เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เชิญพระเอกในนิยายมาเป็นผู้ชายในชีวิตจริงminimore
Chapter 1
  • 1

     

             โอ๊ย ไอ้ฮ่องเต้นี่มันจะโง่อะไรกันนักหนา

             ผมนั่งจิกทึ้งหัวตัวเองอยู่หน้าโน้ตบุ๊กด้วยความอารมณ์เสีย บนหน้าจอโน้ตบุ๊กเปิดเว็บอ่านนิยายชื่อดังที่ผมอุตส่าห์เติมเงินเปย์เหรียญมาอ่าน แต่แล้วก็ต้องหงุดหงิด เพราะตัวละคร หยางจิวหรง’ หรือพระเอกของเรื่องช่างโง่งั่งจนอยากจับมาเทศนากัณฑ์ใหญ่สักยกสองยก

             ก็เห็นๆ อยู่ว่านางเอกผู้แสนน่ารักและบอบบางอย่าง หลี่ซูฮวา’ กำลังถูกนางร้ายที่ยศสูงกว่าอย่าง ฮองเฮาจูหนิงเอ๋อร์’ กลั่นแกล้งอยู่ชัดๆ แต่หยางจิวหรงก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งที่เหตุการณ์เกิดอยู่ต่อหน้าก็ยังหันไปเข้าข้างจูหนิงเอ๋อร์ ไม่รู้ว่านี่มันฮ่องเต้หรือว่าตอไม้มาจากไหนกันแน่ ถึงได้ไม่ทันคนเสียขนาดนี้

             หยางจิวหรง แกทำให้ซูฮวาที่น่ารักของผมต้องมาโดนทำโทษอีกแล้ว แต่งเข้ามาเป็นพระสนมในวังไม่เห็นจะมีดี มีแต่มาถูกรังแก กลั่นแกล้ง ตกระกำลำบาก แกที่เป็นพระเอกแทนที่จะคอยช่วยกลับยืนหน้าโง่อ่านเกมไม่ออก ช่างไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำไมคนโง่อย่างแกต้องมาเป็นพระเอกเรื่องนี้ด้วยนะ

             อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ ผมออกอาการอินกับนิยายเรื่องนี้เสียจนถ้าใครผ่านมาเห็นคงคิดว่าบ้า แต่โชคดีที่ผมอยู่ในห้องส่วนตัว ปิดประตูอย่างดี ไม่มีทางที่ใครจะผ่านมาพบเจอได้

             นิยายเรื่อง ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ที่ผมกำลังอ่านอยู่นี้เป็นนิยายจีนที่คนไทยแต่ง เนื้อหาจึงมีความจีนบ้าง ออกไทยบ้าง ออกตะวันตกบ้าง ปนกันอย่างน่าสับสน แถมตัวเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีแค่พระเอก นางเอก และนางร้าย ทะเลาะกันแย่งผู้ชายไปมาอย่างคาดเดาได้ แต่ผมกลับติดนิยายเรื่องนี้งอมแงมเสียจนยอมเปย์เงินอ่าน ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกนะที่ติดนิยายเรื่องนี้ ยังมีนักอ่านอีกมากมายที่ติด ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ กันอย่างเหนียวแน่น ยอมจ่ายเงินเข้ามาอ่านทุกตอน แม้ว่าจะอ่านไปพลางบ่นและก่นด่าพระเอกไปด้วยตลอดทาง ก็ยังคงจ่ายเงินเข้ามาอ่านกันเป็นร้อยบท

             ที่ว่าร้อยบทน่ะไม่ได้พูดเว่อร์หรอก นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหายืดยาวกว่าสามร้อยตอน (ความยาวตอนละไม่กี่หน้ากระดาษเอสี่) ด้วยความยาวระดับนี้ ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ คงจะสูบเงินจากผมไปได้อีกนาน ถ้าหากผมยังไม่เลิกสงสารนางเอกและจ่ายเงินเปย์นิยายเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ

             เห็นทีผมต้องหักดิบแล้วสิ ผมต้องเลิกอ่านนิยายเรื่องนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง แล้วก็เสียอารมณ์ไปกับอีตาหยางจิวหรงพระเอกสุดโง่อีกต่อไป

             พอคิดได้ดังนั้นแล้วผมก็...

             กดเติมเหรียญอีกสามร้อยบาทและคลิกอ่านตอนต่อไปในราคาเจ็ดบาทถ้วน เพื่อดูพระเอกยืนทำหน้าตายปล่อยให้นางเอกผู้น่าสงสารถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเหมือนเดิม

             โอ๊ย นี่ผมทำอะไรอยู่ ผมควรเลิกอ่านนิยายเรื่องนี้ได้แล้ว

             ผมลุกขึ้นยืนตัวตรง บอกตัวเองให้มีสติ

             ถึงนิยายจะสนุกขนาดไหน ถ้าพระเอกงี่เง่าแบบนี้ ยังไงก็ไม่ควรเสียเงินอ่านต่อหรอก เลิกอ่านดีกว่า หรือถ้าอยากให้อ่านต่อล่ะก็ ขอเจอพระเอกแบบตัว-ตัวสักหน่อย จะได้ด่าให้หายโง่ ออกมาดิ ออกมาเจอกันเลยเป็นไง

             สิ้นคำของผม ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาใส่หลังคาบ้าน ทำให้โน้ตบุ๊กที่ต่อสายชาร์จเอาไว้กะพริบวิบวับ แล้วหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ สลับไปมาราวกับสีของลูกบอลคริสตัลในดิสโก้เทค ในตอนที่ผมนึกกลัวว่าโน้ตบุ๊กจะถึงคราวพังนั้น ท้องฟ้าก็ลั่นครืนขึ้นหนหนึ่ง หน้าจอโน้ตบุ๊กดับสนิท ฉายเพียงภาพสะท้อนของผมกับเงาดำของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง...

