ปลายปีแบบนี้สิ่งที่คนเรามักจะทำบ่อย ๆ ก็คงไม่พ้น การทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา อะไรบ้างที่ทำให้เรามีความสุข มีความหวัง หรือแม้กระทั่งความฝัน
มานั่งนึกดูดี ๆ มีหลายเรื่องเกิดขึ้น จนไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อนดี มีการปล่อยบางอย่างให้สิ้นสุดลง และมีการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ปีนี้แม้จะดูหนังน้อยไปหน่อย ปกติเลิกงานเสร็จก็ตรงเข้าโรงหนังบ่อย ๆ แต่เรื่องที่ได้ดูก็เป็นเรื่องที่คิดว่าพลาดไม่ได้จริง ๆ อย่าง The Boy and the Heron และ Perfect Days และการได้ดูหนังเก่าเป็นครั้งแรกกับ ONCE, Eternal Sunshine of the Spotless Mind แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ติดตรึงในใจคือ Perfect Days
หนังที่เล่าเรื่องของลุงฮิรายามะ พนักงานทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะในโตเกียว เรื่องราวดำเนินไปซ้ำ ๆ เดิม ๆ แทบทุกวัน แม้จะทำงานและใช้ชีวิตอย่างเดิม ๆ ทุกวัน แต่ลุงก็สามารถมองเห็นความสวยงามระหว่างใช้ชีวิตได้อย่างอัศจรรย์ แค่มองแสงที่ลอดผ่านยอดไม้ระหว่างกินมื้อกลางวัน มีเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นต้องใส่ พอตกกลางคืนก็กางหนังสืออ่านใต้โคมไฟแล้วผล็อยหลับไป แม้ว่าจะมีอะไรเข้ามาทำลายกิจวัตรให้ผิดแผกจากปกติ แต่สุดท้ายลุงจะตบกลับให้มันเข้าที่ได้ดังเดิม ตอนจบหลงเหลือเพียงความรู้สึก Bitter Sweet น้ำตาที่เอ่อออกมามีทั้งสุขและเศร้า "วันนี้ก็คือวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็คือวันพรุ่งนี้"
ทำให้นึกถึงซีรีส์เรื่องสุดท้ายของฮารุมะเรื่องเกี่ยวกับ minimalism หลายครั้งคนพูดถึงความมินิมอลในแง่ของดีไซน์เสียมากกว่า แต่แท้จริงแล้ว minimalism คือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมองเห็นความสุขเล็ก ๆ รอบตัว นางเอกในเรื่องนั้นต่อคิวยาวและนานมากๆ เพื่อซื้อขนมเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่เธอดื่มด่ำและมีความสุขกับการลิ้มรสมันได้มากกว่าใคร ๆ แม้เราจะสมาทานแนวคิดนี้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ในตอนนี้
"กุไม่สะสม ไม่มีแฟน ไม่มีแมว ไม่มีเงินมากมาย" เป็นประโยคที่ตอบเพื่อนที่บอกว่า ดีนะ มึงไม่มีห่วงอะไรเลยอยากทำอะไรก็ทำ ตอนเจอกันที่น่าน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสุขละนะ
อีกเรื่องที่ยังคงทำอยู่ในปีนี้ คือการวิ่ง จำได้ว่าเราเริ่มวิ่งครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน เพราะน้องสาวนักกีฬาบอกว่าเรายังสุขภาพดีได้อีก ยังหุ่นดีกว่านี้ได้อีก แล้วก็จัดแจงพาไปซื้อรองเท้าวิ่ง ยกชุดกีฬาของตัวเองให้ และสอนการวอร์มอัป คูลดาวน์ สอนและวิ่งด้วยกันในช่วงแรก เพราะเธอรู้ดีว่ากว่าที่พี่สาวจะเริ่มต้นอะไรสักอย่างน่ะยากมาก ๆ หนืดสุด ๆ แต่ถ้าได้เริ่มแล้วก็จะไม่มีวันเลิก พนักงานออฟฟิศอย่างเราไม่ได้มีเวลามากนัก แต่ในวันเสาร์จะตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะแถวบ้าน เป็นอย่างนี้ตลอดมา อาจจะขาดบ้างถ้าสภาพอากาศไม่ดี หรือมีสังสรรค์ในวันศุกร์
ถ้าพูดถึงความถี่แล้วก็ไม่ได้นับว่าวิ่งบ่อยแค่สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ช่วงที่ฟิตมาก ๆ เต็มที่ก็ 3 วัน แต่ยืนระยะไม่เลิกมาหลายปี เหตุที่เราออกวิ่งคงเพราะมันทำให้รู้สึกดีด้วยกลไกของร่างกายที่หลั่งสารแห่งความสุขออกมา ตอนที่ได้วิ่งแล้วมักจะคิดอะไรต่าง ๆ นานา คิดเรื่องที่ยังคิดไม่เสร็จให้เสร็จได้ อีกอย่างนักเขียนส่วนใหญ่ที่เราชอบก็วิ่ง นี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การวิ่งกับการเขียนแทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน มูราคามิเองก็เคยบอกว่าการเขียนเป็นการทำงานที่โดดเดี่ยวและต้องมีวินัย การวิ่งทำให้เขายืนระยะรักษาสภาพร่างกายและอยู่ในวงการมาได้จนป่านนี้ จนเขียนหนังสือ "เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง" ออกมา การวิ่งยังช่วยเรื่อง Writer's block ได้ด้วยสำหรับเรา
