เล่ม 1 ตอนที่ 8 ใครใช้ให้เจ้าสาระแนเรื่องของเขา
สายตาของเซียวหนานสวินเลื่อนมาที่นางโดยที่นางยังมิทันได้โต้แย้ง “ดูเหมือนเจ้ามีอะไรอยากจะพูด”
นางมีแน่นอน
“ไท่จื่อ
สีหน้าของหนิงเจิงซีดแล้วซีดอีกซีดจนเขียว ในที่สุดนางก็ระเบิดอย่างทนมิไหว “พระองค์อยากให้กระหม่อมตาย กระหม่อมก็ยอมตายต่อให้พระองค์ให้กระหม่อมทำความสะอาดทั้งจวนก็ย่อมได้กระหม่อมก็ไม่กล้าแม้แต่จะบ่นสักคำ!”
แหมแต่ก็ต้องมีบ่นบ้างนั่นแหละ!
แต่ว่าตอนนี้พูดออกมาไม่ได้ยังไงเล่า
นางทั้งโกรธทั้งรู้สึกไม่ยุติธรรม“แต่ว่า พระองค์ยอมให้เขาเหยียดหยามกระหม่อมเช่นนั้นได้หรือพ่ะย่ะค่ะ
เซียวหนานสวินหรี่ตาสายตาอันเฉียบคมมองตามนิ้วมือที่นางชี้ “เหยียดหยามหรือ”
หลิวอี้ตระหนกตกใจส่ายหน้าพัลวัน “ไท่จื่อ พระองค์อย่าไปฟังคำพูดจาเหลวไหลของเขานะพ่ะย่ะค่ะ
เขาพูดขอความเป็นธรรม“กระหม่อมเห็นว่าตะวันโด่งแล้วแต่เขาขี้เกียจอู้งานจึงให้เขาลุกขึ้นมาฝึกกายบริหาร ใครจะไปรู้ ว่านอกจากเขายังไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังจะ...”
“หลิวอี้”
เซียวหนานสวินเอ่ยขัดเขาด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หนิงเจิงสูดหายใจเฮือกมีลางสังหรณ์ว่าตัวเองกำลังจะจบเห่แล้วเป็นแน่!
นางมีปากเดียวเสียงเดียวจะไปเถียงสู้พวกหมาหมู่ปากมากนี่ได้อย่างไร ไม่สิ เถียงไม่ชนะแน่นอน
ทำอย่างไรดี
ต้องรอความตายอย่างนั้นหรือ
ทว่าวินาทีถัดมาคำพูดของชายหนุ่มก็ทำลายความคิดของนางแตกกระเจิง “ใครใช้เจ้าสาระแนเรื่องของเขา”
หลิวอี้ตกตะลึง“อะไรนะ”
เขาคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแล้ว
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นหนิงเจิงเองก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน
แววตาเย็นชาของชายหนุ่มนำมาซึ่งความรู้สึกกดดัน“เจ้าเป็นเจ้าของจวนไท่จื่อตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจะทำงานหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หลิวอี้เบิกตาโต“ไท่จื่อ กระหม่อมก็แค่...”
“หุบปาก
ตรัสเมื่อไหร่ทำไมเขาไม่รู้!
ดวงตาของหลิวอี้ยิ่งเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความมึนงง
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นทุกคนในเหตุการณ์ก็ตกตะลึงอ้าปากค้างด้วยเช่นกัน
พวกเขาคิดว่าหนิงเจิงเป็นเพียงองครักษ์ตัวเล็กๆที่ต้องอาญาไท่จื่อ ที่ใครๆ ก็สามารถเหยียบย่ำได้ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาช่วยรองหัวหน้ารุมกระทืบและด่าทอสารพัด...
แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันชักยังไงกันแน่
ไม่เพียงแต่ห้ามรังแกเท่านั้นยัง...ห้ามทำงานอีกด้วยหรือ
บรรยากาศเกิดความเงียบสงัด
ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะหันไปมองหนิงเจิงด้วยความประหลาดใจ
หนิงเจิงกะพริบตาปริบๆอย่างมึนงง แล้วจ้องหน้าเซียวหนานสวิน
นางคิดว่าไท่จื่อจะให้หลิวอี้สั่งสอนนางเสียอีกดังนั้นนางจึงเลือกที่จะกลืนความโกรธในตอนแรก
แต่ทว่าตอนนี้...ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเขาเลย
ไม่เพียงแต่ไม่เหมือนเขาแต่คิดไม่ถึงว่าเขา...จะช่วยนางจริงๆ หรือ!
