เล่ม 1 ตอนที่ 9 ภาระอันหนักอึ้งและหนทางอีกยาวไกล
ชายหนุ่มยังไม่หยุดฝีเท้านางจึงต้องเร่งรุดตามไป “กระหม่อมไม่ชำนาญการต่อสู้กระหม่อมมิบังอาจรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี่หรอกพ่ะย่ะค่ะ
บุรุษผู้ร้ายกาจคนนี้วันๆถ้าไม่ลงโทษนางก็กลั่นแกล้งนาง แล้วยังเกือบทำหัวนางหลุดจากบ่าอีกต่างหาก
เซียวหนานสวินหยุดชะงักมองนางด้วยหางตา แล้วหรี่ตาเล็กน้อย “เจ้าว่าอะไรนะ”
หนิงเจิงชะงัก
เมื่อสอดประสานสายตาอันตรายของชายหนุ่มทันใดนั้น นางก็นึกถึงเหตุการณ์เอาชนะหลิวอี้เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้หากจะพูดว่าไม่เก่งการต่อสู้ก็คงไม่ดีนัก นางจึงกุลีกุจอพูดว่า“ที่สำคัญทหารองครักษ์ไม่ได้เก่งเพียงแค่การต่อสู้เท่านั้นจะต้องฉลาดมีไหวพริบอีกด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะมิทำให้พระองค์พลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วไงล่ะ”
“เพราะฉะนั้น...”นางลอบกลืนน้ำลาย “กระหม่อมคิดว่า...คิดว่า...”
แววตาของชายหนุ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเจิงมีลางสังหรณ์ว่าวินาทีต่อไปนางต้องตายแน่ๆสายตามองริมฝีปากของเขาที่กำลังขยับพูด นางสะดุ้งตกใจ จึงรีบพูดว่า “เป็นภาระอันหนักอึ้งและหนทางยังอีกยาวไกลพ่ะย่ะค่ะ
เมื่อพูดแบบนั้นออกไปนางก็แทบอยากจะตบปากตัวเองสักที!
ทำไมนางถึงขี้ขลาดตาขาวแบบนี้นะ
“เจ้าทำเป็นประหม่าตื่นเต้นเพื่อจะพูดกับเปิ่นกงแค่นี้หรือ” สายตาของชายหนุ่มฉายแววขบขันอย่างเห็นได้ชัด
หนิงเจิงจุกอกจนพูดไม่ออกแต่ก็ต้องพยักหน้าอย่างช่วยมิได้
“พ่ะย่ะค่ะ”นางฝืนยิ้มออกมา “ขอบพระทัยไท่จื่อที่เมตตากระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหนานสวินหัวเราะเยาะแล้วเดินไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หนิงเจิงสูดน้ำมูกและแหงนหน้ามองฟ้าเงียบๆ
องครักษ์ข้างกาย...
แม้ในอนาคตนางอาจจะยากลำบากแต่บิดาบุญธรรมรู้ว่านางสามารถปกป้องไท่จื่อได้ ท่านพ่อคงจะดีใจกระมัง
ถ้าอย่างนั้นนางก็จะ...เสียสละตนเองเพื่อความกตัญญู
เฮ้อ
...
โดนโบยสามสิบที อย่างน้อยคงทำให้เนื้อหนังปริแตกบ้างต่อให้หลิวอี้มีความอดทนแค่ไหน ก็คงอดทนกับการถูกโบยหลายครั้งเช่นนี้มิได้
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังแว่วจากห้องทรมานหลังจวนไม่หยุดเมื่อโบยครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น หลิวอี้ไม่มีแม้แต่เสียงร้อง
ร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นแผ่นหลังมีเลือดไหลซึม ยิ่งนอนคว่ำบนพื้นก็ยิ่งอึดอัดเขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างอ่อนแรง มองหน้าจ้าวซู่ก่อนจะเอ่ยเรียก “จ้าวกงกง...”
