ตัวเราที่ไม่เคยเป็นที่คาดหวังมากขนาดนี้ ไม่เคยรับรู้ถึงแรงกดดันมากอย่างนี้ กับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้นับว่าสนุกและน่าตื่นเต้น เราชอบมันมากกว่าที่คิด แต่ก็ถูกรีดเค้นเอาพลังงานไปจนเกือบหมดสิ้น เพราะงั้นเลยอยากเขียนอะไรเพี้ยน ๆ อย่างที่เคยทำ เขียนผิด ๆ ถูก ๆ และจะไม่แก้ไข ไม่ลบคำผิด ไม่เคาะบรรทัดสวยงาม จะเขียนยาวเป็นพรืดดด ไม่ใส่อิโมจิ เพราะตัวหนังสือของเราจะเล่าเรื่อง ให้เสียงและอารมณ์อย่างเพียงพอ แบบที่ไม่ต้องการภาพประกอบ อิสระ ไร้ขอบเขต นี่คงเป็นคล้าย ๆ กิจกรรมบำบัด
อยากจะเล่าเรื่องอะไรก็เล่า ไม่มีแพทเทิร์น ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์
เมื่อคนที่ไม่แมสต้องมาทำงานให้มันแมส ๆ เรารู้แน่แก่ใจอยู่แล้วว่าตัวเองมีอะไรในหัวสมองที่ไม่ใกล้เคียงกับที่คนอื่นมี คนอื่นอาจจะคิดว่าทางซ้ายคือทางที่ถูกต้อง แต่ตัวเราคิดว่าทางขวาสิ เพราะงั้นเลยไม่เคยเอาตัวเองไปในที่ที่ต้องใช้ความคิดโดยทั่วไปมากนัก และต้องคอยถามคนรอบข้างว่า คนอื่นเค้าคิดกันยังไง บางอย่างก็โอเคตัวเราก็มีเรื่องที่แตะความคอมมอน แต่บางอย่างก็ฝืนธรรมชาติ
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ตอนที่วาดรูปส่งประกวด พ่อจะให้เรา 3 คนตีโจทย์ให้แตกก่อนว่า ถ้าหัวข้อเป็นแบบนี้ คนอื่น ๆ จะวาดอะไร เขียนเป็นตัวอักษรบนกระดาษมาสักสี่ห้าข้อ แล้วค่อยคิดว่าเราจะวาดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น นั่นจะทำให้งานเราแตกต่าง แม้ฝีมือการวาดเราอาจจะไม่ดีมาก แต่การสื่อสารของเราแตกต่างอย่างแน่นอน เพราะอย่างนี้ด้วยละมั้ง
พอโตมาอีกหน่อย เราเริ่มชอบถ่ายรูป แต่เรื่องพ่อบอกว่าเรื่อง Technical การใช้อุปกรณ์ของเรานั้นห่วยแตกนับว่าโฟกัสเข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง แค่รู้จักใช้โหมด M รู้เรื่อง F, Shutter Speed, iso แบบงู ๆ ปลา ๆ ก็นับว่าดีถมเถ แต่มุมมองเวลาที่ถ่ายรูปนั้นสำคัญกว่า แล้วยังบอกอีกว่า ภาพที่ดีคือภาพที่เล่าเรื่อง ภาพไหนที่ถึงแม้ถ่ายออกมาดี แสงได้ คอมโพสสวย แต่ไม่เล่าเรื่อง พ่อก็ไม่นับว่าดี
และก็อีกเรื่อง คือเรื่องความผิดพลาด พ่อบอกเสมอว่าความผิดพลาดคือเรื่องปกติ ในภาพที่เราวาดส่งอาจารย์วิชาศิลปะตอนม.ปลาย เป็นภาพใต้ท้องทะเล ทุกวันนี้ยังแปะอยู่เหนือโซฟาในห้องนั่งเล่น มีจุดผิดพลาด มีการลงสีเขียวลงบนตัวปลาการ์ตูน อย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็บอกว่ามันไม่ได้ทำให้ภาพนี้ดูแย่ ไม่จำเป็นต้องแก้ไข ความไม่สมบูรณ์แบบคือความสมบูรณ์แบบ
เราเติบโตมาอย่างนี้ อาจจะมีค่านิยมผิด ๆ เพี้ยน ๆ ก็ได้ แต่บนโลกคงมีคนที่แปลกแตกต่างอยู่มากมาย การเล่าเรื่องแบบนี้คือสิ่งที่เราชอบ แต่อาจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นชอบ นั่นไม่ได้ผิดแผกอะไร ทุกคนมีความชอบในแบบตัวเองทั้งนั้น
ในแง่ของการทำงาน และการใช้ชีวิตในสังคม เราต้องปรับตัวให้อยู่ได้อย่างปกติมากที่สุด ที่ผ่านมาจะเปิดปากพูด กล้าบอกสิ่งที่คิดในหัว ก็ต่อเมื่อคิดว่าจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ หรือความคิดที่ว่ามันแย่ และอยากจะพูดกับบุคคลที่รับฟังเราจริง ๆ และให้คำวิจารณ์ที่เราไปปรับปรุงต่อได้ โดยไม่ทำร้ายใจจนเกินไปนัก เพราะอ่อนไหวมากเกินไปแบบนี้ด้วยละมั้ง เลยอยากลองกระโดดลงมาในน่านน้ำที่ไม่คุ้นเคย เพราะอยากฝึกฝนตัวเองให้รับคำวิจารณ์ให้ได้ หวังว่าจะเจ็บปวดน้อยลง เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ แต่ดูเหมือนจะยากกว่าที่คิด
แต่กระนั้น ก็มีสิ่งที่เราเขียนแล้วเข้าถึงใจคนอยู่บ้าง แม้จะได้รับคำชมจากคนมากมายแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเราพองฟูและเป็นสุขได้มากเท่าตอนนั้น ตอนที่เรานั่งลงเขียนมันด้วยความรู้สึกที่มี ด้วยแพสชั่น เรารู้สึกอิ่มเอมและปีติตั้งแต่เขียนเสร็จ น้ำตาซึมเล็ก ๆ เจือด้วยความเศร้าหน่อย ๆ คงเพราะหลงใหลในเรื่องที่เขียนอย่าง ความตาย ด้วยละมั้ง เรารู้สึกว่าได้รับรีวอร์ดเรียบร้อยแล้ว พอคนที่ตรวจงานบอกว่าอ่านแล้วจะร้องไห้ แค่นั้นเพียงพอ ไม่ต้องรองานพลับลิก หรือมียอด ตัวเลขอะไรเลย ใจเรารู้สึกเติมเต็ม และรับรู้ได้เองว่าได้เขียนงานในแบบที่ตัวเองอยากสื่อสารออกมาได้
วันนี้คงจะเขียนพอแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีใครมาอ่านมากนัก แต่ตัวเราเองในอนาคตต้องกลับมาอ่านแน่ ๆ ก็ยินดีด้วยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ : )
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in