2
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ฮ่องเต้จากนิยายนอนหัดเล่นมือถืออยู่บนเตียงของผม ส่วนตัวผมนั้นนอนตะแคงพลิกไปพลิกมาบนฟูกที่อุตส่าห์หามาปูเอง จากนั้นพวกเราก็หลับไปจนถึงเช้าวันใหม่ เสียงนาฬิกาปลุกเรียกผมให้ตื่นมาพบว่านี่เป็นวันจันทร์ ผมต้องไปมหา’ลัย
ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว หยางจิวหรงนั่งอยู่กลางเตียง มองผมหยิบหนังสือใส่กระเป๋า แล้วเขาก็ถาม
“จะไปไหน”
“มหา’ลัย”
เขาทำหน้ามึน ผมเลยอธิบายเพิ่ม
“ไปเรียนหนังสือน่ะ”
“ฉันไปด้วย”
“ไปทำไม” ผมถาม
“ไปเรียนรู้โลกภายนอก” หยางจิวหรงตอบ เขายืนขึ้นแล้วเดินมาที่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือของผม “ฉันอยากไปด้วย”
“ไม่เอา ผมไปเรียนหนังสือ ไม่ว่างมาคอยดูนายหรอกนะ”
“ฉันจะไป” อีกฝ่ายยืนยันเสียงแข็ง หน้านิ่งไม่เปลี่ยนอารมณ์สักนิด
ผมถอนหายใจ ดูท่าคงต้องยอมให้เป็นอย่างที่เขาต้องการ
“ก็ได้ๆ ยังไงก็แล้วแต่ ไปอาบน้ำแปรงฟันแล้วก็เปลี่ยนชุดเสียก่อน ชุดนี้ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เดี๋ยวจะเตรียมเสื้อผ้าใหม่กับแปรงสีฟันให้”
“แปรงสีฟัน อืม...” อีกฝ่ายทำท่าคิด ผมนึกสงสัยเลยถาม
“อย่าบอกนะว่ากำลังคิดว่าแปรงสีฟันคืออะไร”
“ใช่ พอสงสัยก็จะมีข้อมูลปรากฏขึ้นมาในหัว พอศึกษาแล้วก็จะเข้าใจเอง มันก็เหมือนแปรงสีฟันที่เคยมี ที่วังนั่นแหละ แต่ไม่ได้ทำจากไม้”
“เข้าใจก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องสอนนายแปรงฟัน” ผมถอนหายใจหนหนึ่ง ลากหยางจิวหรงไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะหาแปรงสีฟันใหม่จากตู้เก็บของหน้าห้องน้ำมาให้เขาใช้
“เสื้อผ้าเดี๋ยวเอามาวางให้หน้าประตูนะ” ผมบอกตอนที่ส่งแปรงสีฟันผ่านประตูเข้าไป หยางจิวหรงพยักหน้าหงึกหงัก มือคว้าหลอดยาสีฟันมาถือไว้ ดูท่าเขาคงรู้แล้วว่าคนสมัยปัจจุบันแปรงฟันกันยังไง
ไม่ว่าข้อมูลอะไรนั่นจะถูกส่งเข้าหัวเขาด้วยวิธีไหน แต่ก็นับว่าเขาเป็นพวกเรียนรู้เร็วพอสมควร
เมื่อวานนี้ผมให้โทรศัพท์เขาไปไม่นาน เขาก็จัดการเล่นมันได้คล่องกว่าแม่ผมเสียอีก แม่มีโทรศัพท์มาสามปีแล้ว แต่ก็มีปัญหาต้องให้ผมไปสอนตอนเล่นไลน์กับเพื่อนสัปดาห์ละหนสองหน แต่กับหยางจิวหรง ผมแค่สอนนิดๆ หน่อยๆ แล้วปล่อยให้ลองกดเอง ก็เห็นเขากดอะไรง่วนอยู่ทั้งคืนโดยไม่ต้องหันมาถามผมสักแอะ
ได้แต่หวังว่าอีกไม่นานเขาคงเคยชินกับโลกใบนี้ แล้วตัดสินใจโบกมือลาผมแบบว่าบ๊ายบาย ไปเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองละนะ อะไรทำนองนั้น ผมจะได้เลิกมีตัวละครทะลุมิติให้ต้องเลี้ยงดูเสียที
เข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบเสื้อผ้ามาชุดหนึ่ง กะว่าเป็นชุดที่เขาน่าจะใส่ได้ หยางจิวหรงตัวสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่เรื่องเสื้อผ้าไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก ผมแค่หาเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงตัวที่หลวมจนไม่ค่อยได้ใส่มาสักตัว แค่นั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย
หลังอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ ผมกับหยางจิวหรงก็เดินลงไปข้างล่าง แม่รออยู่แล้วพร้อมกับอาหารบนโต๊ะ ไข่เจียวและผัดผักง่ายๆ
“นนท์ เต้ กินข้าวก่อนไหมลูก” แม่ร้องทักเหมือนว่ามีลูกชายสองคนมาตั้งแต่แรก
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” ผมตัดบทแล้วรีบกระชากแขนหยางจิวหรงออกจากโต๊ะอาหาร “ไปก่อนนะครับแม่ ขอให้สนุกกับการทำงานวันนี้ บาย”
ผมเดินผ่านโซฟาหน้าทีวีซึ่งมีกล่องกระดาษขนาดเล็กกองอยู่เป็นพะเนิน แล้วก็โดดข้ามลังขนาดใหญ่ที่บรรจุบลัชออนทาหน้านับสิบนับร้อยอัน ก่อนจะตรงไปเปิดประตูบ้าน
แม่ของผมทำอาชีพขายรองเท้าสตรีในห้างสรรพสินค้า แม่จะเริ่มงานที่ห้างในเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง และกลับมาเวลาสามทุ่ม ช่วงนี้แม่เริ่มหันมาหารายได้เสริมด้วยการขายเครื่องสำอางออนไลน์ นั่นคือเหตุผลที่มีกล่องกระดาษใบเล็กๆ กองพะเนินเต็มโซฟา
ดูเหมือนแม่กำลังหัดๆ อยู่ และยังไม่คล่องเรื่องการรับออร์เดอร์จากแอพฯ ในโทรศัพท์เท่าไหร่นัก กว่าแม่จะรู้ตัวว่ามีคนสั่งของเข้ามาก็ปาไปหลายวัน สินค้าของร้านเราเลยส่งช้าอยู่เรื่อย ผมเองก็พยายามเข้าไปช่วยในเวลาที่ว่าง ก็ได้แต่หวังว่าแม่จะชินกับการใช้แอพฯ เร็วๆ จะได้ส่งของได้เร็วกว่านี้ ไม่โดนลูกค้าบ่น
เศรษฐกิจแบบนี้แม่พยายามหาเงินเพิ่มทุกช่องทาง ผมรู้ว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก การมีหยางจิวหรงเข้ามาให้เลี้ยงอีกคนไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย ผมต้องหาทางกำจัดเขาให้ออกไปจากชีวิตพวกเราโดยเร็ว
“เธอไปที่เรียนยังไงเหรอ” สิ่งมีชีวิตที่ผมพยายามกำจัดโผล่มาข้างๆ แล้วเอ่ยถาม
ผมเลื่อนประตูรั้วบ้าน รอให้เขาออกมาแล้วจึงเลื่อนรั้วปิด บ้านของผมเป็นทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก มีบริเวณด้านหน้าพอให้จอดรถได้หนึ่งคัน และมีรั้วทาด้วยสีขาวครีม ตั้งอยู่ระหว่างบ้านหน้าตาแบบเดียวกันแถวหนึ่ง ถัดจากหมู่บ้านทาวน์เฮาส์ของพวกเราไปก็เป็นที่ตั้งของตึกแถวกับตลาดสด
“ขึ้นรถเมล์ที่หน้าตลาด แล้วไปต่อรถไฟฟ้า” ผมตอบ
พวกเราเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายรถหน้าตลาด ร้านน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ข้างป้ายรอรถส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ แต่ผมไม่กิน เพราะปาท่องโก๋กินแล้วมือมันแผล็บ จะเช็ดที่ไหนก็ไม่หาย ต้องล้างมือ แถวนี้ก็ไม่มีก๊อกน้ำให้ล้างเสียด้วยสิ ผมยืนรอให้รถเมล์คันที่ต้องการปรากฏขึ้น ส่วนหยางจิวหรงมองดูผู้คนที่ต่อแถวกันซื้อน้ำเต้าหู้
“เคยเห็นแบบนี้ไหม” ผมถามเบาๆ