สิ่งที่รับรู้ในตอนนี้ทำให้สายตาของนางยิ่งดูพิลึก
เซียวหนานสวินเห็นสายตาประหลาดที่ปิดไม่มิดของนางเขาจึงขมวดคิ้วแล้วถลึงตาใส่นางกลับไป
หนิงเจิงกะพริบตาปริบๆอีกครั้ง แล้วยังคงมึนงงสับสนต่อไป
เซียวหนานสวิน“...”
เขาเบือนหน้าหนีอย่างไร้ความรู้สึกริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยอย่างเย็นชา “ใครก็ได้...ลากสุนัขรับใช้ที่กำเริบเสิบสานก่อเรื่องทะเลาะวิวาทออกไปแล้วโบยหนักๆ สามสิบครั้ง!”
หลิวอี้หน้าถอดสีเขาเถียงอะไรไม่ออกอีกต่อไป แล้วตะเกียกตะกายไปข้างหน้า
“ไท่จื่อกระหม่อมผิดไปแล้ว ไท่จื่อทรงเมตตาเห็นแก่ความหวังดีของกระหม่อมด้วยไว้ชีวิตกระหม่อมครั้งนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหนานสวินไม่แยแสเขาสักนิดสายตาเย็นยะเยือกปราดมองทุกคน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนาวสะท้าน“ถ้าหากใครฝ่าฝืนอีก ให้ลงโทษพร้อมกันในวันนี้ซะ!
“ขอบพระทัยไท่จื่อ
เสียงร้องขอความเมตตาของหลิวอี้เริ่มไกลขึ้นเรื่อยๆท่ามกลางลมเหมันต์ในสารทฤดู
ดังนั้นจึงเหลือเพียงชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านและหนิงเจิงที่นั่งคุกเข่ากับพื้นสองคนเท่านั้นบรรยากาศอันเงียบสงบค่อยๆ แผ่ขยายออกไป
“เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”
ทันใดนั้น น้ำเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของนางก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
จะให้พูดอะไรเล่า
หนิงเจิงพิศมองใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไท่จื่อทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
เซียวหนานสวินขมวดคิ้วมุ่น
นางพูดเสียงเศร้าสร้อย“กระหม่อมผ่าฟืนเสร็จหมดแล้ว ผ้าก็ซักตากแล้วแม้แต่ใบไม้ร่วงก็กวาดจนใกล้จะเสร็จ...”
“สมน้ำหน้า
น้ำเสียงแหบพร่าและเย็นเฉียบพูดตัดบทนาง
หนิงเจิงชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วก็พระองค์ถามให้ข้าพูดอะไรบ้างมิใช่หรือ ตอนนี้ข้าพูดแล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจอีกหรือไร
ไท่จื่อนี่ช่างเอาใจยากจังเลย
“ยังไม่ลุกขึ้นมาอีกเจ้าคิดจะคุกเข่าตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”
“อ้อ...พ่ะย่ะค่ะ”แต่อาจเป็นเพราะเขาคุกเข่านานและลุกขึ้นเร็วเกินไปจึงทำให้หนิงเจิงสะดุดกะทันหัน ร่างของนางโอนเอนจนเกือบล้มทับร่างของเซียวหนานสวินแล้ว
เซียวหนานสวินถอยหลังหนึ่งก้าวขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ “หนิงเจิง เจ้าคงไม่คิดว่าเปิ่นกงชอบบุรุษจริงๆหรอกกระมัง”
หนิงเจิงกลับไม่เคยคิดเช่นนั้นแต่ทว่า...
สายตาของชายหนุ่มผู้นี้หมายความว่าอย่างไรแล้วคำพูดพวกนี้หมายความว่าอย่างไร นี่เขาคิดว่านางจงใจยั่วยวนเขาจริงๆ หรือ
หนิงเจิงอ้าปากพะงาบๆแต่ขณะที่จะพูดอยู่นั้นชายหนุ่มกลับหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อีกเช่นเคย
นาง “...”