             ใครจะมายืนข้างหลังผมได้ล่ะ ในเมื่อผมอยู่ในห้องนี้คนเดียว!

             ผมหันไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังลั่น เพราะที่ยืนอยู่ด้านหลังผมคือผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดแบบจีนโบราณสีทองอร่าม แถมยังผมยาว ใส่ชุดเหมือนหนังกำลังภายในแบบนี้ ดูยังไงก็ไม่ปกติสุดๆ

             เขาโผล่มาจากไหนกัน ห้องหับผมก็ยังปิดประตูดี ผู้ชายคนนี้เข้ามาทางไหน 

             นี่คุณเป็นใครน่ะ” ผมร้องออกมาดังลั่น เห็นแสงอะไรแวบๆ ทางหางตา พอหันมองที่จอโน้ตบุ๊กอีกครั้งก็พบว่ามันกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว

             ฉันเอง หยางจิวหรง” เสียงที่ตอบมานุ่มทุ้มชวนฝันและ...เป็นภาษาไทยชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน

             จิวหรง หยางจิวหรง” ผมรู้สึกปวดหัวแปลบขึ้นมาขณะนึก สิ่งเดียวที่ผมนึกออกเกี่ยวกับชื่อนี้ก็คือ... ชื่อเหมือนพระเอกนิยายน่ะเหรอ

             ก็ใช่ เธอเป็นคนเชิญฉันออกมาจากนิยายนี่นา ฉันออกมาจากนิยายเรื่อง ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ที่เปิดอยู่นั่นไงล่ะ

    ผมมองไปรอบๆ พลางนึกสงสัยว่าแม่ตกลงกับรายการซ่อนกล้องอะไรให้มาแอบถ่ายผมหรือเปล่า แต่เพราะในประเทศไทยไม่มีรายการแบบนั้น ไม่เหมือนรายการทีวีญี่ปุ่น และผมก็ไม่คิดว่าแม่จะเล่นอะไรแผลงๆ ทำนองนี้ด้วย

             โจรหรือเปล่า ขโมยใช่ไหม” ผมถาม ทั้งที่ถ้าเป็นโจรหรือขโมยก็คงไม่ใส่ชุดจีนมายืนเต๊ะท่าให้เจ้าของบ้านเห็นอยู่แบบนี้หรอก

             ผมลองคิดคำนวณดูแล้ว สิ่งเดียวที่พอจะเป็นไปได้ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็คือ...

             ตัวละครในนิยายทะลุมิติออกมาข้างนอก เหมือนที่ผมเคยอ่านเจอในนิยายมานั่นแหละ

             ...

             มันจะเป็นอย่างนั้นได้ไงล่ะฟะ!” ผมตะโกนใส่หยางจิวหรง (?) ที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเสียงอันดัง หยางจิวหรงมองตอบกลับมา ท่าทางเหมือนไม่เข้าใจว่าผมกำลังเป็นบ้าเป็นบออะไรอยู่

             มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ” เจ้าฮ่องเต้นั่นตอบอย่างหน้าตาย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรบนสีหน้าเลยสักกะนิด

             ไม่จริง หยางจิวหรงตัวจริงต้องพูดภาษาจีน” ผมโวย

             คนเขียนเป็นคนไทย ก็เลยพูดภาษาไทยได้ด้วยไง

             ที่เถียงกลับมาก็สมเหตุสมผล... ผมหยุดนิ่งไปนิดหนึ่งเพื่อครุ่นคิด

             ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็...” ผมชี้หน้าจอโน้ตบุ๊กที่เปิดอยู่ กลับเข้าไป ไป๊ จะออกมาทำไม กลับเข้าไปในเรื่องเลย แถวนี้ไม่มีอะไรให้นายทำหรอกเชิญกลับเข้าไปทำตัวโง่ๆ ในเรื่องต่อได้เลยจ้า

             ทำไมเธอถึงพูดจาไม่มีมารยาทแบบนี้” หยางจิวหรงเดินช้าๆ ไปทางเตียงนอนของผมแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง ท่าทางสบายเหมือนเป็นเจ้าของบ้าน ฉันออกมาแล้ว เรื่องจะกลับเข้าไปมันก็ไม่ง่าย ยังไงต่อจากนี้ขออยู่ที่นี่แล้วกันนะ

             ผมนิ่งมองหยางจิวหรงที่นั่งอยู่ตรงนั้นพลางคิดอย่างใจลอยว่า ไม่แปลกที่ทั้งนางเอกและนางร้ายจะพากันแย่งหมอนี่อย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น ดูหน้าตาเขาสิ กรามชัด หน้าสวย จมูกโด่ง ผิวขาวอย่างกับหยกมันแพะอย่างที่ในเรื่องเขียนบอก แค่หน้าตาก็กินขาดแล้ว แถมในนิยายหมอนี่ยังเป็นถึงฮ่องเต้ บุญบารมีล้นเหลือ บ้านรวย มีวัง แถมยังรูปหล่อ เพอร์เฟกต์ไปซะหมด เสียอย่างเดียวก็ไอ้สมองทื่อๆ ที่ไม่ยอมหาทางช่วยนางเอกจากชะตากรรมที่น่าสงสารเสียทีนั่นแหละ

