เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
องครักษ์หญิงจอมป่วนminimore
เล่ม 1 ตอนที่ 4 ทำไม เปิ่นกงทำให้เจ้าอับอายหรือ
  • เล่ม ตอนที่ 4 ทำไม เปิ่นกงทำให้เจ้าอับอายหรือ

     

    หนิงเจิงเนื้อตัวสั่นเทาอย่างอดมิได้

    ขณะกำลังคิดหาคำตอบให้เขาทันใดนั้นก็เหลือบเห็นนางกำนัลเก็บกวาดเดินผ่านมาทางนี้พอดี

    วินาทีต่อมาพวกนางก็พากันหยุดฝีเท้า พร้อมกับถอนสายบัวหันมาทางนี้ “ถวายบังคมไท่จื่อเพคะ!

    รูม่านตาของหนิงเจิงหดตัวพลันเงยหน้าขึ้นขวับ

    ไท่...ไท่จื่อ?

    แล้วใครคือไท่จื่อกันเล่า!

    เมื่อจ้าวซู่เห็นนางหน้าถอดสีก็ถอนหายใจพรืดด้วยความโล่งอกจู่ ๆ ก็รู้สึกสะใจขึ้นมา... เรื่องอัดอั้นที่เขาพูดไม่ได้มาสองวันในที่สุดก็มีคนพูดออกมาแทนสักที!

    “เจ้าสุนัขรับใช้!” เขารีบก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยเสียงเฉียบคม “เจอไท่จื่อแล้วยังไม่รีบถวายบังคมอีก!

    ฮะ?!

    หนิงเจิงแข้งขาอ่อนแรงก่อนจะคุกเข่าลงไปเสียงดังตุ้บ

    นางช้อนสายตาพิศมองดวงหน้าหล่อเหลาของเซียวหนานสวินอ้าปากพะงาบๆ ด้วยความตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก “จะ...เจ้า เจ้า...”

    นางลอบกลืนน้ำลายดังเอื้อกดูเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ จากนั้นจึงพลิกลิ้นทันควัน“พระองค์คือ...ไท่จื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    เซียวหนานสวินยิ้มเยาะมุมปากเขายิ้มร้ายๆ มองนางอยู่อย่างนั้น

    ตอนแรกหนิงเจิงคิดว่าเขาจะโต้แย้งทว่า...เขากลับไม่ ไม่โต้แย้งเลยเจ้าค่ะ!

    ดังนั้นผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือเซียวหนานสวินไท่จื่อองค์ปัจจุบันจริงๆและคือผู้มีพระคุณที่พ่อบุญธรรมต้องการให้นางดูแลยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมด้วยใช่หรือไม่!

    โอ้สวรรค์!

    จู่ๆ หนิงเจิงก็รู้สึกถึงหายนะมาเยือน

    เมื่อวานเป็นวันที่แต่งพระชายารององค์ใหม่เข้ามาในวังไม่ใช่หรือ

    ในฐานะที่ไท่จื่อเป็นเจ้าของงานเหตุใดจึงไม่ไปรับพระชายารองของเขาที่หน้าตำหนักและเข้าห้องหอกับพระชายาล่ะ แล้วมาทำอะไรแถวสวนหลังตำหนักให้นางต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยกันเล่า

    ไม่ เต็ม เต็ง ชัดๆ!

    เซียวหนานสวินมองสีหน้าเปลี่ยนไปมาราวกับกิ้งก่าของนางเขามักรู้สึกว่านั่นมิใช่สีหน้าเกรงกลัว แต่เป็น...เดือดดาลและลำบากใจ?

    ทว่าเขามีอะไรให้น่าโมโหกัน

    “ทำไม เปิ่นกง[1] ทำให้เจ้าอับอายหรือ”

    “ปะ...เปล่าๆ พ่ะย่ะค่ะ”หนิงเจิงสะดุ้งสุดตัวและส่ายหน้าระรัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “กระหม่อมขอถวายบังคมไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ!

    เซียวหนานสวินแสยะยิ้มเย็นชาเขาจ้องหน้านางสักพัก ทันใดนั้นก็เดินไปหยุดตรงหน้านาง แล้วค่อยๆ โน้มกายลงมา

    “นกเขาของไท่จื่อไม่ขันไม่นิยมสตรี” ริมฝีปากบางของเขาเปิดแย้มเล็กน้อยและใช้ระดับเสียงที่ได้ยินเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น “แล้วยังมีงานอดิเรกพิเศษคือชมชอบบุรุษ หืม?”

    “...”

    หนิงเจิงอยากร้องไห้ทั้งไร้น้ำตา

    ใครเป็นคนพูดจาพล่อยๆเยี่ยงนี้ นางจะตบปากให้!

