เล่ม
“บัญชาหรือมีแน่นอน”
หลิวอี้กระตุกยิ้มมุมปาก“แต่เห็นแก่เจ้าที่เพิ่งมาใหม่ งานวันนี้จึงไม่หนักหนาสาหัส ไปผ่าฟืนในครัวก่อนแล้วเอาผ้าปูที่นอนไปซักที่ห้องซักล้างให้สะอาด อ้อ จริงสิ แล้วเจ้าก็กวาดใบไม้ร่วงตรงลานหลังจวนด้วยล่ะ”
นี่ยังไม่เรียกว่าหนักอีกหรือ
หนิงเจิงถามด้วยความแปลกใจ“งานพวกนี้เป็นของพวกสาวใช้มิใช่หรือ”
“ให้เจ้าทำเจ้าก็ต้องทำพูดไร้สาระให้มากความอยู่ได้!”หลิวอี้ขมวดคิ้ว ใบหน้าซูบผอมดูร้ายกาจเจ้าเล่ห์
“...ขอรับ”หนิงเจิงทำได้เพียงพยักหน้า
เมื่อวานนางยังแอบคิดว่าไท่จื่อคงไม่ถือสาเอาความกับนางแต่นี่ก็ทำให้เห็นได้ชัดแล้วว่านางไร้เดียงสาเกินไปสินะ
นางถอนหายใจยอมรับชะตากรรมแล้วลุกไปทำงานทันที
นางใช้เวลาทั้งช่วงเช้าในการสับฟืนและซักผ้าปู จนถึงตอนเที่ยงแม้ว่านางจะหิวจนไส้กิ่ว แต่นางยังไม่ได้กวาดพื้นเลย
ที่สำคัญ...
ทำไมคนที่มามุงดูนางยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆล่ะ
นอกจากนางแล้วคนอื่นๆ นี่ว่างนักใช่ไหมฮะ!
หนิงเจิงก้มหน้าก้มตากวาดพื้นทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาใกล้นาง!
เมื่อเงยหน้า นางก็เห็นหลิวอี้ทำหน้าตามีเลศนัยเดินออกมาจากฝูงชน“หนิงเจิง ข้าสังเกตว่าเจ้ามีผิวพรรณบอบบางเนียนนุ่ม รูปงามไม่เบาจริงๆ ด้วย”
หนิงเจิงนิ่งค้างทันใดนั้นก็ถอยหลังอย่างระแวง “รองหัวหน้าองครักษ์ ข้าน้อยกวาดพื้นเสร็จแล้วขอรับ
“ข้าเห็นแล้ว”หลิวอี้หัวเราะกรุ้มกริ่ม มองนางด้วยสายตาเจตนาร้าย“เจ้าทำงานคล่องแคล่วว่องไวดีนี่ พักสักหน่อยก็ได้”
“ไม่เป็นไรข้าน้อยไม่เหนื่อย”
“แต่ว่าข้าเหนื่อยแล้วน่ะสิ”หลิวอี้ประชิดเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาถูฝ่ามือไปมา รอยยิ้มก็ค่อยๆ ลุ่มลึกกว่าเดิม“ข้าว่า...เราสองคนไปนอนพักผ่อนด้วยกันดีกว่า”
แววตาของหนิงเจิงพลันเปลี่ยนไป“รองหัวหน้าหลิว!”
เซียวหนานสวินหยุดฝีเท้าที่เดิมจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
จ้าวซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและชำเลืองมองชายหนุ่มข้างๆ“ไท่จื่อ ให้กระหม่อมเข้าไปห้ามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดเจือแววเหยียดหยาม“เขาผอมแห้งเป็นไม้กระดานแบบนี้ คงไม่คณามือรองหัวหน้าหลิวแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าเขากลับเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเซียวหนานสวินและริมฝีปากบางเฉียบก็พูดเพียงสองคำ “ไม่ต้อง”
ไม่ว่าจะใช่เล่ห์เพทุบายเพื่อออกมาจากกับดัก หรือแก้ตัวในภายหลังด้วย“ความจงรักภักดี”ทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงมันสมองของหนิงเจิงว่าเป็นคนฉลาดเอาตัวรอดเก่ง
หากคิดจะเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาสิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ...อย่างน้อยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการต่อสู้ที่เขายังไม่ได้เห็นกับตา
“พ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวซู่พยักหน้า
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะคอกดังมาจากตรงนั้น“ไอ้ขี้ครอก!” หลิวอี้สบถด่า “สองวันก่อนก็พยายามยั่วยวนไท่จื่อตอนนี้เจ้าแสร้งเหมือนยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกหรือ”
หนิงเจิงเบิกตาโตทันทียั่ว...ยั่วยวนไท่จื่อหรือ
นางไปยั่วยวนไท่จื่อตั้งแต่เมื่อไหร่หา
“สมองเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรือไง”นางทั้งตกใจและทั้งโกรธ “แล้วเจ้าเอาหนังหน้าที่ไหนมาเปรียบเทียบกับไท่จื่อฮะ”
แม้สิ่งที่นางพูดเป็นความจริงแต่เมื่อหลิวอี้ได้ยินดังนั้นก็ยังมีสีหน้ามืดมนอยู่ดี “ข้าเทียบไม่ติดแต่วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็น ว่าความโสมมมันเป็นอย่างไร
เขายกมือขึ้น“มานี่สิ!”