             ระหว่างที่ผมกำลังตกตะลึงกับความหล่อของเขาอยู่นั้น หยางจิวหรงก็ถามซ้ำขึ้นมา

             เงียบแบบนี้คือให้อยู่ได้ใช่ไหม จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงสะกดให้วุ่นวายเปล่า

             สะกดอะไร อยู่ได้อะไร” ผมถามกลับ มองหน้าเขาตาขวาง

             คนที่นั่งปลายเตียงเลิกคิ้ว ไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติม แต่สมองของผมพอจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาบ้างแล้วหลังมีเวลาคิดนิดหน่อย

             เฮ้ย ไม่เอานะ นายจะมาอยู่ที่บ้านนี้ไม่ได้ ผมไม่สะดวก เชิญกลับเข้าหน้าจอไปซะ มาทางไหนไปทางนั้น โอเคไหม

    หยางจิวหรงทำหน้าบึ้ง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันบนเตียง อีกข้างหนึ่งปล่อยลงพื้นตามสบาย เขาส่ายศีรษะจนเส้นผมที่แผ่สยายปกคลุมแผ่นหลังไหวไปมาราวกับระลอกคลื่น

             คนอะไร ขนาดส่ายหน้าผมยังพลิ้วเป็นจังหวะสวย พระเจ้าสร้างมาชัดๆ

             บอกแล้วไงว่าตอนเชิญออกมาน่ะมันง่าย แต่ตอนกลับเข้าไปน่ะมันยาก ตกลงจะให้อยู่หรือไม่ให้อยู่ ถ้าไม่ให้อยู่คงต้องขอสะกดเธอแล้วแหละนะ

             พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ทำท่าเหมือนจะปล่อยพลังอะไรใส่ผม

             นั่นจะทำอะไร หยุดนะ” ผมร้องโวย ยกสองแขนขึ้นกันสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

             สะกดเธอไง ตัวละครที่ออกมาจากนิยายจะได้รับพรวิเศษ ให้สะกดมนุษย์คนใดก็ได้หนึ่งคน พรข้อนี้เอาไว้ทำให้มนุษย์เชื่อฟังเราและยอมให้เราอยู่ด้วย

             ไม่เอา อย่ามาสะกดผม ผมไม่อยากกลายเป็นทาสรับใช้ของนาย” ผมยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน

             หยางจิวหรงวางมือลงบนหัวเข่าที่ชันไว้ เอียงคอถาม ถ้าไม่อยากให้สะกด เธอก็ต้องยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ ถ้าเธอไม่ยอมโดยดี ฉันก็ไม่มีทางเลือก นอกจากสะกดเธอให้ยอมเลี้ยงฉันไว้

             โอย” ผมพยายามคิดตาม ถ้าถูกเขาสะกดเข้า มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมก็ไม่รู้ แต่คงไม่ดีแน่ การถูกสะกดน่าจะหมายถึงการต้องทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้น สู้ผมยังมีอิสระในความคิดและการกระทำ และยอมให้เขาอยู่ที่นี่เสียโดยดีน่าจะปลอดภัยกว่า

             ก็ได้ๆ” ผมร้องออกไป ผมยอมให้นายอยู่ที่นี่ก็ได้ อย่าใช้มนตร์สะกดอะไรนั่นกับผมเลย ผมไม่เอาด้วยนะ

             ถ้าเธอว่าง่ายมันก็ดี” หยางจิวหรงพยักหน้าคล้ายพออกพอใจที่ผมยอมตามน้ำ ตอนนี้ฉันหิวน้ำ ช่วยไปเอาน้ำมาให้ดื่มสักแก้วสิ

             ผมเดินเขย่งปลายเท้าไปที่ประตูห้องนอน ก่อนจะออกจากห้อง ผมเริ่มนึกสงสัยอีกหนว่าเขาเป็นโจรขโมยอะไรหรือเปล่า แล้วถ้าผมออกไปหยิบน้ำมาให้เขา เขาจะคว้าโน้ตบุ๊กผม กระโจนออกทางหน้าต่าง แล้วใช้วิชาตัวเบาหนีไปไหม

             แต่ด้วยเหตุและผลที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดในสมอง ผมสรุปว่าเขาไม่ใช่โจรหรอก เพราะโจรไม่น่าทำอะไรแบบนี้

             ดูท่าคงเหลือทางเดียวคือเชื่อตามน้ำไปก่อนว่าเขาคือหยางจิวหรง ฮ่องเต้สมองทึบที่ออกมาจากนิยาย ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ที่ผมอ่านอยู่จริงๆ

             ถึงมันจะฟังดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก แต่การมีผู้ชายตัวโตใส่ชุดจีนโบราณยืนอยู่ในห้องหลังฟ้าผ่า ก็ไม่อาจคลี่คลายกลายเป็นอะไรอื่นไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

             อีกอย่างที่อาจเป็นไปได้คือผมถูกฟ้าผ่า เกิดความผิดปกติในสมองจนเห็นภาพหลอน ดีไม่ดีตัวผมอาจนอนหมดสติอยู่กับพื้นก็ได้ ส่วนคนที่กำลังคิดและตื่นตระหนกอยู่ตอนนี้คือตัวผมในความฝัน

             พอคิดเช่นนั้น ผมก็ละมือจากลูกบิดประตูที่กำลังจะเปิด แล้วเริ่มตบตีตัวเอง

             งั้นก็ตื่นขึ้นมาสิวะ ตื่น ตื่น หรือถ้าเผลอสมองฟั่นเฟือนไปเพราะฟ้าผ่าก็รีบกลับมาเป็นปกติสิวะ นี่แน่ะ นี่แน่ะ

             หลังตบตีตัวเองอยู่สักพัก ผมก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ดูสมองฟั่นเฟือนยิ่งกว่าการเชื่อว่ามีตัวละครในนิยายหลุดออกมาจากคอมพิวเตอร์เสียอีก...