จ้าวซู่ขมวดคิ้ว“เป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวอี้กัดฟันและเอ่ยถามอย่างอดมิได้“ไท่จื่อทรงต้องการ...ปกป้องหนิงเจิงหรือ”
จ้าวซู่พยักหน้าตอบตามตรง“หากเทียบกับเจ้า ก็เห็นจะเป็นเช่นนั้น”
“แต่เมื่อวานไท่จื่อทรงเกลียดเขามากมิใช่หรือ”
หลิวอี้ล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนทำให้กระเทือนถึงแผล แล้วเขาก็อ้าปากหอบหายใจด้วยความเจ็บปวด
เขาพูดอย่างโกรธแค้น“เจ้าสุนัขรับใช้นั่นทำอย่างไร ถึงทำให้ไท่จื่อเปลี่ยนพระทัยชั่วข้ามคืน”
ชั่วข้ามคืนหรือ
จ้าวซู่แสยะยิ้มถ้าหากไท่จื่อเกลียดจริง พระองค์คงลงโทษสั่งโบยหลายสิบทีเหมือนหลิวอี้แทนที่จะให้ทำแค่ยืนบนเสาไม้เท่านั้นแบบนี้หรอก!
เขาพูดแผ่วเบา“ความคิดของเจ้านาย ขี้ข้าอย่างเราคาดเดาได้ซะที่ไหน”
หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือโดยไม่รอให้หลิวอี้ได้โต้เถียงก่อนจะพาเขาออกไปจากตรงนั้นอย่างทุลักทุเล
หลิวอี้พูดอย่างหงุดหงิด“เจ้าขันทีบ้า เจ้าสะใจอะไรมิทราบ!”
ไหนจะมีใบหน้าขาวๆที่สมควรตายของหนิงเจิงนั่นอีก ความแค้นในวันนี้ เขาจะต้องเอาคืนอย่างสาสมแน่
...
เรื่องที่หนิงเจิงกลายเป็นองครักษ์คู่กายแพร่สะพัดไปทั่วจวนไท่จื่ออย่างรวดเร็ว
แม้จะมีคนมากมายอิจฉาริษยาแต่ก็ไม่กล้าปากมาก ถึงอย่างไร นอกเหนือจากวรยุทธ์ที่สูงส่งที่สุดของหัวหน้าองครักษ์จี้ก็มีวรยุทธ์ของรองหัวหน้าหลิวอี้ที่เป็นเลิศ ดังนั้นการที่หนิงเจิงเอาชนะเขาได้ก็แสดงว่าสามารถเอาชนะองครักษ์คนอื่นด้วยเช่นกัน
คนมากมายหลั่งไหลมาแสดงความยินดีกับนางจนกระทั่งนางส่งแขกเรียบร้อย กลับมีอีกคนที่มาหาโดยไม่คาดคิด
“จ้าวกงกง”นางมองเขาด้วยความแปลกใจ
จ้าวซู่เดินมาหานางกล่าวน้ำเสียงแหบแหลม “ต่อไปเจ้าก็คือองครักษ์ติดตามไท่จื่อ พักรวมกับผู้อื่นเห็นทีคงมิเหมาะสมเท่าไรนัก ข้ามาพาเจ้าไปยังที่พักใหม่”
หนิงเจิงตาเป็นประกาย“ข้าจะได้อยู่คนเดียวหรือขอรับ”
“ก็ใช่น่ะสิถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ”
ดวงตาของหนิงเจิงยิ่งเปล่งประกายถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี การอยู่รวมกับพวกชายฉกรรจ์ไม่น่าไว้ใจเท่าไรแล้วยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนอีก!
ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย!
นางเก็บข้าวของลวกๆตอนกำลังจะออกจากห้อง นางก็แอบสบายใจมากเหมือนกัน
แต่เมื่อนางเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไรจู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความมิชอบมาพากล
“จ้าวกงกงพวกเรากำลังไปที่ใดหรือขอรับ”
หากนางจำไม่ผิดดูเหมือนทางนี้จะเป็นทางไปตำหนักไท่จื่อนี่นา
จ้าวซู่หันมามองนางด้วยสายตาเอือมระอาอย่างเห็นได้ชัด“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเป็นที่อยู่ใหม่ของเจ้า สมองเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรือไร”
“ข้ารู้แล้วว่าเป็นที่อยู่ใหม่”หนิงเจิงมีสีหน้าสับสน “แต่ข้าหมายถึงที่ไหนเล่า”
“...”
