3
เราได้มาคุยเรื่องนี้กันอีกทีตอนกลับบ้าน ผมพาหยางจิวหรงขึ้นไปบนห้องนอน ก่อนจะเริ่มทำการบ้านภาษาจีนที่เหล่าซือให้มา ผมก็ลองถามเขาดูเสียก่อน
“วันนี้ ตอนเจอพี่เทียนน่ะ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“จางเฟยเทียน” หยางจิวหรงพึมพำเบาๆ “รู้จักหรือเปล่านะ เธอน่ะเริ่มอ่าน ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“เพิ่งมาอ่านเมื่อไม่นานนี้เอง” ผมตอบ
“งั้นคงมาไม่ทันตอนที่จางเฟยเทียนยังอยู่สินะ”
“หมายความว่าไงที่ว่ายังอยู่”
หยางจิวหรงชี้มือไปที่คอมพิวเตอร์ เขาดูเหมือนรู้ว่าผมอ่านนิยายโดยใช้หน้าจอนั่น “ลองกลับไปอ่านนิยายอีกครั้งสิ เธอจะพบว่าฉันหายไปแล้ว”
“หายไป ยังไง”
“ลองเปิดอ่านดูสิ”
เพราะเขาไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านี้ ผมจึงได้แต่เปิดโน้ตบุ๊กแล้วจัดการเข้าเว็บไซต์เพื่ออ่านนิยายเรื่อง ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ตามคำบัญชาของฮ่องเต้ สิ่งที่ผมได้พบในนิยายเรื่องนั้นทำให้ผมประหลาดใจมาก
หยางจิวหรงหายตัวไปแล้ว ในนิยายเรื่องนี้ไม่มีฮ่องเต้อีกต่อไป มีการกล่าวถึงฮ่องเต้ แต่ก็ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นฮ่องเต้หยางจิวหรง แถมฮ่องเต้ที่ว่านั่นก็ไม่มีบทออกมาพูดอะไรเลย ฉากและสถานการณ์ต่างๆ ที่หยางจิวหรงเคยได้ออกมาพูดคุย พัฒนาความสัมพันธ์กับนางเอก หรือคอยให้ท้ายนางร้าย ล้วนแต่หายไปจนหมด ตอนนี้เรื่องในนิยายเน้นไปที่การทำไร่ทำสวนในวังหลังของนางเอก และการทะเลาะกันระหว่างนางเอกกับนางร้ายเท่านั้น
“กลายเป็นนิยายแนวทำสวนไปได้ยังไงเนี่ย”
ผมร้องออกมาแล้วหันไปมองหน้าเขา
“มันเป็นแบบนี้แหละ เวลาที่มีใครหายไปจากโลกนิยายน่ะ” หยางจิวหรงเดินไปนั่งที่ปลายเตียงอีกครั้ง เขายกขาไขว่ห้าง ตามองผม “ก่อนที่ฉันจะออกมาประมาณสามปี นิยายเรื่องนี้เคยมีตัวร้ายฝ่ายชายชื่อจางเฟยเทียน เป็นขุนนางใหญ่ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก เขามีความคิดอยากชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ ตอนนั้น ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ เป็นนิยายที่เน้นเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฉันกับจางเฟยเทียน ควบคู่ไปกับการตบตีกันระหว่างซูฮวากับหนิงเอ๋อร์ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเชิญจางเฟยเทียนออกไปจากเรื่อง”
“เชิญ หมายความว่า...”
หยางจิวหรงพยักหน้าอย่างสุขุม “อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ เขาหายตัวไปจากนิยาย คิดว่าคงออกมาอยู่ในโลกสมัยปัจจุบันเหมือนที่ฉันมาตอนนี้ หลังจากนั้น นิยายเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป เมื่อไม่มีขุนนางตัวโกงแล้ว ก็เหลือแค่ฉันที่นั่งดูนางเอกกับนางร้ายตบตีกันแย่งตัวเองไปวันๆ อย่างน่าเบื่อ”
“ที่เคยบอกว่านิยายเรื่องนี้พังไปแล้ว ก็เพราะ...”
