เล่ม 1 ตอนที่ 5 ไท่จื่อ ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
เซียวหนานสวิน
หนิงเจิงเหลือบมองเขาแต่ไม่ขยับ
เซียวหนานสวิน
“...พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคิดว่าสายตาของเปิ่นกงมีปัญหาอย่างนั้นหรือ”
“...นี่ไท่จื่อทรงหมายความว่าอย่างไร”
“แม้ว่าเจ้าจะมั่นหน้ามั่นใจในหน้าตาของตนเองมากแต่ว่าเปิ่นกงดูแล้ว เจ้าช่างขี้เหร่ยิ่งกว่าอะไร...เพราะฉะนั้น เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
“...???
ลงโทษนางทางร่างกายไม่พอทำไมยังต้องโจมตีนางด้วยวาจาอีกเล่า
ไท่จื่อยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
หนิงเจิงบดสันกรามในขณะที่หันหลังไปยังมิวายกลอกตาใส่ นางเดินตึงตังไปที่เสาไม้แหลมยาวพวกนั้นกระโดดเข้าใส่อย่างผู้กล้าหาญ
รอยยิ้มเยาะมุมปากเซียวหนานสวินลึกลงไปหลายส่วน
สีหน้าของจ้าวซู่ราวกับเห็นผีก็มิปาน
ชายหนุ่มยิ้มยากผู้นี้ยังเป็นไท่จื่อที่เขารู้จักอยู่หรือไม่!
เขาส่ายหน้าแรงๆสลัดความคิดพิลึกพิลั่นออกไป จากนั้นอุ้มแจกันที่เต็มไปด้วยน้ำมาหยุดตรงหน้าหนิงเจิง“องครักษ์หนิง ก้มลง”
หนิงเจิงโน้มกายลงมาตามบัญชา
จ้าวซู่วางแจกันไว้บนศีรษะของนาง“นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าต้องแบกแจกันเจ็ดมณียืนท่าม้า
ยืน...ยืนท่าม้าหรือ
หนิงเจิงตกตะลึงอีกครั้ง “ไม่ต้องยืนบนเสาไม้หรอกหรือ
จ้าวซู่ยิ้มบางๆ“เปล่าสักหน่อย”
หนิงเจิงยังมิทันเอ่ยปากพูดเซียวหนานสวินก็เอ่ยเสริมว่า “แจกันเจ็ดมณีเป็นของขวัญที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ถ้าเกิดตกแตกขึ้นมา ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น”
ของขวัญพระราชทานอย่างนี้ยังเอามาเล่นโยนทิ้งโยนขว้างอีกหากตกแตกขึ้นมา มันเป็นความผิดของผู้ใดกันเล่า!
หนิงเจิงโอดครวญในใจ
เมื่อเซียวหนานสวินเห็นนางโมโหแต่มิอาจบันดาลโทสะออกได้ในที่สุดอารมณ์คุกรุ่นที่ถูกยั่วยุเมื่อวานพอทุเลาลงบ้าง เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง“ลองแบกไว้แบบนี้สักสองชั่วยามก่อน หากน้ำไม่เต็มเหมือนเดิมก็จงเตรียมตัวหัวหลุดจากบ่าซะ”
หนิงเจิง “...”
หลังจากนางมองชายหนุ่มผู้นี้พูดจบก็เห็นแผ่นหลังเขาเดินจากไป นางอยากปาแจกันใส่หลังเขาจนแทบทนไม่ไหว
ทำอะไรไม่ได้ก็ตายไปพร้อมกันนี่แหละ
ไม่...ไม่ได้ๆนางต้องฮึบไว้!
หนิงเจิงปิดเปลือกตาสูดหายใจเข้าหนักหน่วง...นี่คือคนที่ท่านพ่อบุญธรรมฝากฝังให้ดูแลเชียวนะ
...