“ก็เคยนะ ตามตลาด คนมารอซื้อของ คงเหมือนกันทุกยุคแหละ”
“เดาว่านายคงไม่มีเงินมาด้วยสักแดง”
“ถึงมีมาในชุดเมื่อวาน ก็ใช้ที่นี่ไม่ได้อยู่ดี” หยางจิวหรงตอบ ส่ายศีรษะไปมา รูปลักษณ์ที่ดูโดดเด่นของเขาทำให้คนรอบๆ ป้ายรถเมล์มองมาอย่างสนใจ
ผู้ชายตัวสูง หน้าหล่อ ผมยาว ในเสื้อยืด กางเกงยีนบ้านๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเปล่งประกายอย่างกับดารา ถ้าเขาคิดจะไปทำงานวงการบันเทิง ผมว่าต้องรุ่งแน่
รถเมล์คันที่ผมรออยู่แล่นมาตามถนนในที่สุด ผมโดดขึ้นรถ ซื้อตั๋วสองใบให้ตัวเองและหยางจิวหรง ท่าทางเขาบอกว่าสนใจ ผมเลยให้ตั๋วเขาไปดู หมอนั่นนั่งจ้องตั๋วรถเมล์เหมือนเด็กเพิ่งเคยขึ้นรถครั้งแรก ดูแล้วก็น่ารักดีเหมือนกัน
ต้องต่อรถไฟฟ้าเข้าไปที่มหาวิทยาลัย ผมมีตั๋วรายเดือน แต่หยางจิวหรงไม่มี เขาเฝ้าดูผมกดตู้จำหน่ายบัตรโดยสารด้วยท่าทางเหมือนกำลังเรียนรู้โลก จากนั้นเขาก็มองดูผู้คนที่เดินผ่านแผงกั้นไปโดยเสียบการ์ดหรือแตะตั๋วรายเดือนเข้ากับแผงเซนเซอร์ อีตาฮ่องเต้ทำตามได้โดยไม่ดูงุ่นง่านเลยสักนิด ผมแอบนับถือหัวสมองของเขา เพราะจำได้ว่าตอนแรกที่ตัวเองขึ้นรถไฟฟ้าก็เสียบบัตรผิดด้านบ้าง เสียบไม่ตรงช่องบ้าง ไม่ได้ดูสง่างามเหมือนกับอีตาตัวละครทะลุมิตินี่
พวกเราขึ้นรถไป เวลานี้คนค่อนข้างแน่น เพราะเป็นช่วงที่ใครๆ ก็ออกไปเรียน ไปทำงาน ผมกับหยางจิวหรงยืนด้วยกันบริเวณใกล้กับส่วนต่อเชื่อมขบวน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ดูโพสต์ในไอจีเล่นๆ หยางจิวหรงมองไปรอบๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงบ้าง
เขากดปลดล็อก แล้วจ้องมองหน้าจอที่ว่างเปล่า ในมือถือเครื่องนั้น เมื่อคืนผมตั้งค่าให้มันล็อกเอาต์จากบัญชีต่างๆ ของผม ไม่ว่าจะไลน์หรืออินสตาแกรม เพราะผมไม่อยากให้หยางจิวหรงเอาบัญชีของผมไปทำอะไรมั่วๆ ผลก็คือในโทรศัพท์เครื่องนั้นไม่มีอะไรให้ฮ่องเต้อ่านหรือดูได้
“ทุกคนหยิบไอ้นี่ขึ้นมาจ้องมอง ทำแบบนั้นกันทำไมเหรอ” หยางจิวหรงกระซิบ ผมเดาว่าเขาคงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบคนอื่นๆ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร
“ในนี้มีอะไรๆ ให้อ่านไม่ก็ดู” ผมยื่นหน้าจอของตัวเองให้เขาดู “แบบว่ารูปถ่าย เหมือนรูปวาดน่ะ มีรูปถ่ายของเพื่อนๆ และข่าวเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก จะว่ายังไงดี...มันเหมือนที่คนในยุคของนายไปดูกระดานบอกข่าวล่ะมั้ง”
หยางจิวหรงทำท่าคิดตาม “ทุกคนมีกระดานบอกข่าวอยู่ในมือ คอยแจ้งข่าวสารตลอดเวลา สะดวกสบายดีนะ แต่เครื่องนี้ไม่เห็นมีเลย”
“นายต้องสมัครไอดีของตัวเอง” ผมบอก “แล้วเมื่อคืนนอนเล่นอะไรตั้งนาน เห็นนอนกดเองไม่เรียกให้ช่วย เลยนึกว่าเล่นเป็นแล้ว”
“ฉันเจอของที่น่าสนใจมาก มันเรียกว่า เครื่องคิดเลข ไม่ว่าจะกดเลขอะไรลงไป แล้วกดเครื่องหมายที่น่าจะแทนการรวมหรือการหักออก จากนั้นกดตรงปุ่มมุมขวา แค่นั้นมันก็คิดออกมาได้หมด”