“เพราะไม่มีจางเฟยเทียนอีกแล้วยังไงล่ะ ถึงเขาจะเป็นตัวร้าย แต่ตัวเอกอย่างฉันจะมีอะไรทำก็ต่อเมื่อเรามีตัวร้ายให้ต่อสู้ พอไม่มีใครให้เฉือนคมหักเหลี่ยมเสียแล้ว นิยายเรื่องนี้...สำหรับฉันก็พังพินาศ สิ่งที่ทำได้เหลือแค่การนั่งมองผู้หญิงทะเลาะกัน ปล่อยทุกอย่างไปอย่างเบื่อหน่าย จนถูกเธอหาว่าเป็นตัวละครโง่งมที่ไม่ยอมช่วยเหลือหลี่ซูฮวานั่นแหละ”
ผมหันมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก ก่อนจะหันมองหยางจิวหรง “งั้นทุกคนไม่รู้สึกเหรอว่านิยายเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม”
“ถ้าให้ฉันเดา ฉันคิดว่าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยที่จางเฟยเทียนยังอยู่ คงถูกเปลี่ยนแปลงความทรงจำ ให้รู้แค่ว่า ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ เป็นนิยายรักน้ำเน่าธรรมดา และไม่รับรู้ถึงการหายไปของจางเฟยเทียน แล้วในตอนนี้ คนอื่นๆ ก็คงถูกเปลี่ยนความทรงจำไปแล้วว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีพระเอก มีแต่นางเอกที่อดทนสู้ชีวิต ปลูกผักสวนครัว มีแค่เธอเท่านั้นที่ยังจำหยางจิวหรงได้ เพราะเธอเป็นคนเรียกฉันออกมา”
“แล้วคนเขียนล่ะ” ผมถาม “คนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ไม่รู้เหรอว่านิยายถูกเปลี่ยนไป”
คราวนี้ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ฉันไม่อาจรู้ได้หรอกว่าคนเขียนเป็นใคร คิดอย่างไร หรือถูกเปลี่ยนความทรงจำไปเหมือนกับคนอื่นๆ หรือเปล่า มันเป็นธรรมดาของสิ่งที่ถูกสร้าง ที่จะไม่อาจเข้าถึงตัวตนของผู้สร้างได้ เหมือนที่มนุษย์อย่างเธอไม่อาจเข้าถึงพระเจ้า มันเป็นแบบนั้นแหละ”
เอาเป็นว่าหัวข้อเรื่องคนเขียนคงเป็นหัวข้อที่ผมไม่อาจเข้าใจในตอนนี้ ผมจึงพับมันไว้ก่อน
“งั้นคนอื่นๆ ที่เคยซื้อนิยายเรื่องนี้ เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ ถ้ากลับมาอ่านอีกครั้ง หรือกำลังอ่านต่ออยู่ ก็จะมีความทรงจำว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกสินะ เป็นเรื่องปลูกผัก ที่ไม่มีหยางจิวหรงหรือจางเฟยเทียน”
“ใช่” ตัวละครพยักหน้ารับ
“อืม...” ระหว่างที่ผมกำลังคิดตามอยู่นั้น หยางจิวหรงก็กล่าวเพิ่มขึ้นมา
“ผู้ชายที่เจอวันนี้ เขาหน้าตาเหมือนจางเฟยเทียนมาก”
“พี่เทียนน่ะเหรอ” ผมถาม “เขาดูท่าทางแปลกๆ ด้วยตอนที่เห็นนาย เหมือนเขารู้จักนายยังไงยังงั้นแหละ”
“ฉันคิดว่า...เขาอาจเป็นจางเฟยเทียนที่ถูกเชิญออกมาก็ได้นะ” หยางจิวหรงมองตาผม “เขาเป็นคนยังไง เธอรู้จักเขาใช่ไหม”
“พี่เทียนเขาเป็นคนน่ารักนะ ไม่เหมือนตัวร้ายในนิยายสักนิด เขาใจดีกับทุกคน เก่งภาษาจีนมากๆ แล้วก็เป็นคนที่สมบูรณ์แบบไปทุกเรื่องเลยแหละ”
“ใจดี สมบูรณ์แบบ ฟังดูเหมือนคุณชายจางเวลาอยู่กับพวกประชาชนไม่มีผิด” หยางจิวหรงยกมือแตะปลายคางตัวเอง “เขาเก่งเรื่องการวางท่าเป็นคนดีน่ะ เก่งภาษาจีนงั้นเหรอ เก่งเหมือนที่ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ”
ผมนิ่งเงียบ หยางจิวหรงกำลังพยายามบอกว่าพี่เทียน พี่ในมหา’ลัยของผมเป็นตัวละครทะลุมิติเนี่ยนะ
“แต่พี่เขาเรียนที่นี่มาสามปีแล้วนะ”
“จางเฟยเทียนก็หายตัวไปสามปีแล้วเหมือนกันนั่นแหละ”
อ๊ะอ๋า ทุกอย่างดูเข้าล็อกกันเป๊ะ
“จะบอกว่าพี่เทียนเขาคือจางเฟยเทียน คู่ปรับเก่าของนายงั้นหรือ”
“ฉันคิดว่าใช่” หยางจิวหรงตอบอย่างระมัดระวัง “ท่าทางของเขาตอนที่เห็นฉันวันนี้ก็บอกได้ชัดเจนว่าเขารู้จักฉันมาก่อน”
