตวงกันต่อไป


    • หยิงหยิง และ ลีน่า

    ในวัยสาวนั้นหยิงหยิง (นำแสดงโดย ฟรานซ์ นูเย็น) ได้ตกหลุมรักกับหนุ่มเพลย์บอย หลินเซี่ยว (นำแสดงโดย รัสเซล หว่อง) ทั้งคู่แต่งงานและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน แต่ชีวิตหลังแต่งงานนั้นต่างกับก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง สามีของเธอแทบจะไม่กลับบ้าน แถมยังพาผู้หญิงจากข้างนอกกลับมานอนในบ้านและด่าทอเธอเสียๆ หายๆ อีก

    หยิงหยิงที่ทั้งเสียใจและโกรธแค้นนั้นตัดสินใจทำสิ่งที่จะเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธอ ขณะที่เธอกำลังอาบน้ำให้ลูกชายวัยแบเบาะอยู่นั้น ความคิดที่จะแก้แค้นโดยพรากสิ่งที่เธอมีอำนาจเหนือสามีเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็แว่บเข้ามาในความคิด และเธอก็ได้ปล่อยให้ลูกน้อยในมือจมน้ำจนเสียชีวิต

    หยิงหยิงบอกว่าเป็นเพราะเธอได้ทำจิตวิญญาณทั้งหมดตายไปพร้อมกับลูกคนแรกแล้ว เมื่อเธอย้ายมาอเมริกาและแต่งงานมีลูกใหม่นั้น เธอจึงไม่มีจิตใจอะไรที่จะส่งต่อให้ลูกสาวคนปัจจุบันได้เลย ทำให้ลีน่าที่พวกเราได้เห็นนั้นก็ดูเศร้าสร้อยไม่แพ้ผู้เป็นแม่เลย

    นอกจากนั้นชีวิตแต่งงานของลีน่าก็ไม่ได้มีความสุขนัก แม้เธอจะยิ้มแกนๆ และบอกหยิงหยิงว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงก็ตาม เธอแต่งงานกับฮาโรล์ดผู้เป็นเจ้านายของเธอ และทั้งสองคนมีมาตราการที่จะหารค่าใช้จ่ายให้เท่าเทียมกัน ไม่นับสิ่งที่เป็นส่วนตัว เช่น ผ้าอนามัยหรือครีมโกนหนวด

    อาจเป็นเพราะว่าหยิงหยิงนั้นก็ดูมีท่าทีซังกะตายเพราะตราบาปที่ปล่อยให้ชีวิตลูกหลุดลอยไปต่อหน้า เธอจึงไม่มีความเข้มแข็งที่จะนำมาสอนลูก ลีน่าเลยกลายเป็นคนที่ไม่มีปากมีเสียง ถึงขนาดที่ตนเองกินแต่สลัด แต่สามีกินอาหารเป็นคอร์สก็ยังต้องมาหารกัน หรือแม้เธอจะไม่ชอบกินไอศกรีมเพราะมีความหลังแต่ก็ไม่ได้บอกสามี และยังต้องมาหารค่าไอศกรีมอีก ทั้งๆ ที่รายได้ของเธอกับฮาโรล์ดก็ห่างกันอยู่หลายเท่า

    จากที่ได้เห็นการเป็นอยู่ที่ไม่หือไม่อือของลูกสาว อาจทำให้หยิงหยิงได้เห็นภาพในอดีตของตัวเอง เธอรับรู้แล้วว่าการจมปลักอยู่กับความเศร้าของตนเองนั้นไม่ได้กัดกร่อนตัวตนของเธอเพียงคนเดียว แต่ยังลามไปถึงลูกสาวที่เธอคิดว่าตนไม่เหลืออไรจะให้แล้ว ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนั้นความหวังเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดไป ถึงแม้มันจะไม่กลายเป็นจริง หรือจะสูญสลายไปแล้วนั้น ความหวังใหม่ๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก ในวันนั้นเธอตัดสินใจที่จะให้บทเรียนสำคัญกับลีน่า

    การเห็นคุณค่าในตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิต และการให้เกียรติต่อกันก็ไม่จำเป็นว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องได้และเสียเท่าๆ กัน ความเท่าเทียมของบางสิ่งนั้นก็เป็นเรื่องของสมดุล