“นี่เมื่อวานนอนเล่นเครื่องคิดเลขทั้งคืนเหรอ” ผมถาม เมื่อคืนก็ไม่ได้ดูด้วยสิว่าเขากดอะไรอยู่ เห็นกดท่าทางเพลินเลยคิดว่ากำลังสนุกกับเกมหรือพวกสังคมออนไลน์อะไรทำนองนั้น
“ใช่ มันตอบถูกเสมอเลย แปลกดีนะ ฉันได้เรียนสัญลักษณ์ตัวเลขแบบใหม่ด้วย หนึ่งถึงเก้า แบบใหม่หมดเลย ตอนแรกไม่เข้าใจ แต่พอมองมัน ข้อมูลก็บอกว่ามันคือตัวเลขของยุคนี้ ฉันเอามันแทนค่ากับตัวเลขที่คุ้นเคยในหัว แล้วก็ลองตรวจสอบดูว่าเครื่องคิดเลขพวกนี้คิดถูกไหม ซึ่งก็ถูกหมดเลย จริงๆ ข้อมูลบอกมาด้วยว่าเครื่องคิดเลขใช้คิดเลขได้...ก็ตรงตามชื่อมันน่ะนะ”
ผมเอามือกุมหัว ไม่แน่ใจว่าหยางจิวหรงฉลาดมากหรือไม่รู้เรื่องอะไรเลยกันแน่ เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวชัวร์ๆ แหละถึงได้ไม่รู้จักเครื่องคิดเลข แต่การที่เขาไม่รู้จักสัญลักษณ์ตัวเลขแบบสากล มันก็คงรู้สึกประมาณว่ามีคนใช้ตัวเลขในอักษรรูนโบราณในเครื่องคิดเลขแทนเลขอารบิกที่เราคุ้นเคย จากนั้นเขาก็จัดการแปลงสัญลักษณ์แปลกๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นมาแทนเลขหนึ่งถึงเก้าในสมอง และปุ่มอื่นๆ เป็นบวกลบคูณหาร จากนั้นก็ใช้เครื่องคิดเลขเองโดยไม่มีใครสอน ถ้าคิดว่าเขาทำทั้งหมดนี้โดยอาศัยความเข้าใจของตัวเองอย่างเดียว เขาก็ฉลาด...ในความหมายหนึ่งน่ะนะ
“เอิ่ม เราคงต้องสอนอะไรกันอีกเยอะทีเดียว” ผมกุมขมับ
“ไม่ต้องห่วง ข้อมูลจะคอยอธิบายอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แล้วฉันก็หัวไว” หยางจิวหรงทำหน้าตายเหมือนทุกที เขาคงคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไรที่จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่ามีอะไรในโลกใหม่ใบนี้บ้าง
“งั้นนายอ่านภาษาไทยได้หรือเปล่า หรือว่าอ่านภาษาจีน” ผมนึกขึ้นมาแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบหนังสือแบบฝึกหัดไทย-จีน ที่ตัวเองใช้เรียนออกมาพลิกกางตรงหน้าเขา
ผมเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ เรียนภาษาจีน จึงมีหนังสือภาษาไทย-จีน ติดมาด้วย หยางจิวหรงมองข้อความบนกระดาษแบบฝึกหัดอย่างพิจารณา เขาชี้ไปที่ตัวอักษรจีนในโจทย์ก่อน
“ฉันเข้าใจพวกนี้”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ลายมือผมซึ่งเขียนคำแปลไทยเอาไว้ข้างๆ โจทย์
“พวกนี้ก็เข้าใจ แต่ลายมืออ่านยากมาก”
งั้นแปลว่าเขาอ่านได้ทั้งไทยและจีน แล้วพูดจีนได้ด้วยหรือเปล่า
“ฟังภาษาจีนออกไหม” ผมหันไปถามเขาเป็นภาษาจีน
“ฟังเข้าใจ” เขาตอบกลับมา สำเนียงจีนดีกว่าผม ชนิดที่ว่าอาจารย์คงชมแน่ถ้าหมอนี่อยู่ในห้องเรียน
ระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องภาษาจีนของเขาอยู่นั้น หยางจิวหรงก็ดึงผมกลับไปที่หัวข้อเดิม “แล้วจะทำยังไงให้โทรศัพท์มีกระดานข่าวสาร”
“อ่า ก็สมัคร...”
