เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
bemine x moviesบีไมนฟอร์อะไวล
First Man (2018), A | ต้องพลาดบนนี้เพื่อจะไม่พลาดบนนั้น
  • เล่าเรื่องจริงของนีลอาร์มสตรองในช่วงปี 1961-1969 หลังจากที่เสียลูกสาวไป เขาก็ตัดสินใจร่วมงานกับนาซ่าในการเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Gemini ซึ่งเป็นโครงการในการเยือนดวงจันทร์ โดยช่วงเวลาระหว่างนั้นเขาจะต้องเสียสละในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง


    เป็นการรวมตัวอีกครั้งของผู้กำกับเดเมี่ยนชาเซลล์ และไรอันกอสลิง ที่ล่าสุดร่วมงานกันในเรื่อง La La Land (2016) ที่ในปีนั้นลาลาแลนด์ได้รางวัลออสการ์กลับบ้านไปถึง 6 รางวัลและการพบกันของพวกเขาใน First Man (2018) นี้ก็คงหนีไม่พ้นรางวัลออสการ์อย่างแน่นอน

    หนังเล่าเรื่องนิ่งๆไม่หวือหวา ผ่านการใช้มุมกล้องโคลสอัพนักแสดง เพื่อเน้นไปที่สายตาและอารมณ์ในตอนนั้น ซึ่งเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ที่ไร้ที่ติเลยจริงๆ คนดูจะได้เห็นการล้มเหลวของนีลอาร์มสตรองตั้งแต่การถูกบีบบังคับให้พักงานจากการที่สูญเสียลูกสาวไป ยานที่ใช้ในการทดลองยังไม่ดีพอ แถมการไปดวงจันทร์ครั้งนี้ก็รับประกันไม่ได้อีกว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา


    ดางด้านการแสดงนั้น ทั้งไรอันกอสลิงและแคลร์ฟอยถือว่าทำได้ดี ไรอันกอสลิงกับบทนีลอาร์มสตรองที่รับทั้งความกดดันและความทุกข์จากการสูญเสียลูกสาวไปได้อย่างลงตัว จนทำให้มุมมองที่มีต่อนีลอาร์มสตรองจากที่ได้เรียนในหนังสือเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนที่เรียนหนังสือเรารู้กันแต่ว่านีลอาร์มสตรองคือมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบลงบนดวงจันทร์ แต่ก็หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังแล้วเขาผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เน้นไปที่เบื้องหลังก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จเสียมากกว่า ส่วนการแสดงของแคลร์ฟอยนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังไม่ต่างจากบทของไรอัลกอสลิงเลย สัมผัสได้ถึงความเป็นควีน ความเป็นแม่คนที่ต้องแบกรับสิ่งที่กดดันหลายๆอย่าง ซึ่งแคลร์ฟอยแสดงออกมาได้ชัดเจนและดีเยี่ยม รางวัลออสการ์สำหรับนักแสดงนำทั้งสองคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


    หากว่าด้วยเรื่องของโปรดักชั่นคงไม่พ้นกับคำว่า "ยอดเยี่ยม" เริ่มต้นด้วยเรื่องคอสตูมที่ไม่ได้หวือแต่เต็มไปด้วยการถูกเก็บรายละเอียดอย่างตั้งใจจริง ชุดนักบินอวกาศที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับชุดนักบินในช่วงยุคนั้น ถ้านำมาเทียบกันแทบจะเป็นชุดเดียวกันเลย อีกทั้งการถ่ายทำในฉากบินต่างๆ มันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและลุ้นไปกับทุกการบินของนักบิน แล้วยังมีฉากบนดวงจันทร์ที่ถ่ายถอดออกมาได้สวยงามแบบสตั้นติ้งวิวไปเลยจริงๆ แถมการใช้มุมกล้องแบบบุคคลที่สามบนดวงจันทร์ ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังไปอยู่บนตวงจันทร์นั้นจริงๆ ซึ่งก็น่าเสียดายมากๆที่ IMAX ไม่ได้ทำเป็น IMAX 3D

    หนังไม่ลืมเล่าเรื่องการแข่งขันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีระหว่างอเมริกาและโซเวียตที่น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆของการเยือนดวงจันทร์ในครั้งนี้ ซึ่งเอาจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกับถูกสร้างมาเพื่อเชิดชูอเมริกาอย่างอ้อมๆไปอีกเสียด้วย


    หลายครั้งที่การทดลองของนาซ่าพลาด ครั้งที่รุนแรงที่สุดในยุคนั้นคงจะเป็นการทดสอบการปล่อยยานี่ให้นักบินเข้าไปนั่งในยาน และมีการใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ให้เหมือนยานที่ออกเดินทางจริง แต่ทว่าเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าขัดข้อง ทำให้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง และคร่าชีวิตนักบินอวกาส 3 นายไป
    "เราต้องพลาดบนนี้เพื่อจะไม่พลาดบนนั้น" นี่คือประโยคที่นีลอาร์มสตรองพูดเมื่อพูดถึงการล้มเหลวในครั้งนั้นและอีกหลายๆครั้งที่ผ่านมา ซึ่งยอมรับเลยว่าประโยคข้างต้นคงจะให้แรงบันดาลใจกับใครอีกหลายๆคนแน่ๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in