ณ พระราชวัง
เฮ่อเหวินจงกลับวังหลังจากไปจวนไท่จื่อมาก็รีบมุ่งหน้าไปห้องทรงพระอักษร เพื่อสนทนากับจักรพรรดิจิ่งตี้
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้ที่สวมอาภรณ์ลายมังกรสีเหลืองของผู้เป็นราชาเงยพระพักตร์ขึ้นมองท่าทางสง่าผ่าเผย สีหน้าเข้มงวดนิ่งขรึมและเด็ดเดี่ยวทว่ายังคงเห็นแววความหล่อเหลาเฉกเช่นครั้งเมื่อยังหนุ่มยังแน่น
เฮ่อเหวินจงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแสดงความเคารพ และเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท ทางด้านเซวียนเช่อเฟยเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจิ่งตี้ขมวดคิ้ว“ใครถามเจ้าเรื่องนี้กัน”
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงอยากถาม...”
“เฮ่อเหวินจง”จิ่งตี้เอ่ยเสียงขรึม “เจ้ากำลังแกล้งโง่กับเจิ้นหรือเจ้ากำลังคิดปิดบังเรื่องใดให้ไท่จื่ออยู่กันแน่”
“กระหม่อมมิบังอาจ
จิ่งตี้แสยะยิ้มเย็นชา“แค่สตรีนางหนึ่ง ในคืนวิวาห์ นอกจากสิ่งของพระราชทานก็ไม่มีอะไรอีกแล้วเจ้าบอกกับเจิ้นว่าดีแล้วหรือ”
เฮ่อเหวินจงยิ้มเจื่อนๆ“ถ้าอย่างนั้น...ไท่จื่อไม่มีทางอื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจิ่งตี้ยิ่งเย็นชา“ไม่มีทางอะไรกัน แม้แต่หมอหลวงก็บอกแล้วว่าเขามิได้มีปัญหาอะไร
รัศมีของผู้เป็นจักรพรรดิทรงพลังน่าเกรงขามหน้านิ่งขรึมเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงกริ้วแล้ว
“ประเดี๋ยวค่อยให้หมอหลวงจางเข้าไปตรวจที่จวนไท่จื่อ
ข่าวลือที่แพร่สะพัดว่านกเขาไท่จื่อไม่ขันเขาไม่มีทางเชื่อหรอก
เขาไม่เชื่อว่าเสาค้ำสวรรค์ของเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะอ่อนปวกเปียกจริงๆ
เมื่อเฮ่อเหวินจงเห็นฝ่าบาททรงกริ้วแล้วจริงๆเขาก็มิกล้าเถียงแทนไท่จื่อ จึงได้แค่พยักหน้าตอบ “พ่ะย่ะค่ะ”
...
ในช่วงปลายสารทฤดู แสงแดดยังคงเจิดจ้าร้อนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนบ่ายที่อากาศเหนือศีรษะร้อนอบอ้าว
หนิงเจิงยืนอยู่บนเสาแจกันอัญมณีเหนือหัวทำให้การทรงตัวยิ่งยากลำบาก ถ้านางไม่ได้ฝึกยุทธ์มาหลายปีเวลานี้ขาสองข้างคงไม่สั่นง่ายๆ ขนาดนี้
ถึงกระนั้น นางก็ยังรู้สึกว่านางกำลังจะตายอยู่ดี!
“จ้าว...กง...กง...”
จ้าวกงกงเลิกคิ้ว“ว่าอย่างไร”
หนิงเจิงมองเขาอย่างเหนื่อยล้า “ตอนนี้กี่โมงแล้วข้าต้องยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม”
จ้าวซู่อึดอัดใจมาสองวันกว่าจะได้ระบายออกมามิง่ายเลย จะปล่อยเขาไปง่ายดายได้อย่างไรฉะนั้นจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “นี่เพิ่งผ่านไปเพียงเสี้ยวของครึ่งชั่วยามเองเจ้าทนหน่อยละกัน”
หนิงเจิงตกตะลึง“ไม่ใช่กระมัง”
“ทำไมเจ้าหาว่าข้าโกหกเจ้าหรือ”
“...”