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วนายจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้” หยางจิวหรงตอบ เขาเปลี่ยนขาที่นั่งไขว่ห้าง แล้วจ้องมาทางผม “ออกมาจากนิยายกันแล้วก็ควรจะทางใครทางมัน เขาก็ใช้ชีวิตของเขา ฉันก็ใช้ชีวิตของฉัน”
“ง่ายงั้นเชียว...” ผมพูดเบา
“ถ้ามีแค่ฉันล่ะก็ง่ายแน่ ฉันเป็นคนไม่ทำอะไรที่มันยุ่งยาก” หยางจิวหรงใช้มือม้วนปลายผมยาวของตัวเองเล่น ก่อนพูดต่อด้วยเสียงค่อนข้างเยียบเย็น “แต่กับจางเฟยเทียน ฉันเดาใจเขาไม่ถูก บางทีเขาอาจทำอะไรที่มันยุ่งยากขึ้นมาก็ได้”
“เช่นอะไรล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ชอบมีความคิดที่คนอื่นคาดไม่ถึงอยู่เสมอ” หยางจิวหรงเหม่อมองไปโดยไม่มีจุดหมายชัดเจน คล้ายกำลังมองไปที่จางเฟยเทียนในความทรงจำของตน “เขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ การจะปกป้องบัลลังก์จากเขานั้นไม่เคยง่าย นิยายเรื่องนี้เคยซับซ้อนมากเสียจน...ทุกวันเป็นเรื่องสนุก แต่ละวันต้องคิดว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก”
“นายคงเบื่อมากสินะ ที่มันกลายเป็นนิยายรักธรรมดาๆ” ผมเดาจากสีหน้าของเขา “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นนิยายรักที่สนุกนะ ผมติดงอมแงมเลย”
หยางจิวหรงมองมาทางผมก่อนจะพยักหน้า “ฉันต้องรับไว้เป็นคำชมไหมว่าเคยอยู่ในนิยายที่สนุก ถึงฉันจะเบื่อเรื่องนั้นแทบขาดใจก็เถอะ”
“อันที่จริง...มันก็ไม่ใช่การชมนายเท่าไหร่ เพราะนายเป็นพระเอกที่โคตรห่วย ถ้านายทำตัวดีกว่านี้ นิยายคงสนุกขึ้นเป็นกองเลย”
หยางจิวหรงยักไหล่ “จะทำไปทำไม นิยายเรื่องนั้นมันพังไปแล้ว อยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกผู้หญิงทะเลาะกันไปนั่นแหละ เพราะไม่มีจางเฟยเทียนแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่รู้จะสู้กับใคร ไม่มีบทบาทให้ทำอะไร”
“ยึดติดกับจางเฟยเทียนจังเลย” ผมบ่นอุบ “ดูซูฮวาสิ ขนาดนายหายไปทั้งคน เธอยังฮึดสู้ต่อเลย นิยายที่ไม่มีพระเอก ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ เลยจัดการทำให้เป็นนิยายแนวปลูกผักสวนครัว เก็บผักขายไปซะ คิดได้ไง เก่งมากนะเนี่ย”
“ซูฮวาต้องสู้” หยางจิวหรงเอ่ยเสียงยาน “เพราะเธอรู้สึกว่าเธอเป็นเจ้าของเรื่อง เธอต้องพาเรื่องไปต่อ ไม่ว่าใครจะหายไปแบบไหนก็ตาม แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของนิยายเรื่องนี้ ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจ”
“พูดเหมือนพวกนายไม่ใช่คนรักกันงั้นแหละ ไม่อาลัยอาวรณ์เธอเลยหรือไง”
“ไม่” เสียงของฮ่องเต้เย็นชาและกระด้าง “มีตรงไหนในเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าหยางจิวหรงรักหลี่ซูฮวาหรือไง”
ผมนึกทบทวนนิยายรักซึ่งอยู่ในความทรงจำ “อ่า ก็...ไม่มี”
เท่าที่ผมอ่าน หยางจิวหรงทำตัวเย็นชาเสมอ และมักมองดูหลี่ซูฮวาถูกทำโทษโดยไม่มีท่าทีสงสารเลยแม้แต่นิด ใจดำสุดๆ
“นั่นแหละ ฉันไม่ได้รักเธอ เธอก็ไม่ได้รักฉัน พวกเราแค่ทำท่าทางเหมือนรักกัน เพราะตอนจบของนิยาย ตัวเอกชายต้องคู่กับตัวเอกหญิงเท่านั้น ส่วนตอนดำเนินเรื่อง พวกเราก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันสู้กับจางเฟยเทียน ซูฮวาสู้กับหนิงเอ๋อร์ เรื่องมันก็แค่นั้นเอง”
“ถามหน่อยสิ” ผมมองสมุดคัดอักษรจีนที่เปิดกางอ้ากับหน้าจอนิยายบนเว็บไซต์ที่เปิดค้าง “พวกนายรู้ตอนจบของนิยายกันไหม แบบว่าในเมื่อนิยายมันเขียนจนจบแล้ว พวกนายรู้สึกว่าตัวเองดำรงอยู่ในเหตุการณ์ตอนไหน อยู่ในเหตุการณ์ตอนหลังเรื่องทุกอย่างจบเหรอ หรือว่ายังไง...”
