เล่ม 1 ตอนที่ 3 นางยังไม่รีบหนีไปอีก รอโชคร้ายมาเยือนหรือไร
หนิงเจิงมิอาจระงับความดันโลหิตที่พุ่งสูงได้จากนั้นนางก็ชูนิ้วกลางใส่เขา ก่อนจะสบถแรงๆ “เจ้าคอยดู ไท่จื่อไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่
เมื่อพูดจบนางก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“เหอะ เจ้าสุนัขรับใช้ผู้บังอาจนี้นี่
จู่ๆจ้าวซู่ก็นึกครึ้มใจ ก่อนจะรีบหันไปคำนับแล้วกล่าวว่า “ไท่จื่อข้าน้อยจะให้คนไปตามเขากลับมา ไม่อบรมเขาคงมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ
เซียวหนานสวินยกยิ้มมุมปาก“ไม่ต้องหรอก”
เป็นองครักษ์มาใหม่มิใช่หรือ
ประเดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกอยู่ดี
จ้าวซู่มองรอยแสยะยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มแล้วเหม่อไปสองวินาทีทันใดนั้น เขาก็รู้สึกตกใจและแปลกใจไปพร้อมกัน
หรือว่า...ไท่จื่อจะมีงานอดิเรกอะไรที่พิเศษจริงๆ
มิฉะนั้น ไท่จื่อผู้เย็นชาไร้ความปรานีจะปล่อยคนกำเริบเสิบสานไปง่ายๆได้อย่างไร
ที่สำคัญคือพระองค์ทรงยิ้มด้วย?!
...
หนิงเจิงกลับมาถึงห้ององครักษ์ตอนแรกคิดว่าจะนอนหลับพักผ่อนให้สบายสักคืน ทว่าในฐานะที่เป็นองครักษ์ยศต่ำสุดตอนนี้นางต้องนอนร่วมห้องกับองครักษ์คนอื่นอีกหลายคน
นางกลัวคนใกล้ตัวจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีนางจึงนอนอกสั่นขวัญแขวนทุกค่ำคืน กว่าจะหลับสนิทก็ปาไปค่อนคืน
ดูเหมือนนางจะฝันถึงบิดาบุญธรรมท่ามกลางความเลือนราง
นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาหลายปีมานี้ นางเติบโตเพราะมีบิดาบุญธรรมอุ้มชู ทั้งยังตามหาท่านอาจารย์แทนนางสอนนางอ่านเขียนหนังสือ และสอนวิทยายุทธ์ต่อสู้ให้แก่นาง...
นี่เป็นญาติสนิทของนางเพียงผู้เดียวตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา
เพราะหนิงเจิงนอนไม่หลับและพลิกตัวไปมาดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นนางยังคงความง่วงซึมมึนงงเล็กน้อย
นางสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็สำรวจยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าชุดบุรุษที่สวมใส่นั้นไม่มีปัญหาจากนั้นจึงมาที่หลังเขาจย่าซานซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายอย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นชุดขันทีตัวโตที่คุ้นเคยปรากฏตรงหน้า ดวงตาของหนิงเจิงก็เป็นประกายก่อนที่รอยยิ้มจะผุดขึ้นที่มุมปากของนาง
“ท่านพ่อบุญธรรม
เงาร่างของคนเบื้องหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆหันกลับมา
เฮ่อเหวินจงอายุเกินครึ่งร้อยปีมาแล้วใบหน้าสุขุมเผยแสดงให้เห็นถึงความผ่านร้อนผ่านหนาว ทว่าริ้วรอยที่หางตากลับเพิ่มความอ่อนโยนนุ่มนวลให้กับสีหน้าของเขาเป็นอย่างดี
เมื่อเห็นหนิงเจิงดวงตาของเขาจึงฉายแววเอ็นดูขึ้นมา “เจิงเอ๋อร์ เมื่อวานเพิ่งเข้ามาในจวนไท่จื่อเจ้าพอจะคุ้นเคยบ้างหรือยัง”
รอยยิ้มของหนิงเจิงนิ่งค้างเล็กน้อย
ให้คุ้นเคยเรื่องอะไรเจ้าคะคุ้นเคยที่โดนฝังทั้งเป็นน่ะหรือ
นางเกาหัวแกรกๆแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “คงคุ้นเคยแล้วกระมังคนที่นี่ดูแลข้าเป็นอย่างดีเลยล่ะเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหวินจงมองออกว่านางดูฝืนใจเขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “ลำบากเจ้าแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะพ่อบุญธรรมอย่างข้าก็คงไม่ให้บุตรีเช่นเจ้าต้องออกไปทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้หรอก”
หนิงเจิงส่ายหน้าพัลวัน“ท่านพ่อพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าอยู่ดีกินดีอย่างนี้ ลำบากที่ไหนกันเจ้าคะอีกอย่าง ท่านพ่อเลี้ยงข้าเติบใหญ่มาอย่างยากลำบากผู้มีพระคุณของท่านพ่อก็คือผู้มีพระคุณของข้า!”