นางสูดหายใจเข้าลึกๆถึงจะสามารถระงับอารมณ์วู่วามที่อยากหาเหตุผลกับเขาลงไปได้ จากนั้นจึงเร่งรุดตามไป
แต่ทนแล้วทนเล่านางก็ยังอดเหยียบเงาเขาระบายอารมณ์มิได้จากนั้นก็ก้มลงไปลูบหัวเข่าที่เจ็บปวดของตนเอง
เซียวหนานสวินสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ข้างหลังของตนริมฝีปากบางค่อยๆ เหยียดยิ้มเย็นชาจนเป็นเส้นตรง
เจ้าสุนัขรับใช้ที่ไม่รู้จักกฎไม่รู้จักกาลเทศะผู้นี้ผ่านการคัดเลือกองครักษ์เข้ามาได้อย่างไรกันแน่
ส่วนเขาเขามองข้ามตัวเลือกนับพันนับหมื่นแล้วเลือกคนผู้นี้มาอยู่ข้างกายได้อย่างไร
“...ไท่จื่อ”เสียงของผู้นั้นที่อยู่ข้างหลังดังขึ้น
“มีอะไร”เซียวหนานสวินพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความเมตตา
หนิงเจิงรีบตามประกบแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “กระหม่อมมิได้แอบอู้งานจริงๆรองหัวหน้าหลิวให้กระหม่อมทำงาน กระหม่อมก็ทำเสร็จหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
เขาช่างเย็นชายิ่งนัก
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดอีกครั้ง
หนิงเจิงขบเม้มริมฝีปากอย่างลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เพราะเขา...คิดทำมิดีมิร้ายกับกระหม่อม
เซียวหนานสวินหยุดชะงักจากนั้นก็หันกลับมาปรายตามองนาง
หนิงเจิงสบตาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจทันใดนั้น ใจก็เต้นตึกตัก “พระองค์ไม่เชื่อหรือ”
“เจ้ารูปร่างหน้าตาแบบนี้คิดว่าหลิวอี้ตาบอดหรือ”
“...?
ครั้งที่สองแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่ชายหนุ่มเหยียดรูปร่างหน้าตาของนาง
หนิงเจิงเดือดปุดๆถึงแม้ว่านางจะมิใช่สตรีงามล่มเมือง แต่ท่านพ่อบุญธรรมก็ชมว่านางสวยตลอดรูปร่างหน้าตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร!
นางกล่าวอย่างไม่พอใจ“ไท่จื่อ คงเป็นเพราะเห็นความหล่อเหลารูปงามของตนเองหน้ากระจกทุกวันก็เลยคาดหวังกับคนอื่นไว้สูงใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“สามหาว
สีหน้าของเซียวหนานสวินนิ่งขรึมทันที“หนิงเจิง เปิ่นกงขอเตือนเจ้า อย่าคิดว่าให้เจ้าเป็นองครักษ์ข้างกายแล้วจะวิเศษวิโสกว่าผู้อื่น...เปิ่นกงมิได้ชอบบุรุษหากเจ้ายังกล้าไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้อีก อย่าหาว่าเปิ่นกงไม่เกรงใจ
นางก็ไม่ได้สนใจผู้ชายเหมือนกันนี่นา
ไม่ไม่สิ...เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ
องครักษ์ข้างกาย
หนิงเจิงตกใจเบิกตาโตนางกลายไปเป็นองครักษ์ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไหร่!
ข้างกายเปิ่นกงยังขาดองครักษ์ไปหนึ่งคน
ทันใดนั้น นางก็จำคำพูดที่ไท่จื่อตรัสเมื่อวานได้แล้วยังมีสีหน้าแปลกๆ ของจ้าวกงกงในตอนนั้นอีกด้วย...
ตอนนั้นเขาหมายความเช่นนี้หรือ
“ไท่จื่อ
หนิงเจิงมองชายหนุ่มที่เดินจากไปไกลแล้วอุทานด้วยความตกตะลึง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in