คราวนี้หยางจิวหรงเงียบไปนาน ใช้เวลาเกือบห้านาทีกว่าเขาจะพูดออกมา
“ข้อมูลสั่งให้บอกเธอว่า เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เข้าใจยากพอสมควร เธออาจตกใจเล็กน้อย คือความสามารถในการรับรู้เวลาของฉันกับเธอจะไม่เหมือนกัน” หยางจิวหรงลากนิ้วเป็นเส้นตรงบนอากาศ “ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ การรับรู้เป็นแบบนี้...”
เขาลากนิ้วเป็นเส้นตรง
“จากอดีต แล้วก็ไปอนาคต”
จากนั้นเขาก็วนนิ้วไปมาแบบสับสน
“แต่ตอนอยู่ในนิยาย บางครั้งพอมีคนมาอ่านตอนกลาง ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในตอนกลาง ถ้ามีหลายคนอ่าน บางคนกำลังอ่านตอนต้น บางคนกำลังอ่านตอนจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ตรงโน้นทีตรงนี้ที สามารถอยู่หลายๆ ที่ได้โดยไม่สับสน และถ้าตอนไหนไม่มีคนคลิกอ่านอยู่เลย ก็อยู่ในนิยายนั้นโดยไม่รู้ว่าเป็นช่วงเวลาไหน ไม่รู้ว่าอยู่ในตอนต้น กลาง หรือจบ แค่อยู่ในฉากเฉยๆ เหมือนกับสถานที่ตรงนั้นไม่มีเวลา”
ผมยกมือปิดตา สมแล้วที่ข้อมูลสั่งเขาให้เตือนผมก่อน แบบนี้มันน่าสับสนเกินไป รู้ตัวว่าอยู่หลายที่พร้อมกัน ไม่ก็รู้ว่าอยู่ตรงนั้นแต่ไม่รู้ว่าอยู่ในเวลาไหน มันเป็นยังไงฟะ โลกที่ผมเคยชินมาตลอดคือโลกที่มีเวลากำกับอยู่พร้อมสถานที่เสมอ เช่น ผมอยู่ตรงนี้ และเวลาที่ผมอยู่ก็จะเป็นตอนนี้เสมอ ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมอยู่โดยไม่มีเวลา
การรับรู้ที่แตกต่างออกไปอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทจริงๆ
“แล้วออกมาอยู่ในโลกภายนอกนี่ไม่งงเหรอที่เวลาเปลี่ยนแปลงไป”
หยางจิวหรงส่ายหน้าให้คำตอบผม “ไม่ มันง่ายกว่า เพราะมันเดินจากหนึ่งไปสอง ไม่ได้มีหลายเวลาพร้อมๆ กัน”
“พลังในการเรียนรู้ของนายนี่มันเข้าขั้นอัจฉริยะชัดๆ” ผมคราง
“พนันได้เลยว่าจางเฟยเทียนเองก็มีความสามารถแบบนี้ เขาเลยอยู่ที่นี่มาได้สามปีแล้ว กลายเป็นคนโดดเด่นในสังคมของเธอ ใครๆ ก็รัก นับหน้าถือตาล่ะสิ”
“หมายถึงพี่เทียนอะเหรอ ก็ใช่หรอก ใครๆ ก็ชอบพี่เขา แต่ผมยังไม่อยากสรุปหรอกนะว่าพี่เขาคือจางเฟยเทียนจริงๆ”
“น่าจะจริง” หยางจิวหรงถอนหายใจยาว นิ้วเล่นปลายผมของตัวเองไม่หยุด “ขอที่หนีบผมหน่อย”
ผมหันไปหยิบที่หนีบผมของแม่ที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วยื่นให้เขา หยางจิวหรงรับไปมวยผมด้วยท่าทางชำนาญ ท่าทางเขาคงชินกับการมีผมยาวและการเกล้าผมด้วยเครื่องประดับแบบต่างๆ
“พูดถึงจางเฟยเทียน ถ้าเธอเป็นคนเชิญฉันออกมา แล้วใครเป็นคนเชิญจางเฟยเทียนออกมา”
สีหน้าของหยางจิวหรงบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ไม่ใช่ว่าใครก็ได้เหรอ” ผมถาม
“ไม่ใช่ใครก็ได้” หยางจิวหรงมองตาผม “ข้อมูลบอกว่าคนที่เชิญตัวละครออกจากนิยายได้ต้องมีความสามารถพิเศษ ต้องเป็นคนที่มีพลังพิเศษ”
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ “แต่ แบบ...คือที่ผ่านมาผมก็เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร...”