    ดวงตาเรียวดุจหงส์ของเซียวหนานสวินหรี่ลงพูดด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าตาดีกว่าใครมิใช่หรือมั่นใจว่าสามารถเข้าวังได้แน่นอน ฉะนั้นเอาแต่ก้มหน้าอยู่ทำไมล่ะ”

    นางก็มิได้แค่อยากก้มหน้าหรอกนางอยากดำดินหนีไปเลยด้วยซ้ำ!

    ทว่าทันทีที่ความคิดนี่ผุดขึ้นมาในหัวนางกลับถูกคว้าหมับเข้าที่คาง แล้วบีบให้นางเงยหน้าขึ้นสบตา!

    ทันใดนั้น หนิงเจิงตกใจระคนหวาดกลัวมองชายหนุ่มตรงหน้าแววตาสั่นระริก “ทะ...ไท่จื่อ!

    “หืม?”

    หืมอะไรเล่า!

    บุรุษและสตรีห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันมิรู้หรือไร!

    หนิงเจิงจะร้องไห้อยู่รอมร่อ“พระองค์...อย่าทำให้พระหัตถ์ต้องแปดเปื้อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”

    เซียวหนานสวินขำพรืดและแสยะยิ้มเย็นยะเยือกที่มุมปาก “ไม่หรอก เจ้าเป็นคนของเปิ่นกงมิใช่หรือสัมผัสคนของตัวเองจะทำให้มือแปดเปื้อนได้อย่างไร”

    ฮือๆๆนางสำนึกผิดแล้วจริงๆ!

    นับแต่นี้ไปนางไม่กล้านินทาผู้อื่นลับหลังอีกแล้ว!

    “กระหม่อมสมควรตาย! เมื่อวานกระหม่อมโง่เขลามิรู้ความ หวังว่าไท่จื่อทรงเมตตา!

    “อ๋อ”ในที่สุดเซียวหนานสวินก็ยอมปล่อยนาง เขาค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้นและชำเลืองมองนางจากเบื้องบน“เจ้าจำเรื่องราวเมื่อวานมิได้แล้วมิใช่หรือ จำเปิ่นกงมิได้หรือ”

    “เป็นเพราะกระหม่อมมีตาหามีแววไม่!” หนิงเจิงน้ำตาแทบไหล “ไท่จื่อโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย!

    “ไม่ให้อภัย”

    “...”

    หนิงเจิงเริ่มอยากตายขึ้นมาแล้ว

    นางเม้มริมฝีปากเงยหน้าขึ้นช้อนสายตามองเขาอย่างน่าสงสาร“ไท่จื่อก็ทราบดีว่ากระหม่อมเพิ่งเห็นพระพักตร์เป็นครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณามิฉะนั้นจะทรงใจกว้างปล่อยให้คนปากหอยปากปูอย่างกระหม่อมไปได้อย่างไร”

    เซียวหนานสวิน “...”

    โตมาขนาดนี้ มิเคยได้รับการสรรเสริญเยินยออะไรทั้งนั้นมีครั้งนี้ที่ได้ยินคนพูดว่าเขามีเมตตากรุณา

    ช่างรู้สึกละเอียดอ่อนจริงๆ

    หนิงเจิงเห็นเขาเอาแต่ขมวดคิ้วมิเอื้อนเอ่ยนางจึงกัดฟันพูดต่อ “อีกอย่าง ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย มีพระองค์ใดมิอยากโอ้อวดสถานะบ้างมีเพียงพระองค์ที่แตกต่าง ใครจะคิดว่าพระองค์มีเจตนาปิดบังสถานะนี่พ่ะย่ะค่ะ!

    ช่างชั่วช้าและสารเลวจนน่าตายจริงๆ!

    นางก่นด่าในใจทว่ากลับมีสีหน้าจริงจัง จากนั้นยกยอปอปั้นเขาด้วยความจริงใจ“พระองค์เป็นคนถ่อมตนที่สุดเท่าที่กระหม่อมเคยพบเห็น ช่างเป็นผู้ลึกซึ้งอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!

    ทุกคน “...”