             ยิ่งตีก็ยิ่งเจ็บ ผมไม่เห็นจะตื่นขึ้นมา แถมภาพหลอนหยางจิวหรงที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้หายไป เขาเพียงแต่นั่งมองผมด้วยสีหน้าสมเพชก็เท่านั้น

             เอาเป็นว่าถ้าผมหมดสติหรือประสาทหลอนไป ตอนนี้ผมก็ยังหาทางออกจากมันไม่ได้ เล่นตามน้ำไปก่อนแล้วกัน

             ออกมาจากนิยายก็ออกมาจากนิยาย

             ผมพึมพำแล้วเดินออกจากห้องนอนลงไปที่ครัวเพื่อรินน้ำให้เขาสักแก้ว

             

             ผมรินน้ำขึ้นมาสองแก้ว แก้วหนึ่งให้ตัวเอง แก้วที่สองให้หยางจิวหรง ระหว่างที่เดินขึ้นบันได ผมได้แต่หวังว่าบางที พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน หยางจิวหรงอาจจะหายไปแล้วก็ได้

             แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสีหน้าเบื่อๆ เหมือนรอผมจนคอแห้งเต็มแก่

             ผมยื่นน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง พลางนึกว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี

             กับฮ่องเต้ ถ้าเราเอาของให้ เราต้องพูดอะไรล่ะ? ‘ทูลเกล้าฯ ถวายพะยะค่ะ’ แบบนี้หรือเปล่า ไม่น่าจะใช่ พวกตัวละครในเรื่องก็พูดกับหยางจิวหรงด้วยถ้อยคำธรรมดา ไม่ใช่ราชาศัพท์เสียด้วย

             ผมเลยตัดสินใจบอกเขาไปว่า อะ น้ำ

             หยางจิวหรงรับไปและพูดเบาๆ ขอบคุณ

             ผมดื่มน้ำที่เหลืออีกแก้วในมือตัวเอง พลางคิดว่าเมื่อไหร่เราจะหายฟั่นเฟือนจากการโดนฟ้าผ่าสักทีหนอ แต่กลืนน้ำอึกแล้วอึกเล่า ร่างกายของหยางจิวหรงก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ยังคงชัดเจนอยู่ตรงนั้น ผมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วถอนหายใจเฮือก

             ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย เรื่องที่พระเอกนิยายทะลุมิติออกมาน่ะ อย่างน้อยก็น่าจะเกิดกับสาวน้อยน่ารักหรืออะไรแบบนี้ไม่ใช่หรือไง

             อย่าบ่นอยู่คนเดียวสิ” หยางจิวหรงพูด สีหน้าเขาเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก ขาซ้ายยังชันอยู่บนเตียง มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำที่ตอนนี้ว่างเปล่า เขาแกว่งแก้วไปมาเบาๆ ฉันเองก็ไม่ได้อยากออกมาสักหน่อย ตอนแรกอยู่ในวังดีๆ การต้องออกมาอยู่ในบ้านคับแคบแบบนี้ คิดว่าฉันอยากหรือไงเล่า แล้วเรื่องที่ถามว่าทำไมไม่ออกไปหาสาวน้อยน่ารัก ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเชิญฉันออกมานี่นา มีแต่เธอน่ะที่เชิญออกมา เห็นว่าเรียกมาทำไมนะ...จะมาด่าให้หายโง่ งั้นเหรอ

             ผมนึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดก่อนจะมีฟ้าผ่าขึ้นมาได้

             เออ จริงสินะ ผมอยากจะด่าพระเอกนิยายเรื่อง ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ในฐานที่โง่สุดลิ่มทิ่มประตู มีตาเหมือนไม่มี มีหูเหมือนหูหนวก ไม่เคยสังเกตสักนิดว่านางเอกกำลังถูกนางร้ายกลั่นแกล้ง ถึงจะเคยออกปากไว้แบบนั้น แต่เมื่อหยางจิวหรงมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า ผมก็กลับพูดอะไรไม่ออกเสียอย่างนั้น

             เฮ้อ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้แล้วลองกดชัตดาวน์โน้ตบุ๊ก เผื่อว่าหยางจิวหรงจะหายไปเมื่อหน้าจอดับ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าจอโน้ตบุ๊กกลายเป็นสีดำ ส่วนผู้ชายหน้าตาดีนั่นก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

             เอาล่ะ เรามาทบทวนกันหน่อย” ผมเดินไปยืนตรงหน้าหยางจิวหรง นายจะบอกว่านายออกมาจากในนิยาย และมีอำนาจสะกดคนแค่เพียงคนเดียวให้ทำตามที่นายต้องการได้ใช่ไหม นายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง

             ก็ไม่ยังไง” หยางจิวหรงตอบหน้านิ่ง พอแวบมาที่นี่ ข้อมูลพวกนี้ก็มาปรากฏอยู่ในหัว

             คนที่ทะลุมิติมา ไม่ใช่ว่าต้องตกใจ ที่นี่ที่ไหน ฉันเป็นใคร อะไรทำนองนี้ก่อนเหรอ

             คนธรรมดาก็คงเป็นแบบนั้น” หยางจิวหรงพยักหน้า

             จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดาว่างั้น

             นี่ใคร นี่ฮ่องเต้หยางจิวหรงนะ

             ผู้บุกรุกลอยหน้าลอยตาตอบผม ตาสีดำสนิทจ้องมาเหมือนท้าทาย

             ผมขบริมฝีปาก จะว่าไปเขาก็พูดถูก หยางจิวหรงในนิยายเหมือนคนไม่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีสุขุม หรือพูดอีกอย่างก็คือยืนแข็งเป็นตอไม้ ไม่หือไม่อืออะไรสักอย่างจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ คนแบบนี้ถ้าแวบมามิติอื่นแล้วไม่ตกอกตกใจ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก

             แล้วข้อมูลที่บอกว่าโผล่มาในหัวน่ะ มันมาจากไหน

             คนเป็นฮ่องเต้ส่ายหน้า ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ มันก็มาอย่างนั้นอยู่แล้ว

             ผมถอนหายใจยาวยืดก่อนจะนั่งลงบนขอบเตียงข้างกันกับเขา หยางจิวหรงหันมองผม ถามเสียงเนิบ

             ฉันอยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม

             ไม่ว่ายังไงก็ตั้งท่าจะอยู่ที่นี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาศีรษะ ลำพังแค่ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ในบ้านนี้มีแม่ผมด้วยน่ะสิ แม่คงงงแย่ถ้าผมบอกว่าจะมีเพื่อนมาอยู่ที่บ้าน และคงซักไซ้อะไรหลายอย่าง จู่ๆ จะมาขออยู่อาศัย คงไม่ได้หรอก

             ถ้าอย่างนั้น” อีกฝ่ายยกมือเท้าคาง พลังอำนาจที่สะกดคนได้หนึ่งคน ฉันสะกดแม่ของเธอแทนที่จะเป็นเธอดีไหมเล่า

             ผมหันขวับ ไม่ได้นะ คิดจะทำอะไรแม่ของผมน่ะ ห้ามเด็ดขาด

             ไม่ได้อันตรายสักหน่อย แค่ทำให้ยอมอนุญาตให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น รับรองฉันจะไม่สั่งให้แม่ของเธอทำอะไรที่อันตรายเลย แค่สะกดไว้ให้พวกเราไม่มีปัญหาก็เท่านั้นแหละ

             พวกเรางั้นเหรอ การถูกเรียกเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกันขึ้นมาแบบนั้นทำเอาผมไม่สบายใจสักเท่าไหร่

             ผมไม่ได้อยากให้หยางจิวหรงอยู่ที่นี่ แต่ถ้าปฏิเสธเขาก็คงสะกดจิตผม และถ้าผมยอมให้เขาอยู่ บางทีเขาอาจต้องสะกดจิตแม่อยู่ดีเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น

             แน่ใจนะว่านายจะไม่สั่งแม่ผมให้ทำอะไรบ้าๆ บวมๆ

             ไม่หรอกน่า เธอก็อ่านนิยายเรื่องนั้น คิดว่าฉันเป็นคนทำอะไรไม่รู้ความหรือไง

             เอ่อ ก็ไม่...

             หยางจิวหรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี เขาไม่เคยออกคำสั่งที่ไร้เหตุผลหรือทำอะไรตามใจเพราะหลงผู้หญิง เขาทำทุกอย่างตามหลักการเสมอ จะน่าเบื่อก็แต่ตรงที่เขาไม่เคยมองออกสักครั้งว่าฝ่ายตัวร้ายนั้นอาศัยกฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆ ของวังมากลั่นแกล้งนางเอก หรือไม่ก็ใช้คำโกหกต่างๆ ทำให้นางเอกต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

             อ้อ” ฮ่องเต้ผมยาวลากเสียงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอไม่ไว้ใจฉัน เพราะเธอเห็นฉันเป็นตัวละครโง่ๆ ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมใครๆ ถูกหนิงเอ๋อร์จูงจมูกไม่รู้จบสิ้นงั้นสินะ

             ผมหน้าซีด หยางจิวหรงรู้ดีว่าเขาถูกเรียกออกมาเพื่อด่า แถมยังรู้อีกว่าผมเรียกเขาว่าตัวละครโง่งั่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะพูดออกมาแบบนี้

             ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันน่ะไม่ได้โง่จนไม่รู้เท่าทันพวกหนิงเอ๋อร์หรือครอบครัวตระกูลจูหรอก เพียงแต่ว่า...ไม่ได้สนใจก็เท่านั้น

             ผมหันมองเขา ทำตาแข็ง ไม่สนใจหมายความว่าอะไร แปลว่าที่ผ่านมารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ก็ปล่อยให้ซูฮวาที่น่าสงสารถูกลากไปลากมาอยู่แบบนั้นงั้นเหรอ

             อืม ก็...” คนผมยาวหลับตาลงเหมือนไม่อยากเสียเวลาคิด นิยายเรื่องนี้มัน...พังไปนานแล้วนี่นะ

             พัง หมายความว่าไง” 

