เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journalseenam13
น่านโนแพลน
  • ช่วงนี้เหมือนคนที่อยากจะทำอะไรใหม่ ๆ หาแรงบันดาลใจตลอดเวลา ทั้งลองชงมัทฉะดื่มทุกวัน นอกจากการที่มันทำให้ตื่นตัว ก็คงเพราะอยากหากิจกรรมที่ทำให้ต้องทำอะไรก่อนทำงาน กลับมาอ่านหนังสือ และอีกหนึ่งเรื่องที่ปัดตกไปแล้ว ก็เก็บเอามาปัดฝุ่นใหม่ อย่างการไปงานแต่งงานที่น่าน

    เมื่อปลายเดือนตุลา มีข้อความมาจากเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนฝึกงานที่มาจากมช ถ้าให้เท้าความตอนฝึกงานที่ระยองคงต้องเล่าอีกนาน เพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ได้รู้จักเพื่อนต่างมหาลัย และไปไหนมาไหนด้วยกัน 2 เดือนจนสนิท แต่ความสัมพันธ์ของเรากับเจ้าสาวไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทสนมนัก แต่กับเพื่อนที่ฝึกงานจากมชอีกคนที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวชื่อนิ่ม เราสนิทสนมกันมากกว่า เราไปมาหาสู่หลังจากจบฝึกงาน ฉันขึ้นไปหาที่เชียงใหม่ตอนปี 4 นิ่มมางานรับปริญญาฉัน เราไปเที่ยวกางเตนท์ด้วยกันที่กาญหลังเรียนจบใหม่ๆ และยังคงติดต่อกันเรื่อยมา 

    ไม่ไป แต่ก็อยากไป 
    ทำไมเธอถึงเชิญฉัน ทำไมถึงนึกถึงฉัน คิดแล้วก็คิดอีก

    เวลาผ่านไปถึงกลางเดือนพ.ย. 
    "แพ็กจะแต่งงานแล้วนะ นิ่มก็ไป แต่หนูคงไม่ไป ต้องลางาน"
    "ลาไม่ได้เลยเหรอ ไปเถอะ ถ้าไม่ไปแล้วจะมาเสียใจทีหลัง" แม่ เพราะคำพูดแม่อีกแล้ว ครั้งนั้นก็เหมือนกัน ตอนปี 4 ที่ไปเชียงใหม่ "ถ้าเป็นแม่ แม่ไป ไปเถอะมีโอกาสแล้ว" หลังจากนั้นฉันก็จองตั๋วรถไฟตู้นอนไปเชียงใหม่พร้อมเพื่อนที่ทำโปรเจ็กต์จบด้วยกัน นั่งขบวนเดียวกันคนละโบกี้แล้วก็แยกกันไป เพราะฉันจะไปหานิ่ม ไม่มีแพลนอะไรทั้งนั้น ไม่รู้จักเชียงใหม่ ไม่มีใครที่รู้จักนอกจากแพ็ก นิ่ม และเพื่อนผชอีกคนที่ฝึกงานด้วยกัน

    ไปก็ไป
    ก็ขอติดสอยห้อยตามนิ่มไปด้วย ไม่เจอกันหลายปีได้แล้ว แต่นิ่มเดินทางพร้อมเพื่อนมชถึงน่านวันที่ 5 ธันวาเย็นๆ ส่วนฉันขอล่วงหน้าไปก่อนในคืนวันที่ 4 นี่ไม่ใช่การเดินทางคนเดียวครั้งแรก เพราะครั้งแรกคือตอนไปเชียงใหม่ ซึ่งเบาะตรงข้ามคือป้าคนญี่ปุ่นที่หอบกระเป๋าใหญ่เบิ้มมาด้วย เราพูดกันคำสองคำด้วยภาษาอังกฤษ ครั้งนี้เบาะข้าง ๆ บนรถทัวร์เป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ฉันถึงน่านเช้าวันที่ 5 และเดินเที่ยวในเมือง โดยตั้งต้นที่วัดภูมินทร์ 

    นี่ไม่ใช่น่านครั้งแรก ครั้งแรกที่มาน่านไปดอยเสมอดาว มากับเพื่อนกลุ่มโปรเจ็กต์ที่มหาลัยและเพื่อนสนิทม.ปลายอีกคน ทำให้ครั้งนี้ฉันคลำทางจากที่ที่เคยไปมา แม้ว่าคาเฟ่แถววัดที่เคยไปจะเปลี่ยนชื่อไปแล้ว แต่ที่นั่นยังเป็นหลุมหลบภัยที่ดี ฉันกินมื้อแรกที่นั่นและนั่งทำงานอยูู่พัก ขอฝากกระเป๋าใบใหญ่ แล้วออกเที่ยวรอบ ๆ เอง เดินไปวัด กินข้าวซอยต้นน้ำ และเรียกแกร็บไปร้านเค้กโฮมเมดที่เสิร์ชเจอ ก่อนจะกลับมาร้านเดิมเพื่อเอากระเป๋า อ่ารู้สึกดีเป็นบ้าเลย