แน่นอน เขากำลังโกหกนางอยู่โดยมิต้องสงสัย
นางถลึงตาทั้งตกใจระคนโมโห “ต่อให้ไม่ถึงสองชั่วยามอย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว จ้าวกงกง ทำไมท่านถึงทำกับข้าเยี่ยงนี้”
จ้าวซู่หรี่ตา“ข้าทำอะไรให้เจ้าล่ะ”
หนิงเจิงมองท่าทางสะใจของเขานางก็โกรธจนตาแดงก่ำ “เจ้าแอบแก้แค้นส่วนตัวนี่นา!
ฮี่ๆ
จ้าวซู่อดหัวเราะมิได้เขาจะมีความแค้นอะไรกับองครักษ์ตัวเล็กๆ กันเล่าอย่างมากก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ
ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไรทันใดนั้นยามหน้าประตูก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา “จ้าวกงกง มีคนในวังมาขอรับ
จ้าวซู่เปลี่ยนสีหน้ารอยยิ้มตอนสนทนากับหนิงเจิงเมื่อครู่นี้พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ข้ารู้แล้ว”
ทันทีที่พูดจบก็เตรียมจากไปแต่จู่ๆ ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปจ้องหนิงเจิง “ยืนดีๆ ล่ะห้ามอู้เด็ดขาด!”
หนิงเจิง “...”
ไม่แอบอู้แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า
...
ณ เรือนใหญ่ หลังจวน
บนโต๊ะทรงอักษรมีหนังสือและฎีกาที่รอจัดการวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยกำยานในเตาจุดลุกโชติช่วงส่งกลิ่นหอมขจรกำจายไปทั่วสารทิศซึ่งช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลายไม่น้อย
เซียวหนานสวินดึงฎีกาเล่มหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและกำลังจะกางเปิด ทว่าทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย“เข้ามา”
จ้าวซู่ผลักประตูเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ไท่จื่อ หมอหลวงจางมาแล้ว รออยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหนานสวินขมวดคิ้วมุ่น“ให้เขาไสหัวกลับไป”
จ้าวซู่หยุดชะงักเงยหน้ามองเขาด้วยความลำบากใจ “แต่หมอหลวงจางบอกว่า ฝ่าบาทรับสั่งให้มาตรวจพระองค์พระองค์ให้เขาเข้ามา...”
“จ้าวซู่”
เซียวหนานสวินเหลือบมองเขาด้วยแววตาเย็นชากล่าวด้วยสีหน้าหมดความอดทน “ไล่เขาไปให้พ้นต้องให้เปิ่นกงพูดเป็นครั้งที่สามหรือไม่”
“กระหม่อมมิบังอาจ
เพียงแต่ว่าเขาก็ยังอยากให้หมอหลวงจางลองตรวจไท่จื่ออีกสักครั้ง...ข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วต่างพูดกันว่ากรำศึกปราบศัตรูแล้วมีประโยชน์อันใด แม้แต่สตรียังมิแตะต้องคงมิต้องพูดถึงเรื่องทายาทสืบบัลลังก์
เพลานี้เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานอวิ๋นกุ้ยเฟย
เฮ้อ
จ้าวซู่ทอดถอนใจ“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เขาหันหลังไปแต่เสียงแหบต่ำของชายหนุ่มก็ดังขึ้นข้างหลังเขา“จ้าวซู่”
ดวงตาของเขาเป็นประกายแอบคิดว่าไท่จื่อทรงคิดได้และเปลี่ยนใจแล้ว “พ่ะย่ะค่ะ
“หนิงเจิงล่ะ”
มุมปากของจ้าวซู่กระตุกยิกๆดวงตาหม่นแสงลง แล้วพูดด้วยความผิดหวัง “ทูลไท่จื่อ เขายังถูกลงโทษในสวนบุปผาพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหนานสวินลุกขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์“ไปดูสิ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in