             ผมตบหน้าขาตัวเอง ถึงจะเขียนจบมานานแล้ว แต่นิยายเรื่อง ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ก็ยังคงติดท็อปเทนของหน้าเว็บมาตลอดหลายปีไม่มีตก มีคนยอมซื้อตอนเข้ามาอ่านอีกเรื่อยๆ เพจรีวิวนิยายต่างๆ ก็พากันแนะนำอยู่เสมอจนตกนักอ่านหน้าใหม่ๆ อย่างผมให้เข้ามาซื้อเหรียญอ่านได้ตลอดไม่เคยแผ่ว เรียกได้ว่าเป็นนิยายระดับตำนานของเว็บไซต์เขียนนิยายแห่งนี้เลยก็ว่าได้

             ผมเข้ามาอ่านก็ตอนที่นิยายเรื่องนี้อัพจบไปสามปีแล้ว ถึงแบบนั้นหน้าคอมเมนต์ก็ยังคึกคัก มีนักอ่านมากมายเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอยู่ไม่ขาด แน่นอนว่าหนึ่งในคอมเมนต์พวกนั้นก็มีของผมด้วย ข้อความหลักๆ ของผมจะอวยหลี่ซูฮวานางเอกในดวงใจ และด่าเจ้าฮ่องเต้หยางจิวหรงให้ไปตายโดยไม่ต้องผุดต้องเกิด

             “‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ น่ะดังติดลมบน ไม่มีใครเอาลงได้ ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้พัง เรื่องอื่นๆ ในเว็บก็เรียกว่าสุดจะดับ ตายสนิท ไม่มีทางฟื้น

             หยางจิวหรงยักไหล่ ท่าทางเหมือนมีอะไรจะบอก แต่ก็ไม่พูดออกมา

             เรื่องมันยาวน่ะ ขี้เกียจเล่าตอนนี้ แต่เอาเป็นว่ามันไม่มีค่าอะไรอีกที่จะพยายามช่วยเหลือนางเอกหรือขับไล่นางร้าย แค่อยู่ไปวันๆ ก็พอ

             ผมคิ้วขมวด จะว่าไปเขาก็พูดถูก เรื่องนี้มีนางเอกและมีนางร้าย แต่ตัวพระเอกหรือฮ่องเต้ไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ไม่มีใครที่จะมาแย่งนางเอกหรือคอยชิงบัลลังก์ หยางจิวหรงอยู่ในสถานะลอยตัว ต่อให้นางสนมแต่ละคนตบตีกันแค่ไหน ใครจะได้เป็นใหญ่ ใครจะไปตำหนักเย็น เขาก็เป็นฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ ดังนั้นถ้าหากเขาเป็นตัวละครขี้เกียจ ก็แค่ทำเป็นเฉยเสียแล้วปล่อยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปก็พอ เดี๋ยวสุดท้ายนางเอกก็สามารถบากบั่นชนะอุปสรรค และขึ้นมาเป็นคู่ครองเพียงหนึ่งเดียวของเขาได้เองโดยที่หยางจิวหรงไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรสักอย่าง

             งั้น...ที่จริงนายก็ไม่ได้เป็นตัวละครโง่งม แต่แค่เป็นตัวละครขี้เกียจสินะ” ผมชี้หน้าถาม

             ขี้เกียจ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ หรือจะบอกว่าขาดแรงจูงใจในชีวิตก็คงถูกอีกเหมือนกัน” พูดจบท่านฮ่องเต้ก็อ้าปากหาวหวอด ดูเหมือนข้อมูลจะบอกว่าคนในยุคนี้ไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้กันสินะ มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนบ้างหรือเปล่า ขอยืมหน่อยสิ ไม่พูดเปล่า เขาเริ่มทำท่าเหมือนพยายามแกะกวานที่สวมอยู่บนศีรษะออก ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องนอนของผมดังขึ้น 

             ยังไม่ทันจะขานรับ แม่ก็เปิดประตูเข้ามาแล้วส่งเสียงถาม

             นนท์ มีใครมาเหรอลูก แม่ได้ยินเสียงนนท์คุยกับใครอยู่ใน...

             แม่ยังถามไม่เสร็จสิ้นดีก็หยุดไปกลางคัน เพราะเห็นหยางจิวหรงที่นั่งใส่ชุดจีนเต็มยศอยู่ปลายเตียง จะไม่ให้แม่ผมนิ่งไปก็คงไม่ได้หรอกครับ อยู่ดีๆ มีผู้ชายหล่อใส่ชุดอย่างกับจะเล่นงิ้วมานั่งอยู่ในบ้านงี้ ใครไม่อึ้งก็สมองไม่ปกติแล้ว

             เอ่อ นี่เพื่อนผมครับ เขาเรียนเอกการละคร นี่เอาชุดละครเวทีมาลองสวม เป็นชุดละครเวทีน่ะครับ” ผมรีบพยายามปกปิดด้วยการแถไปเรื่อยเท่าที่จะนึกออก

             งั้นเหรอจ๊ะ เข้ามาบ้านตอนไหน แม่ไม่รู้เลย ชื่ออะไรจ๊ะเนี่ย เพื่อนนนท์มีหล่อขนาดนี้ด้วย แม่เพิ่งเคยเจอ

             หยางจิวหรงหันหน้าไปหาแม่แล้วพูดแนะนำตัว ฉันชื่อฮ่องเต้...