รถไฟฟ้ามาถึงสถานีที่เราจะต้องลงพอดี ผมเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วบอกเขาว่า
“ไว้ก่อน เราต้องลงรถแล้ว”
หยางจิวหรงพยักหน้า เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง
ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า นึกนับถือเขาอยู่ในใจที่มีท่าทางสงบนิ่งอย่างเหลือเชื่อ ถ้าผมเป็นคนทะลุมิติมา ผมคงแหกปากใส่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เช่นว่า อะไรคือรถไฟฟ้า บัตรพวกนี้ใช้ยังไงเหรอ แผงกั้นนั่นมันอะไร โทรศัพท์มือถือคืออะไร หยางจิวหรงเองก็น่าจะสับสนอยู่ไม่น้อย แต่ทุกอย่างที่เขาทำคืออยู่เงียบๆ คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรกันแล้วค่อยทำตาม
เราออกจากรถ ผมพาเขาผ่านแผงกั้นอีกครั้ง ฮ่องเต้เสียบบัตรเข้าไปตรงแผงกั้น เขาดูประหลาดใจนิดหน่อยที่ขาออกเครื่องดูดบัตรคืนไปเลย ไม่ได้เด้งขึ้นมาแบบตอนขาเข้า ผมพยักหน้าให้เมื่อเขาหันมามอง
“เขาก็ต้องเอาบัตรกลับไปเลยสิ เราลงรถแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องใช้อีก”
“เอาไปเวียนให้คนอื่นมาใช้ต่อ โดยซื้อจากเครื่องนั้นเหรอ” หยางจิวหรงถาม ชี้ไปที่เสาสำหรับจำหน่ายตั๋วโดยสาร
“แบบนั้นแหละ” ผมยิ้มให้ นึกโล่งอกที่เขาหัวไว สอนง่ายจริงๆ
ทั้งที่ตัวเองเรียกเขาออกมาเพราะจะด่าในหัวข้อที่เป็นคนโง่ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าเขาฉลาดอยู่แทบจะทุกสิบนาที เฮ้อ ก็อย่างว่าแหละนะ หยางจิวหรงไม่ได้เมินเฉยต่อนางเอกเพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะเขาไม่แคร์นางเอกต่างหาก ถึงผมจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ในหัวข้อที่เขาพูดว่า ‘นิยายเรื่องนี้พังไปแล้ว’ แต่ผมเดาว่านั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ยินดียินร้ายต่อชะตากรรมของหลี่ซูฮวา
ผมผละออกจากความคิดแล้วเริ่มเดินทางต่อ สถานีรถไฟฟ้าอยู่หน้ามหาวิทยาลัย พวกเราลงจากสถานีแล้วก็เข้าไปในรั้วมหา’ลัย เราต้องเดินหรือนั่งรถสองแถวไปอีกนิดหน่อยจึงจะถึงตึกเรียน แต่เพราะยังมีเวลาและแดดไม่ร้อน ผมจึงนำหยางจิวหรงเดินเอื่อยๆ ไปตามทางเท้า
“แล้วระหว่างที่ผมไปเรียน นายจะอยู่ไหน”
“ฉันเข้าไปในห้องไม่ได้เหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้” ผมมองหน้าเขา จ้องอย่างจริงจัง “ไม่ได้หรอก อาจารย์ต้องสังเกตเห็นแน่ คาบเรียนภาษาจีนมีแค่สามสิบคนเอง อาจารย์จำได้ทุกคน และคนที่ดูเด่นอย่างนาย ยังไงก็เข้าไปทำเนียนๆ เป็นนักเรียนไม่ได้หรอก”
เขาพยักหน้า “งั้นจะรอที่หน้าห้องเรียน”
“รอข้างล่างตึกแล้วกัน มีที่นั่ง” ผมตัดสินใจให้เขาเสียใหม่ จะให้เขาไปยืนรอหน้าห้องเรียนน่ะประหลาดตายชัก ทุกคนคงงงไปหมดแน่
ชั้นล่างของตึกเรียนมีร้านกาแฟและเบเกอรี่ ผมซื้อขนมปังไส้กรอกให้ตัวเองหนึ่งชิ้น อีกชิ้นให้หยางจิวหรง ก่อนจะพาเขาไปนั่งที่ม้านั่งยาวใต้ตึกเรียน ผมแกะขนมกิน หยางจิวหรงมองแล้วทำตาม ผมคิดว่าเขาคงไม่เคยกินอาหารอย่างนี้มาก่อน ฮ่องเต้เคี้ยวขนมปังไส้กรอกราคาถูกแล้วเอ่ยชม
“อร่อยดี”
“ชอบก็ดี” ผมยื่นขวดน้ำเปล่าที่ยังไม่ได้เปิดให้เขา “นี่น้ำ”
หยางจิวหรงรับขวดน้ำไป เขามองดูมันอยู่เสี้ยววินาทีแล้วจึงหมุนฝาเปิด ไม่ว่าข้อมูลจะเป็นคนบอกเขาให้ทำแบบนี้ หรือเขาจับสังเกตเองได้ว่ามันต้องหมุนเปิด ยังไงก็ตาม เขาเข้าใจทุกอย่างรวดเร็วใช้ได้
“รอผมที่นี่ก่อนนะ พอผมเรียนเสร็จจะลงมาหา”
“อืม”
ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหยางจิวหรงอยากตามมามหาวิทยาลัยด้วยทำไม แต่เดาเอาว่าเขากำลังศึกษาความเป็นไปของโลกใบนี้ และอยากออกมานอกบ้านเพื่อจะได้เรียนรู้
“จะเดินไปรอบๆ ก็ได้นะ” ผมบอก “พอตัวเลขในโทรศัพท์บอกเวลาเที่ยงครึ่งก็กลับมารอผมที่โต๊ะนี้”
“ตัวเลขในโทรศัพท์?”