    ใครๆต่างก็เลียแข้งเลียขาเจ้านายเพื่อปากท้องกันทั้งนั้นทว่าเหตุใดทักษะเลียแข้งเลียขาของนางถึงทำให้พวกเขารู้สึกฝีมือห่างกันลิบลับเลยล่ะ

    เซียวหนานสวินหรี่ตามององครักษ์ที่กำลังพยายามแสดงความจริงใจแล้วหลุดขำออกมา “ในเมื่อเจ้าพูดมาขนาดนี้แล้วหากเปิ่นกงลงโทษสถานหนักเกินไปคงไม่ดี”

    หนิงเจิงหน้าระรื่นทันที

    ชายหนุ่มนวดคลึงปลายนิ้วที่ดูเหมือนว่ายังมีไออุ่นที่หลงเหลือจากการสัมผัสเมื่อครู่นี้เขาแสยะยิ้มมุมปากลึกขึ้นกว่าเดิม “อาจเลี่ยงโทษประหารได้ทว่าโทษสถานอื่นคงหนีไม่พ้น”

    “หา?”หนิงเจิงยังดีใจได้ไม่ทันเท่าไร เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ นางก็ยิ้มค้างทันที

    “ทำไมเจ้าอยากรับโทษประหารหรือ”

    “ไม่! ไม่พ่ะย่ะค่ะ!” นางเบิกตาโตพร้อมกับส่ายหน้าพัลวันใครเขาอยากตายกันเล่า!

    “เปิ่นกงก็คิดเช่นนั้นว่าเจ้าชอบอย่างหลังมากกว่า”

    “...”นางไม่ชอบสักอันต่างหาก ขอบพระทัย!

    “จ้าวซู่”เซียวหนานสวินตรัสสั่ง “นำแจกันเจ็ดมณีที่เสด็จพ่อพระราชทานให้เมื่อวานมาให้เขาถือซิ”

    จ้าวซู่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าต่อไปแล้วเขาจึงพยักหน้าอย่างมึนงง “พ่ะย่ะค่ะ!

    ...

     

    ตอนแรกหนิงเจิงยังแอบคิดว่าให้นางอุ้มแจกันพระราชทานนี่เรียกว่าบทลงโทษแล้วหรือ

    นางยังคิดว่าอย่างน้อยน่าจะโดนโบยยี่สิบทีด้วยซ้ำ

    ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวไว้ไม่มีผิดไท่จื่อทรงเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีจริงเชียว!

    ทว่าไม่นานนางถึงได้รู้ว่าตัวเองไร้เดียงสามากเพียงใด...

    เมื่อจ้าวซู่กลับมาพร้อมกอดแจกันเจ็ดมณีหนิงเจิงมองไกลแวบๆ ก็รู้สึกทะแม่ง ดูเหมือนเขาใช้แรงเยอะมาก

    ทว่า...ถึงอย่างไรจ้าวกงกง[2] ก็เป็นชายร่างใหญ่แล้วอุ้มแจกันสักใบต้องลำบากลำบนขนาดนี้เชียวหรือ

    นางฉงนสงสัยยิ่งนักกระทั่งจ้าวซู่เดินมาถึงตรงหน้า และเผยให้เห็น...ปากแจกันที่ใส่น้ำจนล้นปริ่ม

    หนิงเจิง “...???”

    จ้าวซู่ยังส่งยิ้มให้นางอีกด้วย“เจ้าคือหนิงเจิงใช่ไหมล่ะ ข้าไปสืบชื่อเสียงเรียงนามเจ้ามาเรียบร้อยแล้ว”

    หนิงเจิง “...”

    เอาล่ะกงกงท่านหุบยิ้มได้แล้ว

    จ้าวซู่กลับมิได้ยินเสียงจากใจของนางเขาหัวเราะอย่างเอร็ดอร่อย “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปที่ชอบๆ”

    หนิงเจิงหนาวสั่นสะท้านและมองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร “ไม่ไปไม่ได้หรือ”

    จ้าวซู่ยิ้มเจ้าเล่ห์“ไม่ได้ร้อก”

    “กงกง...”

    “องครักษ์หนิงเอ๋ย”จ้าวซู่ชี้แนะจากใจจริง “เจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ไร้ประโยชน์เปล่าๆเจ้าไปถามไท่จื่อเองเถิด ดูซิว่าพระองค์จะยอมปล่อยเจ้าไปหรือไม่”

    เมื่อหนิงเจิงได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง

    เมื่อนางสบตาเย็นเยียบ นางก็สั่นสะท้านและกลืนคำพูดลงไปทันที

    ช่างเถิดๆ ก็แค่แจกันที่มีน้ำเต็มล้นเองมิใช่หรือ

    เมื่อเทียบกับภูเขาน้ำแข็งเช่นไท่จื่อมีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง!

    หนิงเจิงเดินตามหลังจ้าวซู่ใจตุ๊มๆต่อมๆ เดินไปสักพัก ในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกของสวนบุปผา...

    เท่าที่สายตามองเห็นคือเสาไม้สูงราวสองศอกตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นและแหลมจนน่าหวาดเสียว ทั้งดูน่าเกรงขามเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก

    ทันใดนั้นหนิงเจิงก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง



    [1] เปิ่นกง สรรพนามแทนตัวของไท่จื่อหรือพระมเหสีและพระสนมชั้นสูงในวัง

    [2] กงกง คำเรียกขันทีในวัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in