“ฉันแน่ใจว่าการอัญเชิญคือความสามารถพิเศษของเธอ” หยางจิวหรงลุกจากปลายเตียงมายืนดูข้อความในหน้าจอโน้ตบุ๊กของผม “อ่านด้วยวิธีแบบนี้เองสินะ คนในยุคนี้”
“ใช่ อ่านในหน้าจอน่ะ” ผมตอบ เลื่อนๆ จอขึ้นลงให้เขาดู “งั้นแปลว่ามีใครสักคนที่มีความสามารถในการอัญเชิญเหมือนกันเรียกจางเฟยเทียนออกมางั้นเหรอ”
“อืม คงมีคนอื่นที่มีความสามารถในการอัญเชิญอยู่อีก”
คำพูดของหยางจิวหรงทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเรา เหตุการณ์ที่ผมกับแม่มักจะไม่พูดถึงมัน และเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นั่นคือเรื่องการตายของพ่อ...
พ่อของผมตายในบ้านหลังนี้ ที่ชั้นล่าง ตอนที่พ่อตายผมไปโรงเรียน แม่ออกไปทำงาน มีพ่ออยู่บ้านคนเดียว ตอนนั้นพ่อเพิ่งถูกบริษัทให้ออกจากงาน พ่อผู้พยายามหางานใหม่แต่ยังหาไม่ได้ต้องอยู่กับบ้านคนเดียวและกำลังเครียด
แม่บอกว่าพ่อฆ่าตัวตาย
ผมคิดว่าแม่เลือกพูดแบบนั้นก็เพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดเข้าใจได้เท่านั้นเอง
การยอมรับว่าสามีตัวเองฆ่าตัวตาย มันเจ็บปวดน้อยกว่า น่าสงสัยน้อยกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง
ตอนที่พวกเรากลับมาบ้าน ประตูบ้านเปิดอยู่ พ่อนอนตายอยู่บนพื้น สภาพศพเละเทะเหมือนถูกอะไรกัด หมอชันสูตรบอกว่าพ่อน่าจะถูกหมาข้างถนนเข้ามารุมกัดถึงในบ้าน
แต่แถวบ้านของผมไม่เคยมีหมาข้างถนนที่ดุร้าย หรือถึงมี พ่อจะเปิดประตูให้มันเข้ามากัดตัวเองทำไม
จริงๆ แล้วหมอบอกว่า ร่องรอยการถูกกัดของพ่อเหมือนคนถูกเสือกัดมากกว่าถูกสุนัขกัด แต่เมืองใหญ่แบบนี้ไม่มีทางมีเสือมากัดคนได้หรอก
ข้างศพพ่อมีหนังสือเล่มหนึ่งวางจมกองเลือดอยู่
ในหนังสือเล่มนั้นไม่มีข้อความเกี่ยวกับเสือเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว
สามวันต่อจากนั้น มีคนแจ้งว่าเจอเสือในเขตชุมชนแออัดห่างไปไม่กี่กิโลฯ จากบ้านของเรา มันถูกเจ้าหน้าที่ยิงทิ้งในเวลาต่อมา แต่เรื่องแปลกคือ หลังจากถูกยิงไปแล้ว กลับไม่มีใครพบศพเสือตัวนั้น ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
พ่อที่ถูกเสือกัดในบ้านตัวเอง เสือที่ปรากฏขึ้นในเมืองโดยไม่มีที่มาที่ไป สิ่งนี้ไม่อาจเข้าใจได้ แม่จึงจบทุกอย่างไว้ที่คำว่าพ่อฆ่าตัวตายเพื่อให้สิ่งที่น่าสงสัยทั้งหลายถูกซุกซ่อนไป พ่อเพียงแต่เครียดที่ตกงานจึงฆ่าตัวตายก็เท่านั้น แม่ไม่เคยพูดถึงสภาพศพที่เราเจอ การถูกสัตว์ป่ากัด หรือแม้แต่หนังสือเล่มนั้นอีกเลย