    • อันเหม่ย และ โรส

    แม่ของอันเหม่ยนั้นถูกไล่ออกจากบ้านหลังจากพ่อของเธอได้เสียชีวิตไปไม่นาน สาเหตุที่แม่ของเธอถูกไล่เป็นเพราะว่าเธอกลายเป็นภรรยาคนที่สี่ของบ้านเศรษฐีหวู่ซิง หลายปีต่อมา เมื่อยายของเธอได้ล้มป่วยอย่างหนัก แม่ของอันเหม่ยก็กลับมาเพื่อดูแลยาย คราวนี้เธอเลือกที่จะตามแม่ไปท่ามกลางการคัดค้านของคนในบ้านที่บอกว่าแม่จะทำให้เธอเสียคน

    เมื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่อันเหม่ย (นำแสดงโดย ลิซ่า ลู) ก็ได้เจอกับภรรยาที่เหลือของหวู่ซิง เธอยังสังเกตเห็นว่าแม่ของเธอมองลูกชายของคุณนายสองด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูกด้วย ในวันนั้นคุณนายสองได้ให้สร้อยมุกกับเธอ แต่เมื่อกลับมาถึงที่เรือนของตน แม่ของเธอกลับฉวยสร้อยมาทุบต่อหน้าเธอ สร้อยที่คิดว่าทำด้วยมุกนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทำด้วยแก้ว แม่ของเธอพูดว่าจะไม่ยอมให้อันเหม่ยถูกซื้อด้วยของถูกๆ แบบนั้นเด็ดขาด

    คืนวันนั้นหวูซิงมาสะกิดแม่ของเธอถึงห้องนอน ทำให้อันเหม่ยจ้องอพยพตัวเองออกมา เธอได้รู้ความจริงจากสาวใช้ว่าแม่ของเธอถูกข่มขืน แต่ไม่มีใครเชื่อ เมื่อถูกไล่ออกจากบ้านและไม่มีที่ไปจึงต้องมาพึ่งที่นี่เพราะเธอกำลังท้องลูกของหวู่ซิงอยู่ด้วย ซึ่งลูกชายของเธอก็ถูกคุณนายสองรับไปเป็นลูกของตัวเอง อันเหม่ยเสียใจมากที่แม่ไม่ยอมบอกเธอ

    แม่ของเธอบอกว่าที่มีชีวิตอยู่ก็เพื่อรอที่จะได้พบกันอีก หลังจากนั้นเธอก็ฆ่าตัวตาย อันเหม่ยได้รับรู้สิ่งที่แม่เธอต้องการจะทิ้งไว้ให้ เธอขู่หวู่ซิงเกี่ยวกับคำสาป และขู่คุณนายสองถึงสิ่งเลวร้ายที่เธอทำ จนเธอได้พื้นที่สุขสบายในบ้านหลังนี้ตามที่แม่ของเธอต้องการ

    ด้วยเหตุนี้ทำให้อันเหม่ยได้รับรู้ว่าคนเรามักให้ค่าตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง อย่างแม่ของเธอก็ได้รับรู้ว่าตนเองมีค่าได้มากแค่ไหนในตอนที่ต้องเสียสละเพื่อลูก ทำให้เมื่อเห็นลูกสาวของตนเอง โรส (นำแสดงโดย โรซาลิน เฉา) ทำตัวเหมือนกับคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองนั้น ทำให้เธอทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากเพื่อเตือนสติ

    โรสนั้นแต่งงานกับแฟนหนุ่มชื่อเท็ดที่คบกันสมัยเรียน เขาเป็นคนรวยและยังรูปหล่อ สาวๆ ก็ต่างพากันพูดถึงและยอมให้เขา แต่โรสนั้นกลับกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตนคิดว่าพอใจหรือไม่พอใจอะไร ทำให้เขาตกหลุมรักเธอ แต่หลังจากแต่งงานแล้วเธอกลับกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยได้พูดอะไรอย่างที่ต้องการ มีแต่จะถามเท็ดว่าเขาต้องการอะไร ถึงแม้เท็ดจะถามเธอว่าเธอต้องการอะไรนั้น เธอก็ให้คำตอบเขาไม่ได้ เสน่ห์ในช่วงที่คบกันของเธอนั้นได้หายไป

    โรสทำสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นการปิดทองหลังพระ และเธอเป็นคนมีค่ามากที่ได้ทำอย่างนั้น แต่มันก็กลับกลายเป็นว่าเธอเป็นเหมือนแค่ลมที่มีอยู่แต่ไม่สามารถมองเห็น จะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมันพัดแรงขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าเธอไม่ปริปากอะไรออกมา ก็คงจะไม่มีทางที่เท็ดจะเห็นคุณค่าที่แท้ของเธอได้

    สุดท้ายแล้ว เมื่อโรสยอมบอกเล่าสิ่งในใจของตนออกมา ทุกอย่างก็กลับสู่เส้นทางที่ดี


    • ซูหยวน และ จูน

    ซูหยวนนั้นคล้ายกับลินโด (และทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันด้วย) คือชอบพูดเรื่องลูกเพื่อข่มกัน โดยในตอนเด็กนั้นจูนโดนบังคับให้เล่นเปียโน ซึ่งเธอก็ไม่ได้เต็มใจและแทบจะไม่ได้ฝึกฝนเลย จนต้องไปแสดงที่งานโรงเรียนและเล่นเพี้ยนขนาดหนัก ซูหยวนอับอายและโกรธมาก จนเมื่อกลับบ้านมาก็บังคับให้จูนต้องซ้อมเปียโนต่อไปให้ได้ แม้เธอจะไม่อยากเลยก็ตาม จึงกลายเป็นปมในใจจูนที่่ว่าเธอไม่สามารถเป็นลูกสาวที่แม่เธออยากให้เป็นได้ เธอไม่เคยทำให้แม่ภูมิใจได้

    เมื่อสองแม่ลูกได้มาคุยกันหลังจากที่จูนรู้สึกถูกหักหน้ากลางโต๊ะอาหาร เพราะซูหยวนบอกว่าจูนมีสไตล์ที่ไม่มีใครสอนให้ได้หรอก เธอคิดว่านั่นคิดคำต่อว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็คงทำอะไรไม่ถูกใจในสิ่งที่แม่คาดหวัง เพียงแต่ซูหยวนบอกว่าเธอไม่เคยคาดหวังอะไรเลย เธอเพียงแค่หวังว่าจูนจะได้มีชีวิตที่ดีเท่านั้น เธอยอมรับจูนในสิ่งที่เป็นมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้าคนนายคนจนมีลูกน้องมากมาย ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องเป็นคนเก่งมากก็ได้ เพียงแค่เป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้เธอยังบอกว่าจูนเป็นคนที่มีหัวใจชั้นดี (best quality heart) ที่ถึงแม้จะได้รับอะไรที่แย่ๆ เข้าไป ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ดีได้จากภายในของเธอ

    เพียงแต่ว่าซูหยวนอาจทุ่มเทความหวังให้กับจูนมากเกินไป เพราะเธอจำเป็นต้องทิ้งลูกแฝดสองคนไว้ข้างทางในช่วงสงคราม ความรู้สึกผิดกัดกินใจเธอจนเธอรู้สึกว่าต้องใส่ความหวังให้กับจูนเผื่อแผ่ไปยังลูกน้อยอีกสองคนที่เธอทิ้งเอาไว้อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรซูหยวนก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีค่าพอที่จะส่งต่อความหวังให้กับจูนได้ ด้วยตัวเธอเป็นคนละทิ้งความหวังของตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ที่จีน อย่างที่พ่อของจูนได้บอกกับเธอไว้ว่า เธอจะแสดงให้ลูกได้เรียนรู้ถึงความหวังอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อเธอได้สูญเสียความหวังไปสิ้นแล้ว

    ท้ายที่สุดแล้วความรักและความหวังที่แม่ส่งต่อให้กับลูกนั้นก็ได้เดินทางไปไกลถึงอีกทวีปหนึ่ง ที่ที่มีคนอีกสองคนในครอบครัวรอคอยที่จะได้รับรู้เกี่ยวกับแม่ของตนมาโดยตลอด