    จนเย็นเพื่อนๆ กับนิ่มก็มารับ แน่นอนว่าคนที่เพิ่งรู้จักก็รู้สึกกระอักกระอ่วน จำชื่อไม่ได้ และยิ่งพวกเขาคุยภาษาเหนือกัน ฉันฟังออกแค่ 60% เท่านั้น แม้จะเคยฟังรู้เรื่องมากกว่านี้ช่วงฝึกงาน แต่ก็ลืมไปแล้ว แต่ทุกคนดูนิสัยดีทำให้เข้ากันได้ง่าย เราตรงไปที่บ้านพักที่จองไว้ที่ปัว ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหนึ่งในนี้ 

    วันแรก ๆ ที่น่าน ฉันติดทำงาน และตอบตลอดเวลาจนเพื่อนพูดว่ามึงหยุดพักบ้าง ฉันเริ่มคิดได้ว่านี่ไม่ใช่ความปกติ นี่คือนิสัยที่ไม่ควรทำ แต่วันที่ 6 วันงานแต่งงาน ก็เป็นวันทำงาน  คนอื่นควรจะตามงานฉันได้ฉันคิดแบบนั้นก็เลยพกคอมไปด้วย แต่มันน่าเวทนาเกินไป งานแต่งเริ่มบ่าย 3 เรานั่งกินเบียร์กันเปิดฉันคอมส่งงาน เพื่อนพูดว่า "XXXไม่ท่าเลย ชนก่อน" "ไม่ท่าคืออะไร" "ไม่เข้าท่าไง" นิ่มตอบแทน จากนั้นฉันก็ไม่ทำงานอีกเลย

    จะว่ายังไงดีล่ะ วันนั้นคืนนั้นเป็นอะไรที่สนุกมาก ฉันไม่เคยมางานแต่งแบบดั้งเดิมมาก่อน มีแห่ขันหมาก มีประตูกั้น ด่านเพื่อนเจ้าสาวก็มอมเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวไปเต็ม ๆ ตลกมาก เพื่อนมหาลัยของเจ้าสาวร้องไห้ระงมตอนเจ้าสาวพูดบนเวที แล้วพอสิ้นพิธีก็มีร้องเพลงเต้นกันสนุกสนาน เพื่อนเจ้าบ่าวร้องซะเพราะ เพื่อนเจ้าสาวร้องอย่างเพี้ยน 5555 

    ปกติเวลาไปเที่ยวฉันจะเป็นคนวางแพลน แต่ครั้งนี้ไม่ฉันจะไหลตามคนอื่นบ้าง เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกินกาแฟในตอนเช้าและกินเหล้าในตอนเย็นวนไปอย่างนี้ทุกวัน ออกเที่ยวตอนสาย เข้าคาเฟ่ตอนบ่าย ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดาษดื่น เรียบง่าย แต่เฮฮาและบ้าบอ

    และปรากฎว่าฉันเคยเจอเพื่อนกลุ่มนี้แล้วตอนไปเชียงใหม่ครั้งนั้นแต่ฉันลืมไป
    "นี่ไง ไอโจ้ ที่พามึงขึ้นดอยแม่ตะมาน" "พวกนี้พามึงไปกินลาบบังเกอร์ก่อนกลับกรุงเทพไง" "พามึงขี่รถเครื่องไปขรัวเหล็ก (สะพานเหล็ก) ตามรอยหนังเพื่อนสนิทมึงอะ แต่กุบอกแล้วตรงนั้นเด็กแซ๊บฟันกันเยอะ โดนตำรวจเรียกดูบัตรเลยเป็นไง" ภาพต่าง ๆ ไหลย้อนกลับเข้ามาในตัวฉัน จริงสินะ ตอนนั้นเราได้เจอคนพวกนี้แล้ว กลายเป็นว่าพวกเรามีประวัติศาสตร์ร่วมกันตั้งแต่ 8-9 ปีก่อน

    น่านครั้งนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่สนุกมาก พวกเราในวัยไล่เลี่ยกัน แต่ตอนนี้ก้าวสู่เลข 3 แล้วความคิดความอ่าน ความทุกข์ที่ระบายออกมาก็ต่างกันออกไป ทุกคนมีปัญหาแต่ก็มีเพื่อนไว้ให้ซบไหล่ด้วยเหมือนกัน ขากลับฉันบินกลับคนเดียวเพราะมีดูคอนเสิร์ต Laufey's A Night at the Symphony ตอนเย็น จบแล้วพักร้อนในหน้าหนาวของฉัน คิดว่าคงได้พบกันใหม่ทั้งคนเหนือและเมืองน่าน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in