เป็นไปได้ไหมว่าพ่อของผมเองก็มีความสามารถแบบเดียวกับผม พ่อได้เรียกเสือออกมาจากในหนังสือโดยบังเอิญ หนังสือเล่มนั้นจึงไม่มีเรื่องของเสืออีก และตัวพ่อก็ถูกเสือทำร้าย พ่ออาจเปิดประตูเพื่อจะหนีจากเสือ แต่พ่อไม่อาจรอดคมเขี้ยวของมันได้ สุดท้ายเสือตัวนั้นก็หนีไป จนถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายในท้ายที่สุด
หากคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง การตายของพ่อที่เป็นปริศนามาตลอดก็ดูเหมือนจะกระจ่างมากขึ้น
“คิดอะไรอยู่เหรอ” หยางจิวหรงถาม สายตาเขาละจากหน้าจอมามองที่ผม
“เปล่า” ผมตอบสั้นๆ ยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ผมไม่เคยเล่าเรื่องการเสียชีวิตของพ่อให้ใครฟัง เพราะมันน่าเหลือเชื่อจนแม้แต่ตัวผมก็ไม่อยากพูดออกมาจากปากของตัวเอง
เมื่อหยางจิวหรงเห็นผมไม่พูด เขาจึงกล่าวเรื่องที่ตัวเองนึกต่อไป
“ได้แต่หวังว่าคนที่เชิญจางเฟยเทียนออกมาจะยังปลอดภัย ไม่ถูกทำร้าย”
“ทำไมล่ะครับ”
“จางเฟยเทียนนิสัยโหดเหี้ยม คาดเดาไม่ได้ว่าจะทำอะไร เขาอาจดูแลผู้อัญเชิญของเขาอย่างดีก็ได้ หรือไม่แน่ เขาอาจจัดการฆ่าผู้อัญเชิญเสีย ปิดปากคนเดียวที่รู้ถึงตัวตนจริงของเขา เพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปในโลกนี้โดยไม่มีใครรู้ความลับอีก”
ผมหันมองหยางจิวหรง
“นายคงไม่คิดจะฆ่าปิดปากผมกับแม่หรอกนะ”
“ไม่หรอก” ฮ่องเต้ตอบ “ฉันดูเป็นคนแบบนั้นหรือไง”
“ก็ไม่หรอก” ผมตอบ “นิยายนี่ปิดแล้วนะ ไม่ดูแล้วใช่ไหม”
“อืม ไม่ดูแล้ว” เขากลับไปนั่งที่ปลายเตียงอีกครั้ง แววตาสีดำมีรอยครุ่นคิดหนักขณะกล่าวต่อ “จากนี้อาจต้องคอยระวังจางเฟยเทียนไว้ให้ดีๆ ว่าเขาจะทำอะไรอีก อาจมีอันตรายก็ได้ นนท์ไปเรียนก็ต้องระวังไว้ให้ดีนะ”
“อืม ที่ต้องระวังมากกว่าพี่เทียนน่ะ คือเหล่าซือมากกว่า ถ้าไม่คัดทั้งหมดนี่ให้เสร็จภายในคืนนี้ล่ะก็ พรุ่งนี้โดนยับแน่”
ผมหันมองสมุดคัดจีนที่ยังเป็นหน้าโล่ง นอกจากแบบฝึกหัดที่หยางจิวหรงช่วยทำตอนพักกลางวันแล้ว ผมยังมีการบ้านคัดตัวอักษรนี่อีก ผมสะบัดมือไปมาก่อนจะคว้าดินสอ เริ่มจรดเขียนตัวแรกลงในกรอบสี่เหลี่ยม
หยางจิวหรงเห็นผมเริ่มตั้งใจทำการบ้าน เขาเลยเงียบไปเหมือนไม่อยากกวน ฮ่องเต้นอนเหยียดตัวลงบนเตียง ตามองเพดานพลางครุ่นคิด แต่เขาจะคิดอะไรอยู่ในหัวสมองอันลึกล้ำของเขา ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
วิเชียรเป็นคนเชิญให้ฉันออกมาสู่โลกนี้เมื่อสามปีก่อน
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่า โลกของตัวเองเป็นเพียงนิยายไร้สาระ เป็นเพียงเรื่องสมมติที่ไม่มีความหมายอะไร