    จริงๆ แล้วไม่คิดว่าตัวเองจะพิมพ์ได้เยอะมาถึงขนาดนี้เลย แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายแง่มุมและเรื่องราวให้ได้นำกลับมาพูดถึงกันจริงๆ เป็นหนังชั้นดีที่ขอแนะนำให้ดูกันเลยค่ะ

    นอกจากในเรื่องของเนื้อหาแล้ว วิธีการเล่าเรื่องของ The Joy Luck Club ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน โดยตัวฐานของเรื่องที่ทุกคนอยู่ร่วมกันนั้นคือปาร์ตี้เลี้ยงส่งจูนไปหาพี่ที่จีน จากนั้นก็จะค่อยๆ โฟกัสบุคคลภายในงานไปเรื่อยๆ จากแม่ไปลูก พอจบคู่หนึ่งก็เดินทางไปอีกคู่หนึ่ง แต่ของซูหยวนและจูนจะอยู่ในช่วงต้นและท้าย ซึ่งเป็นการคลายปมและเฉลยถึงเหตุผลของการกระทำของตัวละคร ยิ่งมาคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาได้ 24 ปีแล้วก็ยิ่งดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจเข้าไปใหญ่

    การนำเสนอภาพลักษณ์ของชาวเอเชียในเรื่องก็ดูเป็นการบุกเบิกภาพลักษณ์ใหม่ๆ โดยหนังฮอลลีวู้ดได้เหมือนกัน จากที่ผ่านๆ มา ชาวตะวันออกมักจะถูกมองให้เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือแตกต่างออกไปจากชาวตะวันตก บางครั้งก็ถูกมองให้เป็นชนชาติที่ด้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ บทที่มักจะเห็นเป็นคนตะวันออกบ่อยๆ ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็จะเป็นพวกคนร้ายหรือบทรองๆ แต่ในเรื่องนี้โฟกัสอยู่ที่ชาวจีนในอเมริกาทั้งนั้น แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๊อ มีการศึกษาที่ดี และเป็นตัวละครที่มีมิติกันทั้งนั้นอีกด้วย เป็นการเพิ่มมุมมองให้กับภาพลักษณ์ของชาวตะวันออกแก่ชาวตะวันตกที่ดีมากเลยทีเดียว

    ในเรื่องของเพศในเรื่องก็เป็นมิติที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นเฟมินิสต์อย่างมาก ทั้งการที่เล่าเรื่องโดยมุมมองของผู้หญิง การที่มีแก่นหลักให้ผู้หญิงกล้าแสดงความเห็น อย่ามัวแต่อยู่ในกระดองที่เรียกว่าการเลี้ยงดูแบบเก่า การที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน และการถูกลดบทบาทของผู้ชายในเรื่องให้เป็นแค่ตัวละครรอง (ซึ่งในที่นี้อาจมีบางคนบอกว่า อ้าว อย่างนี้ก็ไม่เท่าเทียมชาย-หญิงน่ะสิ แต่ถ้าลองให้นับดูสัดส่วนนักแสดงหลักที่เป็นชายและหญิงนั้นก็คงจะพูดได้ว่าเรื่องนี้ทำให้สัดส่วนขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นหน่อยล่ะนะ)

    การปะทะกันของวัฒนธรรมที่แตกต่างก็โผล่มาให้เห็นนิดๆ ในเรื่อง อย่างในตอนที่ริชไปงานวันเกิดที่บ้านของเวฟเวอรี่ หรือความน่าพิสมัยในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ฝังรากลึกอย่างการที่โรสหรือลีน่าไม่ตั้งคำถามหรือทักท้วง ทั้งๆ ที่ถูกเลี้ยงดูมาในอเมริกา (แม้จะมีพ่อแม่ที่เป็นจีน) และอย่างอันเหม่ยก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกโตมาแบบตน แต่ก็ยังกลายมาเป็นแบบที่เราเห็นในตอนต้นได้

    สุดท้ายนี้ก็ ส่วนมากก็คงจะไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตนเองหรอก แค่บางครั้งความรักของพวกเขาอาจมีมากเกินไปจนร้อยเป็นบ่วงที่รัดเราจนหายใจไม่สะดวกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากได้ลองเปิดอกเปิดใจคุยกัน หาจุดที่ต่อรองกันได้ ความรักและความหวังนี้ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นไปอีกแน่นอน

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in