ผมชี้ให้เขาดูว่ามือถือของเขามีสิ่งที่ช่วยบอกเวลาอยู่ “นี่ไง ตรงนี้คือตัวเลขที่บอกเวลา นายยังจำตัวเลขของยุคนี้ได้ใช่ไหม ในเครื่องคิดเลขเมื่อคืนน่ะ”
“จำได้”
“พอมันเป็นเลขสิบสองกับสามสิบ ก็มาหาผมที่โต๊ะนี้”
ผมไม่แน่ใจว่าในโลกของเขานั้นนับเวลากันอย่างไร แต่นัดหมายไว้แบบนี้คงโอเคแหละ
ผมปลีกตัวขึ้นไปบนอาคารเรียน ทิ้งหยางจิวหรงไว้ที่นั่น โดยหวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวละครทะลุมิติที่ผมวางทิ้งเอาไว้
ลงมาจากห้องเรียนอีกทีตอนพักกลางวัน ระหว่างลงบันได ผมกับเพื่อนๆ ยังคงพูดถามกันไปมาว่าอาจารย์ให้ทำการบ้านหน้าไหนกันแน่
“หน้าสามสิบสอง แบบฝึกหัดที่สี่ คือข้อหนึ่งถึงเจ็ด แต่ข้อแปดถึงสิบสี่ที่อยู่หน้าสามสิบสามไม่ต้องทำ ถูกไหม” ฤทธิ์ถาม
“ไม่ดิ ก็ทำมาหมดเลยสิบสี่ข้อไม่ใช่เหรอ” ผมล่ะงงว่าไอ้ฤทธิ์มันงงอะไรอยู่กันแน่
“อ้าว ก็อาจารย์บอกว่าเฉพาะหน้าสามสิบสอง แปลว่าข้อที่ทะลุไปสามสิบสามไม่ต้องทำ”
“ทำมาหมดนั่นแหละ เหลือดีกว่าขาด” ไก่แก้ว เพื่อนผู้หญิงอีกคนสรุปให้แล้วโบกมือใส่พวกเราเหมือนเหนื่อยหน่ายกับเรื่องหยุมหยิมที่เรายกขึ้นมาถกเถียง “นั่นข้างล่างเขามุงอะไรกัน”
ผมมองลงบันไดไป เห็นโต๊ะที่หยางจิวหรงนั่งอยู่มีคนมุงเต็มไปหมด ตอนนั้นเองที่ผมใจหายแวบ สงสัยว่าอีตาฮ่องเต้ทำอะไรแปลกๆ จนคนมามุงดูหรือเปล่า ผมสาวเท้า ลงบันไดอย่างรวดเร็ว ฝ่าผู้คนตรงไปที่โต๊ะตัวนั้น
ที่โต๊ะ หยางจิวหรงนั่งเท้าคาง ท่าทางเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร บนโต๊ะมีขนมปังไส้ต่างๆ กับพวกคุกกี้วางอยู่เต็มไปหมด ผู้คนที่รายล้อมเขาอยู่ล้วนเป็นสาวๆ จากคณะต่างๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ผมละล่ำละลักถาม
“ฉันบอก...ผู้หญิงคนหนึ่งไปว่าขนมปังไส้กรอกที่กินเมื่อเช้าอร่อยดี แล้วเธอก็เอามาให้ฉันอีกชิ้น กว่าจะรู้ตัว ใครๆ ก็พากันเอาขนมนู่นนี่มาให้ฉัน”
ผมฟังคำอธิบายแล้วมองไปรอบๆ สายตาของเหล่าผู้หญิงที่มองกลับมาคล้ายจะถามผมว่าผมเป็นอะไรกับหยางจิวหรง
“ฉันบอกพวกเขาไปว่าฉันชื่อเต้ เอกการละคร ปีสอง”
เอาเป็นว่าเขายังปกปิดฐานะของตัวเองได้อยู่ ผู้หญิงพวกนี้แค่ซื้อของมาให้เพราะเห็นแก่หน้าตาหล่อๆ ของเขาเท่านั้น
ผมถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะบอกบรรดาคนที่มุงกันอยู่ว่า “ช่วยสลายตัวก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแถวนี้”
“ก็ได้ค่ะ แต่อย่าลืมแอดไลน์หนุงหนิงมานะคะ พี่เต้”
“ใช่ค่ะ แอดเฟซเจนด้วยนะคะ”
“เขียนเบอร์แปะไว้ที่กล่องขนมนะคะ”
เหล่าสาวๆ หันมาสั่งเสียร่ำลาและยื่นเศษกระดาษที่เขียนไลน์ เฟซบุ๊ก และไอจีให้ผมจนเต็มมือ ก่อนจะพากันเดินจากไป
ผมวางกระดาษใบเล็กๆ พวกนั้นลงบนโต๊ะข้างเบเกอรี่กองใหญ่ จากนั้นก็มองหน้าหยางจิวหรง
“มือถือบอกเวลาสิบสองกับสามสิบพอดีเลย นนท์มาตามนัดจริงๆ ด้วย” อีกฝ่ายทำท่าเหมือนพอใจที่ผมรักษาคำพูด เขาผายมือไปทางกองขนมแล้วถามความเห็น “จะทำยังไงกับของที่พวกประชาชนเอามาถวายดี”