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามแทบตายกับการชิงบัลลังก์ ต่อสู้กับหยางจิวหรงเหมือนมันคือเรื่องใหญ่ที่สุดในโลก แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
ที่นี่ต่างหากคือโลกที่แท้จริง ชีวิตที่แท้จริงอยู่ที่นี่
ความจริงที่ได้ค้นพบทำเอาตัวฉันแทบจะแตกสลาย
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าสถานที่ซึ่งเราใช้ชีวิตอยู่เป็นเพียงนิยาย พวกเราต่างก็พยายามกันอย่างสุดความสามารถเพื่อจะแต่งเหลาชีวิตตัวเองให้เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ
ที่แท้แล้วความพยายามนั่นก็เป็นแค่การดีดนิ้วบนคีย์บอร์ดของนักเขียนธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ฉันรู้สึกใจสลาย พร้อมๆ กันนั้นก็รู้สึกดูถูกตัวเองในอดีตว่าแสนน่าเบื่อ ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงภาพลวง ฉันรู้สึกใจสลายและเบื่อหน่ายไปพร้อมๆ กัน
ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะรู้ตัวขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ฉันคาดเดาว่าการจากไปของฉันอาจทำให้หยางจิวหรง หลี่ซูฮวา และคนอื่นๆ ในเรื่องตระหนักขึ้นมาได้ว่านี่คือนิยาย ชีวิตของตนเป็นนิยาย เป็นแค่บทประพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้น
ฉันไม่รู้ว่าการรับรู้นี้จะทำให้หยางจิวหรงแตกสลายหรือเปล่า แต่ฉันเดาว่าเขาน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะฉันได้ลองอ่าน ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ภาคที่ไม่มีฉัน แล้วก็ได้พบว่าฮ่องเต้หยางจิวหรงกลายเป็นคนซึมกะทือ บื้อเขลา ดูเฉยชาเหมือนไม่อยากทำสิ่งใด ไม่อยากต่อสู้เพื่อใครหรืออะไรอีก
นั่นสินะ ไม่มีอะไรให้เขาต่อสู้อีกแล้วนี่นา ฉันจากไปแล้ว ดังนั้นหยางจิวหรงจึงเปลี่ยนไป เขากลายเป็นตัวละครที่ไม่ยินดียินร้าย ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ตัวเองมีอิทธิพลต่อหยางจิวหรงถึงเพียงนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความจงชังที่มีต่อกัน และยิ่งยวดไปกว่านั้น เราต่างเป็นจุดหมายในการมีชีวิตอยู่ของอีกคนหนึ่ง
ทั้งชีวิตของฉันอยู่ไม่ได้หากปราศจากเป้าหมายในการแย่งชิงบัลลังก์จากหยางจิวหรง และชีวิตของหยางจิวหรงก็น่าเบื่อหน่ายไร้ค่าหากขาดเล่ห์เหลี่ยมของจางเฟยเทียนคนนี้
เส้นทางของเราสองคนขนานกันมาโดยตลอด จนฉันคิดว่าตัวเองค่อนข้างจะมีชีวิตที่คล้ายหยางจิวหรงอยู่ไม่น้อย จนเมื่อฉันได้เห็นว่าหยางจิวหรงออกมาสู่โลกใบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นฉันถึงคิดขึ้นได้ว่าเราสองคนมีบางอย่างที่ต่างกันอยู่...
‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ที่ไม่มีฉันอาจเป็นสวนแห่งความเบื่อหน่ายของหยางจิวหรง แต่ ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ที่ไม่มีหยางจิวหรงคือสวรรค์ของฉัน
เพราะไม่มีตัวละครชายอื่นแล้ว หากฉันกลับไปในยามนี้ ตำแหน่งตัวเอกชายที่ได้แต่งงานกับหลี่ซูฮวาอาจเปลี่ยนเป็นฉันก็ได้ แถมพระเอกที่จะคอยปกป้องบัลลังก์ก็ไม่มีแล้ว เส้นทางว่างโล่งเพื่อตัวฉันเพียงคนเดียว ดังนั้นมันจึงคุ้มค่าทุกประการที่จะกลับไป
ฉันจึงเริ่มตั้งเป้าหมายว่าจะกลับไปยังโลกนิยาย
ฉันรู้วิธีที่จะกลับไปอยู่แล้ว ที่ต้องทำตอนนี้ก็แค่มองหาใครสักคนที่จะมาแทนที่วิเชียร
ทำไมฉันต้องกลับไปช่วงชิงบัลลังก์ที่เป็นแค่เรื่องสมมติ ทั้งที่กำลังอยู่ในโลกของคนจริงน่ะเหรอ ก็เพราะว่าตอนที่ฉันอยู่ในโลกของ ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ นั่น เรื่องสมมติมันเป็นของจริงยังไงล่ะ ต่อให้เป็นแค่นิยายที่ถูกเขียนขึ้นมา แต่ถ้าฉันได้เป็นฮ่องเต้ในนั้น อำนาจที่จะฆ่าหรือไว้ชีวิตใครก็ได้ย่อมเป็นของจริง เงินทองและตำหนักก็เป็นของจริง หญิงงามที่ฉันจะได้ครอบครองก็เป็นของจริงเช่นกัน
มันจริงเมื่อฉันอยู่ในระนาบนั้น แม้มันจะไม่จริงเมื่อฉันอยู่ในระนาบนี้
บัลลังก์ที่ฉันต้องการก็เป็นของจริง หากมองในมุมนี้
แต่การจะกลับเข้าไปในนิยายนั้นไม่ง่ายนัก ฉันจำเป็นต้องใช้คนที่เชิญฉันออกมา แต่ฉันมีปัญหาบางอย่าง...
ตอนที่ฉันออกมาจากนิยายทีแรก วิเชียรอายุได้แปดสิบเอ็ดปีแล้ว ฉันสะกดวิเชียรไว้ ทำให้เขาเชื่อฟังฉัน จากนั้นฉันกับวิเชียรก็ใช้เวลาสามปีสร้างนายเทียน จงวิริยะ ขึ้นมาในโลกนี้ พวกเราใช้วิธีต่างๆ ทำให้ฉันมีเอกสาร บัตรประชาชน และใบเกิด วิเชียรสืบหาวิธีที่คนต่างด้าวจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนไทย แล้วก็ทำแบบเดียวกันนั้นกับฉัน ใช้เงินสร้างตัวตนที่ไม่เคยมีให้ปรากฏขึ้นมาจากอากาศ จ้างให้คนในสำนักงานราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ฉันโดยยัดเงินใต้โต๊ะ จากนั้นก็ย้ายชื่อฉันเข้าทะเบียนบ้าน สร้างตัวตนของฉันขึ้นมาในโลกแห่งความจริง เราทำทุกอย่างได้ดีไม่มีที่ติ แต่อยู่ดีๆ เวลาของวิเชียรก็หมดลง
ความตายทำให้วิเชียรหายไปจากโลกใบนี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีข้อความตอบจากไอดีไลน์ของเขาอีกต่อไป เอกสารต่างๆ ที่ระบุถึงตัวตนเขาถูกปั๊มว่าเป็นโมฆะ ชื่อเขาในทะเบียนบ้านถูกปั๊มว่าตาย เหลือเพียงหน้าที่ระบุชื่อฉันว่าเป็นเจ้าบ้านแทน
ชีวิตของวิเชียรโดดเดี่ยว เขาไม่มีภรรยาหรือลูก อายุปูนนี้ก็ย่อมไม่ได้ทำงานอะไร ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองที่สะสมไว้ ญาติสนิทที่เคยมีก็ตายจากไปหมดแล้ว รายรอบตัวของวิเชียรไม่มีใครเลยนอกจากฉัน จึงราวกับมีเพียงฉันเท่านั้นที่จำได้ว่าโลกใบนี้เคยมีวิเชียรอยู่
ผู้อัญเชิญของฉันตายไปแล้ว ฉันจึงกลับเข้าไปในโลกนิยายไม่ได้
ตอนนี้ฉันได้แต่รอและตั้งความหวังให้ตัวเองเจอคนที่เหมือนกับวิเชียร เมื่อถึงตอนนั้น ความฝันที่ฉันจะได้เดินทางกลับไปน่าจะไม่ยากเย็นเกินเอื้อม
“ต้องตามหาคนที่ใช้ได้” ฉันกระซิบกับตัวเองเบาๆ อย่างครุ่นคำนึง “ใครกันนะที่เป็นคนเชิญหยางจิวหรงออกมา”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in