เห็นทีการกล่าวว่าเป็นผู้มีพระคุณเกรงว่าอาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียวทั้งหมด
เพราะผู้มีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตบิดาบุญธรรมคือฮองเฮาพระองค์ก่อนเพียงแต่ตอนนี้พระนางสิ้นพระชนม์แล้ว บิดาบุญธรรมจึงให้ความสำคัญกับไท่จื่อเซียวหนานสวินซึ่งคือพระโอรสองค์เดียวของพระนางมากเป็นพิเศษ
เมื่อไม่กี่วันก่อนไท่จื่อถูกลอบปลงพระชนม์ จนเกิดเหตุองครักษ์เสียชีวิตในหน้าที่ท่านพ่อกังวลใจเรื่องนี้อยู่หลายวันทว่าในฐานะขันทีหลวงผู้ติดตามรับใช้ข้างกายองค์จักรพรรดิ จึงมิอาจให้ความสนิทชิดเชื้อกับองค์ชายพระองค์ใดได้มิฉะนั้นก็เกรงว่าจะได้รับโทษมหันต์!
ด้วยเหตุฉะนี้ทางเลือกสุดท้ายคือให้นางฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางต้องปลอมตัวเป็นบุรุษและเป็นองครักษ์ในจวนไท่จื่อ หวังว่าต่อไปจะสามารถปกป้องไท่จื่อได้อย่างเต็มที่
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางจึงเอ่ยเสริมอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อวางใจเถิด ข้าจะมิยอมให้ไท่จื่อได้รับภัยอันตรายใดๆอีกเป็นอันขาด!”
เฮ่อเหวินจงมีสีหน้าซาบซึ้งแล้วตบบ่านางปุๆ “เด็กดี พ่อรู้ว่าเจ้าทำได้ ทว่า...แม้วรยุทธ์เจ้าจะสูงส่งแต่เจ้าก็ยังอ่อนต่อโลกนัก ต่อไปอยู่ในจวนไท่จื่อ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีแต่อย่าได้เผยความสามารถออกไปจนหมดเปลือก มิฉะนั้นตนเองจะเดือดร้อนได้ เข้าใจไหม”
“เจ้าค่ะ
หนิงเจิงพยักหน้าในขณะที่ตกปากรับคำ นางยังจินตนาการภาพแห่งความเมตตาและความจงรักภักดีเองอีกด้วย
แต่ภาพนี้กลับถูกความจริงบดขยี้อย่างรวดเร็ว...
หลังจากหนิงเจิงไปพบบิดาบุญธรรมแล้วกลับมาถึงเรือนพักนางก็บังเอิญพบกับคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างทะนงองอาจ
ถึงแม้ว่านางจะมิได้มาจากสำนักองครักษ์แต่ระหว่างเข้ามาในจวนไท่จื่อ นางก็ต้องผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานมาบ้างดังนั้นนางจึงต้องหยุดฝีเท้า เพื่อเตรียมตัวแสดงความเคารพ
แต่ถึงกระนั้น เมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้ที่อยู่หน้าสุดของกลุ่มคนพวกนั้นนางก็ตกตะลึงทันที
วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวนวลจันทร์ลวดลายเมฆาสีทองเป็นประกายสว่างยามต้องแสงตะวันบรรยากาศมืดมนและเฉียบคมของเงาร่างที่สูงโปร่งเลือนหายไปแล้วเมื่อมองจากที่ไกลจึงเห็นเพียงความสุขุมเยือกเย็นและความหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเท่านั้น
ทว่าตอนนี้นางไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความหล่อของใครเพียงแต่เต็มไปด้วยความตกใจและประหม่า...ชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ต้องการฝังนางทั้งเป็นเมื่อวานมิใช่หรือ!
เหตุใดเขาถึงยังอยู่ที่นี่แขกที่มาร่วมงานมงคลเมื่อค่ำวานยังไม่กลับไปอีกหรือ
หนิงเจิงชะงักค้างอยู่กับที่พร้อมกะพริบตาอย่างนึกสับสน
ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็พบว่านางยืนอยู่ตรงนี้พอดี ดวงตาเรียวคมดุจหงส์จึงหรี่ลงทันที
หนิงเจิงสะดุ้งแล้วกำลังตั้งท่าเตรียมวิ่ง
แต่ทว่ากลับสายไปเสียแล้ว
“ไหนเมื่อวานยังบอกให้ข้าคอยดูอยู่มิใช่หรือไฉนวันนี้เจอหน้าข้าแล้วกลับเผ่นหนีไปซะล่ะ”
เสียงแหบพร่าอันตรายดังมาจากข้างหลังไกลๆ
หนิงเจิง “...”