ในสายตาของหยางจิวหรง นี่คงเป็นของที่พวกไพร่ฟ้านำมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่ฮ่องเต้ ผมเกาหัวแกรก
“ถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็กินเป็นข้าวกลางวันแล้วกัน” หยางจิวหรงเป็นคนตัดสินใจให้ ตอนนั้นเองที่ฤทธิ์กับไก่แก้วเดินมาถึงตัวผม
“นนท์ อะไรกัน ทำไมมีขนมเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย แล้วนี่ใคร” ไก่แก้วถาม กวาดตามองบนโต๊ะและมองหน้าพวกเราสองคนอย่างประหลาดใจ
“นี่เต้ เพื่อนกันน่ะ” ผมพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย “ขนมนี่ แบบ...”
“มีผู้หญิงให้มา” หยางจิวหรงอธิบาย
ถึงแม้จะเป็นคำอธิบายที่ขวานผ่าซากไปสักหน่อย แต่ดูเหมือนฤทธิ์กับไก่แก้วจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“โห เป็นคนหล่อนี่มันดีจริง มีสาวๆ ซื้อขนมมาให้เพียบเลย” ฤทธิ์บอก มือหยิบกล่องคุกกี้ที่ดูเหมือนซื้อจากร้านใต้ตึกขึ้นมาหมุนๆ ดู
“เพื่อนนนท์เหรอ” หยางจิวหรงถาม
“ใช่ๆ เพื่อนที่เรียนจีนด้วยกัน” ผมบอก
“มากินด้วยกันสิ แบ่งให้” ตัวละครทะลุมิติหันไปทางฤทธิ์และไก่แก้วก่อนจะทำสีหน้าค่อนข้างเป็นมิตร เกือบจะถือว่ายิ้มได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว
สรุปพักกลางวันนั้นพวกเราเลยจบด้วยการนั่งกินขนมที่หยางจิวหรงได้มาจาก เอ่อ...ประชาชนของเขา
“เต้โคตรเก่ง สำเนียงเป๊ะเว่อร์แบบนี้ทำไมไม่มาเรียนเอกจีนเนี่ย ไปเรียนเอกการละครทำไม” ฤทธิ์ร้องออกมาหลังเราหยิบหนังสือขึ้นมาทบทวนกัน หยางจิวหรงช่วยแก้วิธีออกเสียงของผมให้ถูกต้อง ก่อนจะช่วยสอนการบ้านเราหลายข้อ
“เขาเก่งขนาดนี้ไม่ต้องเรียนแล้วปะ เอกจีนน่ะ พูดจีนได้อยู่แล้วก็ไปเรียนเอกอื่นดีกว่า” ไก่แก้วพูดขณะที่มือกำลังเขียนยิกๆ ตามที่หยางจิวหรงบอก “ข้อต่อไปต้องตอบว่าอะไรเหรอ”
“ถ้าเรามีเต้ ต่อจากนี้การเรียนคงง่ายขึ้นจม” ฤทธิ์ตาลุกวาวด้วยความดีใจ ก่อนหันมาถามผม “ไปรู้จักกันเมื่อไหร่เนี่ย ไม่เห็นรู้เลยว่านนท์มีเพื่อนเก่งๆ แบบนี้ด้วย”
“เพิ่งรู้จักกันไม่นานน่ะ” ผมตอบกลางๆ ไม่ระบุเวลาชัดเจน มือก็หยิบคุกกี้รสชาเขียวออกจากกระปุกใส่ปากเคี้ยว ขนมที่หยางจิวหรงได้มาจากสาวๆ กินไปตั้งเยอะแล้วแต่ก็ยังกองเต็มโต๊ะอยู่ดี
หยางจิวหรงยอมบอกคำตอบของการบ้านให้พวกเรา และยังช่วยเราคิดบทสนทนาภาษาจีนที่อาจารย์สั่งให้เตรียมไปพูดในคาบตอนบ่ายด้วย ระหว่างที่พวกเรากำลังใช้งานฮ่องเต้อย่างดีอกดีใจอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเป็นชื่อของผม
“น้องนนท์”
ผมเงยหน้าขึ้น คนที่กำลังเดินตรงมาคือพี่เทียน พี่ปีสามเอกจีนนั่นเอง
พี่เทียนเป็นตำนานของเอกภาษาจีน ทุกคนร่ำลือกันว่าพี่เขาเก่งจีนมากเหมือนเป็นคนจีนตัวจริง พูดสำเนียงชัด เขียนตัวหนังสือสวย ทำได้แม้กระทั่งเขียนตัวอักษรพู่กัน ก่อนหน้านี้พวกผมมักไปขอให้พี่เขาช่วยติว ช่วยสอนอยู่เสมอ พี่เทียนใจดีมาก ไม่เคยปฏิเสธเลย พวกเราทั้งกลุ่มเลยสนิทกับพี่เขามาก