แต่ก็มีหลายครั้งที่คนถามว่าทำไมไม่ไปมาราธอน ไปมินิ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคิดเรื่องนี้เลย เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่เส้นชัย แต่คือการออกสตาร์ทต่างหาก การปลุกตัวเองให้ตื่นไปวิ่งทุกวันเสาร์เช้าให้ได้นั่นนับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เพียงพอแล้ว วิ่งด้วย Pace เดิม ๆ ไม่ได้เร็วอะไร ได้ระยะสักสี่ซะห้าโลก็กลับบ้าน
Creative Burnout การเบิร์นเอาต์ในทางครีเอทีฟ การคิดงานสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างยากเย็น พี่โจ้อาจจะเรียกสิ่งที่นักสร้างสรรค์มีว่า Creative Juice แต่เราชอบเรียกมันว่า บ่อน้ำ การใช้น้ำในบ่อทุกวัน ๆ โดยที่ไม่ได้เติมของกลับเข้ามาเลย ก็มีแต่จะทำให้บ่อน้ำแห้งเหือด มูราคามิเองก็เคยบอกว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดีได้คือต้องเป็นนักอ่านที่ดีก่อน อ่านไปเถอะอ่านตอนที่อายุยังน้อย สายตายังดีอยู่ อ่านให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าไม่มี Input ก็ไม่สามารถมี Output ที่ดีได้ การอ่านสำหรับเราสำคัญเสียยิ่งกว่าการเขียนอีก
อ่านน้อยมากถึงมากที่สุด แม้พยายามจะคว้าเอาช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน ในระหว่างทำกิจกรรมมาอ่านเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยากเย็น หนังสือที่เราซื้อช่วงนี้แทบทั้งหมดเป็นเรื่องสั้นขนาดเท่าฝ่ามือ เล่มบางจ๋อยพกพาง่าย และน่าจะอ่านให้จบง่าย เวลาที่เราใช้อ่านแล้วได้ประสิทธิภาพกลับเป็นช่วงเวลารอคอย มีครั้งหนึ่งที่ต้องรอเข้าโรงหนังเพราะรอบฉาย April, Come She Will เลื่อนไปชั่วโมงครึ่ง ก็เลยเข้าร้านหนังสือซื้อ "หลงยุคหลุดสมัย" มาอ่าน โอ้โห นี่คือเล่มที่แทบจะเป็นที่สุดในปีนี้ เท่มาก ทั้งเรื่องที่เล่าและภาษาที่ใช้ อีกเล่มคือ "ร่วงหล่นในอนธการ" ได้อ่านจริงจังก็ตอนที่รอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ นั่งอ่านในสนามบินน่านอยู่นาน ชอบจนวางไม่ลง ช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนั้นที่เราจับคว้าไว้ได้สำคัญจริง ๆ
แต่บ่อน้ำก็ไม่ได้เติมได้ด้วยแค่การอ่านหนังสือ แต่การดูภาพยนตร์ ซีรีส์ และอีกสิ่งที่สำคัญคือ การออกเดินทางไปผจญภัย เที่ยวเตร่ เปิดโลกเปิดมุมมองใหม่ ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ปีนี้เราออกเดินทางไปไต้หวันอีกครั้ง เราใช้วันลาทั้งหมดก่อนเริ่มงานที่ใหม่ ออกเดินทางราวสัปดาห์ คราวนี้แม้จะมีไปที่เดิม ๆ แต่เราก็บิดให้เพื่อน ๆ (ที่ไม่เคยไป) ได้ไปด้วยเส้นทางใหม่ๆ ไปหลงทางด้วยกัน จากที่เคยนั่งรถสายเดิม เราก็วางแพลนไปอีกสาย จากที่เคยขึ้นเขาที่เดิม ก็เปลี่ยนรูทการเดินใหม่ จากที่เคยนั่งรถไฟไปตั้นสุ่ย ก็พากันขึ้นจักรยานขี่เลียบแม่น้ำแทน แม้ในใจเราคิดว่าตัวเองจะขี่มันจนถึงตั้นสุ่ยได้แน่ แต่ถ้าคนอื่นไม่ไหวเราแค่เปลี่ยนแผนสำรองคือกลับสู่เส้นทางรถไฟ ทุกอย่างคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระหว่างทางเราได้พบสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ร้านคาเฟ่ที่มีต้นไม้ใหญ่ให้หลบแดดน่ารัก ๆ แม้เราสื่อสารกันไม่เข้าใจ และการเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เจอผู้คนที่คอยช่วยเหลือระหว่างทางด้วยเช่นกัน เรื่องราวระหว่างทางเหล่านั้นงดงามไม่แพ้จุดหมายปลายทางเลย
"ถ้าติดเมื่อไหร่ให้ออกไปผจญภัย"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in