เพราะเมื่อวานนางโมโหเลือดขึ้นหน้าจึงพ่นวาจาเชือดเฉือนออกไป!
มาจนถึงป่านนี้คนผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าหากมิใช้คนมีฐานะร่ำรวยก็เป็นผู้ลากมากดีหากนางไม่วิ่งหนีจะให้นางยืนซื่อบื้อรอความซวยมาเยือนถึงที่หรือไรเล่า
นางมิใช่คนโง่เง่าสักหน่อย
ทว่าหนิงเจิงก็ไม่กล้าวิ่งหนีไปทันทีนางจึงทำได้เพียงยืนค้างอยู่กับที่ เมื่อปรายหางตามองรองเท้าสีดำคู่หนึ่งที่ขยับใกล้นางเข้ามาเรื่อยๆนางก็ตัวสั่นงันงก
“เงยหน้าขึ้น”
เสียงเย็นชาของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง
หนิงเจิงขยำชายผ้าตนเองและยิ่งก้มศีรษะต่ำลงไปอีก
จ้าวซู่เกือบหลุดขำให้นางรอมร่อ
จากนั้นเขาก็ตวาดลั่น“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง!”
หนิงเจิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาด้วยความฉงน “พวกเจ้า...เป็นใครกันหรือ”
จ้าวซู่“...???...”
ใบหน้าของเซียวหนานสวินนิ่งขรึมอย่างรวดเร็วทันตาเห็นแม้กระทั่งอาภรณ์อันสดใสก็ยังปกปิดบรรยากาศมืดหม่นรอบกายเขาไม่ได้ “เจ้าว่าอะไรนะ”
หนิงเจิงกะพริบตาปริบๆก่อนจะเอ่ยด้วยความคับข้องใจ “ถามหน่อย เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดกับข้าหรือพวกเรารู้จักกันด้วยหรือ”
เซียวหนานสวิน“...”
คนอื่นๆ “...”
ทันใดนั้น บรรยากาศก็พลันเงียบลงอย่างน่าขนลุก
จ้าวซู่มองนางอย่างเหลือเชื่อหากไม่เพราะองครักษ์หลายคนรอบกายเขากำลังตกใจไปด้วยเขาคิดว่าตนเองคงจำหน้าคนผิดไปแล้ว!
“เจ้า...เจ้าสุนัขรับใช้นี่
ดูเหมือนหนิงเจิงสะดุ้งเพราะเสียงเขาก่อนจะมองเขาอย่างผู้ไร้เดียงสา “กงกง ข้าน้อยเพิ่งมาเมื่อวานวันแรกอาจจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เท่าที่ควร หากกระทำสิ่งใดผิดพลาดไปท่านชี้แนะมาตามตรงได้เลย ข้าน้อยน้อมรับไปปรับปรุงแก้ไขท่านอย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยขอรับ!”
ด้วยวิธีการแสดงความขี้ขลาดและเกรงกลัวเช่นนี้ช่างตรงกันข้ามกับเมื่อวานที่ทั้งบังอาจและอวดดีโดยสิ้นเชิง
จ้าวซู่เบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ไอ้สารเลวนี่ช่าง...ช่างกล้า...??!
“จำไม่ได้แล้วหรือหืม” เซียวหนานสวินหรี่ตามองนาง ตวัดปลายเสียงขึ้นจมูกอย่างอันตราย
“จำอะไรหรือขอรับ”หนิงเจิงตัดสินใจไม่รับบัญชีแค้นนี้อยู่แล้ว นางจึงจ้องเขาด้วยความมึนงงสงสัย
เรียวคิ้วของเซียวหนานสวินกระตุกสองครั้งอย่างแรง
เมื่อหนิงเจิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยขึ้น “เอ่อ...ท่านดูสิว่าอาจเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ข้าน้อยแทบไม่มีข้อดีอะไรเกิดมาหน้าตาก็โหล เวลาอยู่กับคนหมู่มากมักแยกไม่ออกบางทีท่านอาจเห็นผู้อื่นที่ใบหน้าคล้ายคลึงกับข้าพอดี ท่านอาจจำผิดก็เป็นได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
แล้วคนที่บอกว่าตัวเองเกิดมาหน้าตาดีเมื่อวานคือผู้ใดกันเล่า
เซียวหนานสวินเม้มริมฝีปากบางจนเป็นเส้นตรง“หน้าโหล นี่เรียกว่าเป็นข้อดีด้วยหรือ”
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า จตุรทิศไร้สายลม แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกลับถูกแช่แข็งโดยอากาศที่เย็นอย่างกะทันหัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in