             หวาๆๆๆ” ผมพูดขัดขึ้นมาทันที จะให้เขาบอกชื่อจริงกับแม่ไม่ได้หรอก แล้วตานี่มันอะไรกัน เมื่อกี้ยังรู้เรื่องอยู่เลยว่าโลกใบนี้เขาไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ แล้วตอนนี้จะมาบอกแม่ผมว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ได้ยังไง มันไม่ได้ปะ

             ชื่อเต้ครับ เพื่อนผมชื่อเต้” ผมรีบพูดออกไป เพราะแม่คงได้ยินอะไรเต้ๆ ไปแล้วแหละ

             งั้นเหรอ หวัดดีนะลูก ถ้าหิวข้าวก็ลงไปบอกแม่นะ แม่จะได้หาอะไรให้กิน” แม่ทำท่าเหมือนไม่อยากซักไซ้อะไรต่อ พอแม่ปิดประตูไปแล้ว ผมถึงหันไปแว้ดใส่เขา

             นายรู้ใช่ไหมว่าต้องปกปิดตัวจริงเวลาอยู่กับคนอื่น

             ปกปิด” เจ้าของหน้าหล่อๆ นั่นถาม ต้องปกปิดด้วยเหรอ

             ต้องปกปิดสิ จะให้คนอื่นรู้ว่านายออกมาจากนิยายไม่ได้

             ทำไมล่ะ

             บ๊ะ ยังมีหน้ามาถามอีก เชื่อเขาเลย คนเขาจะไม่เชื่อกันไง ผมตอบกลับไปเสียงสูงปรี๊ด

             ทีเธอยังเชื่อเลย

             ก็ไม่ได้อยากเชื่อหรอก แต่มันไม่มีเหตุผลอื่นเลยต้องยอมเชื่อโว้ย แต่ต่อจากนี้นายต้องปกปิดตัวตน ไม่งั้นคนจะหาว่าเราสองคนเป็นบ้ากันพอดี” ผมกอดอกแน่น จ้องหน้าเขา ทีเมื่อกี้นายยังขอเสื้อผ้าธรรมดาเปลี่ยน ไม่ได้หมายความว่ารู้ว่าต้องปลอมตัวเป็นคนธรรมดาหรือไง

             เปล่า ไม่ได้คิดจะปลอมตัว แค่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เข้ากับยุคสมัย

             ได้ ให้ยืมเสื้อผ้าเปลี่ยนได้” ผมยื่นหน้าไปจ่อหน้าเขา แต่ว่าต่อจากนี้ห้ามบอกใครว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้อีก ห้ามพูดว่าออกมาจากนิยาย นายคือเต้ เรียนอยู่เอกการละคร ปีสอง เป็นเพื่อนที่แวะมาบ้าน ชุดเมื่อกี้คือชุดแสดงละครเวทีที่คณะ เข้าใจไหม

             อืม เข้าใจก็ได้

             ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งของหยางจิวหรง ผมสงสัยว่าเขาเข้าใจจริงๆ กี่เปอร์เซ็นต์กันแน่ เข้าใจหมดแต่ทำหน้าตาย หรือว่าไม่เข้าใจเลยทำหน้านิ่งกลบเกลื่อน มันยังไงกันแน่วะ เดาทางไม่ออกเลยโว้ยไอ้ผู้ชายคนนี้

             แล้วจะทำยังไงให้เต้ เอกการละคร ปีสอง ได้อยู่บ้านนี้ตลอดไปล่ะ” หยางจิวหรงถาม นอกจากสะกดแม่ของเธอ มีวิธีอื่นที่เธอจะหลอกพ่อกับแม่ได้บ้างไหม

             ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนขอบเตียงอีกครั้ง พ่อน่ะไม่มีหรอก เสียไปนานแล้ว มีแต่แม่เท่านั้นแหละ

             งั้นก็ใช้มนตร์สะกดที่มีคนเดียวกับแม่เธอได้ ส่วนคนอื่นๆ แค่บอกว่าฉันคือเต้ เอกการละคร ปีสอง เท่านั้นก็พอ

             ผมถอนหายใจยาว ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องอยู่บ้านนี้ใช่มะ

             ใช่ ฉันไม่มีที่ไปนี่

             เฮ้อ เอางั้นก็ได้ งั้นผมยอมให้นายสะกดแม่ แต่อย่าให้เห็นเชียวล่ะว่าแม่ผมดูสติเลอะๆ เลือนๆ ไปเพราะการสะกดของนาย

             คงไม่หรอก” หยางจิวหรงตอบ ทั้งที่ในแววตาเขาก็ดูไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน

     

             ยี่สิบนาทีต่อมา

             หยางจิวหรงในชุดเสื้อยืด กางเกงยีน นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกับแม่พลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ

             สรุปน้องเต้จะมาพักที่นี่สักเทอมหนึ่งใช่ไหมจ๊ะ

             ใช่ แบบนั้นแหละ

             ผมเอาศอกถองเขา พลางกระซิบ เวลาพูดกับคนโตกว่า ให้พูดว่า ครับ แบบนั้นแหละ

             หยางจิวหรงทำท่าเหมือนไม่เคยมีใครสั่งให้เขาพูดสุภาพมาก่อนในชีวิต แต่เขาก็ยอมทำตาม ครับ แบบนั้นแหละ

             เราใช้มนตร์สะกดที่ใช้ได้กับมนุษย์เพียงหนึ่งคนของหยางจิวหรงกับแม่ไปแล้ว เท่าที่ผมดูจากภายนอก แม่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ที่แปลกก็มีแค่พอผมบอกว่าเราจะให้หยางจิวหรงที่เป็นเพื่อนมาพักอยู่ที่บ้านสักเทอม แม่ก็พยักหน้าอนุญาตโดยไม่ถามเหตุผล จากนั้นก็คุยกับหนุ่มผมยาวที่นั่งตรงข้ามด้วยท่าทางเหมือนสนิทกันมานานแล้ว

             ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลตัวละครทะลุมิติ เท่าที่สายตามือสมัครเล่นประเมิน ตอนนี้สถานการณ์ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี ผมทิ้งหยางจิวหรงไว้กับแม่ เอ่ยขอตัวขึ้นไปคุ้ยตู้เก็บของเพื่อหาฟูกมาปูให้หยางจิวหรงใช้นอน

             จะว่าไปแล้ว ฮ่องเต้นี่เขายอมนอนพื้นกันไหมนะ หรือว่าผมต้องสละเตียงตัวเองให้ตานี่ด้วย มันจะมากเกินไปหน่อยไหม อยู่ดีๆ ก็มีตัวละครทะลุมิติที่โผล่มายึดครองทุกอย่างในชีวิตโดยไม่สอบถามความสมัครใจกันก่อน เฮ้อ ผมนึกพลางปูฟูกไว้ตรงที่ว่างข้างเตียงนอน โดยไม่รู้หรอกว่าคนที่ได้นอนฟูกนี่ในคืนนี้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์หรือตัวผมเองกันแน่

             นนท์” เสียงเรียกที่ผมไม่คุ้นดังขึ้นหน้าประตู พอหันไปมองก็เห็นหยางจิวหรงยืนกอดอกพิงขอบประตู เส้นผมยาวของเขามวยไว้บนศีรษะด้วยกิ๊บหนีบผมของแม่

             ไง” ผมกวักมือเรียกเขาเข้ามาในห้อง คิดว่าพอจะนอนได้ไหม

             หยางจิวหรงมองไปที่เตียงขนาดสองคนของผมแล้วพยักหน้า ดูสามัญชนไปหน่อยแต่นอนได้

             เขาไม่ได้เหลือบมองฟูกที่ปูให้เลยสักนิด ผมถอนหายใจอย่างรู้ชะตากรรมตัวเอง

             นี่ไม่มีวิธีอะไรให้นายกลับไปในนิยายได้เลยเหรอ

             คำถามของผมทำให้คนสูงศักดิ์ยักไหล่

             ฉันไม่รู้วิธีกลับไป แล้วก็ไม่อยากกลับไปด้วย นิยายเรื่องนั้นมันเป็นนิยายที่พังไปแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปหรอก ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ในโลกใบนี้ ดูเข้าที มีไฟฟ้าใช้

             ผมมองหน้าหยางจิวหรง เขามองตอบกลับมา สีหน้าเฉยสนิทตอนที่ถามว่า

             แม่บอกว่านนท์มีมือถือเครื่องเก่าอยู่ ให้ฉันยืมใช้ได้ แม่บอกว่าจะอยู่ยุคนี้ยังไงก็ต้องมีสมาร์ตโฟน เพราะงั้นให้ไปขอของนนท์มา ยังไงช่วยเอามาให้หน่อยนะ

             หา แล้วจะเอาไปใช้ทำอะไร ถามจริงเถอะ ใช้เป็นเหรอมือถือน่ะ

             ไอ้เรื่องเอาโทรศัพท์ให้เขาใช้น่ะผมไม่หวงหรอก แต่ผมแค่นึกไม่ออกว่าคนจากยุคโบราณอย่างเขาจะเอาสมาร์ตโฟนไปทำอะไร คุยไลน์กับจอมยุทธ์คนอื่นๆ งั้นเหรอ

             ใช้ไม่เป็นหรอก ช่วยสอนด้วย” เขาผงกหัวให้ผมทั้งที่หน้ายังนิ่งเหมือนเดิม ขอรบกวนหน่อยแล้วกัน

             ในหัวผมคิดสรุปออกมาได้ชัดเจนว่า ตานี่คิดจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ โดยไม่รู้จะเริ่มต้นจากช่องทางไหน เลยคิดจะเกาะผมไปเรื่อยๆ ก่อนจนกว่าจะตั้งตัวได้ แต่คนเราจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยแตกหน่อจากผมแบบนี้ไม่ได้โว้ย

             พอผมทำหน้าเหมือนจะเถียงออกมา หยางจิวหรงก็เดินมาบีบบ่าผม พร้อมพูดเสียงเรียบ

             แม่เธออนุญาตแล้ว ยังไงก็ดูแลเพื่อนของเธอคนนี้ดีๆ แล้วกัน อย่าให้เขาต้องอยู่ลำบากล่ะ เข้าใจไหม นนท์

             ผมมองตาสีดำสนิทของหยางจิวหรงแล้วไม่รู้จะเถียงกลับยังไงดี

             ดูท่าว่าต่อจากนี้ ผมคงต้องมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะมีตัวละครทะลุมิติมาอาศัยอยู่ด้วยอีกพักใหญ่เสียแล้วแหละ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Asep Ling Lung (@fb1056508409121)
https://social.msdn.microsoft.com/Profile/Dailyscreen https://gravatar.com/eggifurnomo https://www.flickr.com/people/199395374@N08/ https://ameblo.jp/dailyscreen/entry-12824450029.html https://plaza.rakuten.co.jp/dailyscreen/diary/202310140000/ https://megalodon.jp/2023-1014-0930-21/https://dailyscreen.pro:443/ https://plaza.rakuten.co.jp/dailyscreen/diary/202310140000/
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี
แท แท (@taetae678)
เนื้อเรื่องคือดี