หนิงเจิงตึงเครียดหมัดที่กำแน่นหยุดชะงักและไม่ได้ปล่อยหมัดออกไปทันท่วงที
ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวว่านางเพิ่งเข้าจวนไท่จื่อ อย่าได้เผยความสามารถ อย่าได้สร้างเรื่องเดือดร้อนและอย่า...
“จัดการมันซะ
พวกองครักษ์กรูกันเข้ามาตามคำสั่งของหลิวอี้แล้วล้อมรอบนางไว้หนาแน่น
หนิงเจิงหน้าซีดนางเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่ทันคิด และเกิดเสียงดังปึกตรงหน้าอกของหลิวอี้
เผยความสามารถให้เขาเห็นไปเลย
สิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้แน่นอนว่าต้องปกป้องตัวเองมิฉะนั้นในอนาคตนางจะปกป้องเจ้าชายได้อย่างไร!
“เจ้ากล้าชกข้าหรือ
“ข้าชกไปทีนึงแล้วยังจะถามอีกว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า” นางทำหน้ากวนบาทา “ไม่มีตาแต่ก็น่าจะมีสมองบ้างนะ”
มุมปากจ้าวซู่กระตุกแล้วแอบมองชายหนุ่มข้างๆ อย่างอดมิได้ แต่เขากลับเห็นพระพักตร์ไท่จื่อมืดมนไปแล้ว
“ไอ้
หลิวอี้โกรธมากจนหันหน้าขวับเขาตะคอกใส่ทหารที่อยู่ข้างหลังอย่างเดือดดาล“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบจับมันมารุมกระทืบอีก!”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาก็วางมือและเท้าและพุ่งไปข้างหน้าทันที!
หนิงเจิงไหวตัวทันนางหลบซ้ายหลีกขวา ร่างกายปราดและลื่นเป็นปลาไหล!
“แน่จริงเจ้าก็อย่าหนีสิ
หนิงเจิงคิดในใจนางก็มิใช่ชายชาตรีอะไรอยู่แล้ว แต่นางก็หยุดการเคลื่อนไหว
“เอาซี่งั้นข้าไม่หลบแล้ว” นางกะพริบตาอย่างกวนประสาท “แต่พวกเจ้าต้องระวังตัวหน่อยนะต่อไป ชายชาตรีอย่างข้าจะสู้กับพวกเจ้าตัวต่อตัวแล้ว
“ข้าว่าเจ้าหาเรื่องเจ็บตัวเสียมากกว่า
หลิวอี้โกรธและแสยะยิ้มพวกเขามีกันตั้งหลายคน คิดว่าจะกลัวเจ้าลูกหมาตัวกะเปี๊ยกนี่หรือ
แต่หลังจากนั้น...
ความโอ้อวดนี้ก็ถูกหนิงเจิงตีแตกกระจาย
นางทะลวงผ่านคนพวกนั้นอย่างคล่องแคล่วการเคลื่อนไหวว่องไว ทั้งแม่นยำและห้าวหาญด้วยการฟาดไม้กวาดก็สามารถจัดการทีละคนได้บางครั้งโชคดีสามารถจัดการได้ทีเดียวถึงสองคน!
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอย่างต่อเนื่อง
หลิวอี้ยืนตกตะลึงอยู่กับที่เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า องครักษ์หลายคนจะสู้ผู้ที่มาใหม่แค่คนเดียวไม่ได้
ทักษะต่อสู้เจ้าหมอนี่เก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ
“หนิงเจิง
เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่
หนิงเจิงเบิกตาแล้วหมุนตัวถีบหน้าอกเขาอย่างรวดเร็วจนเขากระเด็นลอยออกไป!
“โอ้...โห
หลิวอี้ล้มกระแทกพื้นอย่างแรงแล้วถ่มน้ำลายออกมา
เขายังจะลุกขึ้นสู้อีกแต่ขณะนั้นเอง ก็มีใครไม่รู้อุทานด้วยความตกใจ “ไท่จื่อเสด็จ
ทุกคนต่างตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
หลิวอี้ตัวแข็งทื่อดวงตาหลุกหลิกด้วยความประหม่า
วินาทีถัดมาเขาจึงเปลี่ยนจากท่าทางอวดดีเย่อหยิ่ง และไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาจากนั้นก็หันหลังกลับไปแล้วคุกเข่า “ถวายบังคมไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ
“หลิวอี้เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
เซียวหนานสวินจ้องเขาเขม็งแล้วพูดเสียงเย็นเยียบ
หลิวอี้เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าจริงใจ“ทูลไท่จื่อ องครักษ์ที่มาใหม่อู้งาน กระหม่อมจึงอบรมสั่งสอนเขา ทว่าคิดไม่ถึงเขาไม่เพียงไม่เชื่อฟัง แต่ยังลงมือเอาคืนกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ
หลังพูดจบเขายังจงใจเงยหน้าผากขึ้นสูง เผยให้เห็นรอยแดงช้ำบริเวณที่ถูกต่อย
ทุกคนต่างกลัวว่าจะพลอยถูกครหาว่าหาเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่นหลังจากสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาจึงเลียนแบบหลิวอี้จึงตีหน้าผากตนเองให้เกิดรอยแดงขึ้นมา
หนิงเจิงมองการกระทำของพวกเขาแล้วก็รู้สึกแทบเสียสติ
นางคิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้านมาโดยตลอดแต่ว่า...คนขี้ขลาดตาขาวพวกนี้ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่หรือไม่
สู้นางไม่ได้ไม่พอยังหน้าด้านขี้ฟ้องอีกหรือ!
หน้า ไม่ อายจริงๆ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in