“ทำอะไรอยู่ การบ้านเหรอ มา พี่ช่วยเหมือนทุกทีไหม”
“ไม่เป็นไรครับพี่เทียน” ฤทธิ์ตอบ “วันนี้พอดีเพื่อนนนท์ช่วยทำไปแล้ว นี่เต้ครับ เพื่อนนนท์ เขาเก่งจีนพอๆ กับพี่เทียนเลย”
พี่เทียนหันไปมองหน้าหยางจิวหรง ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนทั้งสองคนทำหน้าแบบถูกผีหลอก
พี่เทียนกระโดดไปข้างหลังสองฟุต ร้องเหวอออกมาหน่อยหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เทียนดูตกใจอะไรแบบนี้ พอหันมองหยางจิวหรง ก็เห็นเขากำหมัดแน่น ริมฝีปากขบปิด ดวงตาจ้องไปทางพี่เทียนอย่างประสงค์ร้าย
“มีอะไรเหรอ” ผมกระซิบถาม
หยางจิวหรงพูดอะไรบางอย่างออกมาสามพยางค์ แต่ผมได้ยินไม่ชัด
“พูดดังๆ หน่อย”
เขาทำเป็นไม่สนใจผม ยังคงจ้องพี่เทียนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่แบบนั้น
ฝ่ายพี่เทียน เขาหันมองพวกผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะเดินกลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง มือจับเนกไทชุดนักศึกษาให้เข้าที่ สายตามองที่โต๊ะโดยไม่มองไปทางฮ่องเต้
ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่เทียนดูตกอกตกใจ สีหน้าไม่สู้ดีเลย ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ ปกติเขาจะเป็นคนสุขุมตลอดเวลา จนใครๆ อดจะนึกนับถือไม่ได้ว่าเป็นคนบุคลิกดี
“นี่เพื่อนนนท์เหรอ รู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่เทียนถาม เสียงสั่นนิดหน่อย
“ไม่นานครับ” ผมตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่เทียน”
“เปล่าหรอก” ฝ่ายนั้นตอบ ยังไม่มองหน้าหยางจิวหรงอยู่เหมือนเดิม “พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระ ยังไงขอตัวก่อนนะ”
จากนั้นพี่เทียนก็เร่งรุดเดินจากไป โดยมีหยางจิวหรงมองตามเหมือนจะใช้สายตาไล่กวดเขาไปจนสุดทางที่จะมองเห็นได้
“แปลก วันนี้คุณชายมาดเนี้ยบของเราดูลนลานชอบกล” ไก่แก้วออกความเห็น
คำว่าคุณชายมาดเนี้ยบนั้นไก่แก้วหมายถึงพี่เทียนนั่นแหละ พี่เทียนเป็นคนที่แต่งชุดนักศึกษาเรียบร้อยอยู่บ่อยครั้ง ผมตัดสั้นเป็นระเบียบ หวีเรียบกริบ หน้าตาของเขาก็จัดว่ารูปหล่อ ผิวพรรณดี ขาวนวล เมื่ออยู่ในกลุ่มนักศึกษาทั่วไปอย่างพวกเรา พี่เทียนจึงดูโดดเด่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนใครๆ ก็คุยกันว่าเขาน่าจะเป็นลูกผู้ดีจากครอบครัวชั้นสูง พ่อแม่อาจจะมีเชื้อสายเจ้าเก่าอะไรทำนองนั้น
แต่วันนี้พี่เทียนกลับดูล่กๆ ลนลาน ผิดไปจากทุกที และหยางจิวหรงก็ดูมีท่าทีแปลกๆ ผมมองดูฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรเหรอ” ผมถามออกไป แต่เขาก็ไม่ตอบ เพียงแต่นั่งนิ่งก้มหน้า เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่งั้นแหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in