จ้าวซู่มองนางเหมือนมองคนโง่เขลาก็มิปาน
หนิงเจิงกุมขมับอย่างทนมิได้นี่นางยังพูดไม่ชัดพออีกหรือ จ้าวกงกง สมองของท่านต่างหากที่มีแต่ขี้เลื่อย
ช่างเถอะๆ เมื่อเรือถึงสะพานมักมีทางรอ...
อ้าวเฮ้ย
เมื่อจ้าวซู่หยุดฝีเท้าตรงประตูทางเข้าหนิงเจิงก็มองคฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าอย่างพูดไม่ออก นางในใจแอบคิด...ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ
ในที่สุดนางก็ยอมรับความจริง ว่านางต้องเผชิญหน้าไท่จื่อทุกวันแต่ตอนนี้...
ไม่ได้เพียงแค่ทุกวันแต่อาจต้องเผชิญหน้าเขาทุกคืนด้วยใช่หรือไม่!
“มัวยืนซื่อบื้ออยู่ทำไมเข้าไปสิ”
จ้าวซู่ผลักข้างลำตัวของนางแต่ดูเหมือนขาของหนิงเจิงจะติดกับพื้นและไม่ขยับ
“เหอะ
จ้าวซู่นึกสนุก“ข้าว่าองครักษ์หนิง...”
หนิงเจิงค่อยๆหันหน้าไปมองเขา “จ้าวกงกง ต่อจากนี้ไปข้าต้องอยู่ที่นี่หรือ”
“เหลวไหล
“...”
อยู่ในจวนเดียวกันจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียวได้อย่างไร!
หนิงเจิงขุ่นข้องแต่ไม่กล้าพูดออกไปจึงตอบแค่ “อ้อ”
จ้าวซู่ส่งเสียงอืมจากนั้นชี้ไปที่ห้องทางปีกตะวันตก “นั่นคือห้องพักของเจ้า เดี๋ยวเจ้าไปรายงานตัวกับไท่จื่อก่อนแล้วค่อยดูว่าไท่จื่อทรงมีรับสั่งอะไร”
หนิงเจิงพยักหน้าแววตาละห้อย หลังจากกลับไปจัดข้าวของที่ห้องตนเองแล้ว นางก็เดินเตาะแตะมาถึงหน้าประตูห้องตำราของเซียวหนานสวิน
ขณะที่กำลังจะเคาะประตู ประตูก็เปิดจากด้านใน ทันใดนั้นร่างอรชรในอาภรณ์สีม่วงอ่อนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หนิงเจิงตกตะลึงครู่หนึ่ง และได้ยินอีกฝ่ายตะคอกใส่อย่างโมโห“เจ้ามองอะไร เห็นเช่อเฟยแล้วยังมิรู้จักแสดงความเคารพอีกหรือ”
เช่อเฟยหรือ
...เซวียนเช่อเฟย
หนิงเจิงตกใจทันทีก่อนจะรีบโค้งคำนับ “ถวายบังคมเซวียนเช่อเฟย ขอให้เช่อเฟยทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนเช่อเฟยหรือเยี่ยเหลียงเซวียนบุตรีเยี่ยเฮ่าฮั่นเสนาบดีกรมพระคลัง ที่เพิ่งเข้าจวนในฐานะพระชายารองเมื่อวานนี้และเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในจวนไท่จื่อ
แม้เช่อเฟยผู้นี้จะรู้หนังสือและบทกวีแต่นิสัยของเธอไม่ได้เป็นคนอ่อนโยนและขี้อายซึ่งต่างจากบรรดาสตรีผู้รอบรู้และมีเหตุผลคนอื่นๆ
ทว่านางเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าฝ่าบาททรงเห็นในข้อดีนี้ของนางจึงพระราชทานสมรสกับไท่จื่อ...บางทีอาจตั้งความหวังไว้นางจะเป็นโอสถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ทำให้ นกเขาไม่ขัน ของไท่จื่อ ปึ๋งปั๋ง ขึ้นมาได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in