เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Reminds me of you ฉันจะไม่ปล่อยมือเธอ (เรื่องสั้น)gonnbhak
จิตวิญญาณที่แหลกสลาย ในโลกภายใต้สังคมเบียวๆของระบบทุนนิยม
  • เคยได้ยินคำว่าขายวิญญาณมั้ย?แล้วอะไรคือเกณฑ์วัดราคาคุณค่าล่ะ?



     “นพ” ชายหนุ่มวัยกำลังเข้าสู่การเติบโตเป็น “ผู้ใหญ่” เขามาจากครอบครัวที่มีพี่น้อง 6 คน
    ด้วยฐานะทางบ้าน และหมู่บ้านในชนเผ่าที่เขาเกิดไม่ได้มีความเจริญมากพอที่การศึกษาที่มีคุณภาพเข้าถึง เขาเติบโตมาท่ามกลางคติที่ว่าต้องมีการศึกษาเพียงเพื่อให้มีวุฒิ ที่จะเป็นใบเบิกทางให้มีรายได้


    ซึ่งเด็กๆในหมู่บ้านต่างก็เป็นเช่นนั้น


    นพเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯทันทีที่ได้วุฒิม.3 ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาที่สูงสำหรับคนที่นั่น ไม่มีใครเรียนต่อมัธยมปลาย เพราะหากเสียเวลาเรียนอีก 3 ปี นั่นเท่ากับว่าทำให้พวกเขาเสียโอกาสในการหางานทำ เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับคนในครอบครัวและตัวเอง





    ปีนี้เป็นปีที่ 7 ที่นพใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ


    เขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นพนักงานล้างจานที่ร้านอาหาร 2 แห่งในข้าวสาร ด้วยงานที่หนักและค่าแรงที่น้อยนิด นพเลือกเช่าห้องพักเตียงรวมเดือนละไม่ถึงพัน เขาไม่ได้ต้องการห้องกว้างที่มีแอร์หรือระเบียง ด้วยเวลางานวันละ 18 ชั่วโมง ห้องนอนเตียงนุ่ม ทีวีจอ 55 นิ้ว คงไม่จำเป็นสำหรับเขาเท่าไหร่

    นพไต่เต่าหน้าที่การงานด้วยประสบการณ์ทั้งหมดที่เขามี การได้ทำงานกับคนมากมายหลากหลายประเภท และความไม่เรื่องมากของนพ เขาไม่เคยต่อต้านระบบ เขาไม่เคยฝ่าฝืนกฎของคนชนชั้นแรงงาน มันทำให้เขามีภูมิคุ้มกันในการทำงานที่สูงพอตัว และนั่นทำให้วันนี้เขาได้มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการที่บาร์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ


    นพมีเงินมากพอที่จะส่งให้พ่อแม่ และน้องๆได้เรียนหนังสือ

    นพมีเงินมากพอที่จะหาที่อยู่ที่มีคุณภาพมากกว่าที่เดิมให้กับตัวเอง

    นพมีเงินมาพอในการที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยบางอย่างให้ชีวิต

    นพมีความสุขที่ได้นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน แทนการนั่งเรือบนคลองแสนแสบที่ต้องต่อด้วยรถเมล์ที่ไม่เคยเหลือที่ให้เขานั่งเลยสักครั้ง

    นพมีความสุขที่ได้ตื่นไปทำงานเพราะนั่นเป็นที่ที่เขาได้เงิน

    นพมีความสุขที่ได้กินอาหารรสชาติถูกปากในราคาถูกใจ





    เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ที่เปลี่ยนแปลงความสุขและมุมมองในชีวิตของเขาไปตลอดกาล



    นพรู้จักผู้หญิงคนนึงผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ที่เพื่อนร่วมงานแนะนำให้เขาโหลด เธอหน้าตาน่ารัก แม้จะไม่ได้ดูโดดเด่น แต่เพราะเหตุผลนั้นแหละที่ทำให้เขาอยากคุยกับเธอ
    เธอเขียนถึงตัวเองว่าหาเพื่อนคุย แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังอุตส่าห์บรรยายว่าเธอชอบอะไรบ้างความยาว 4 บรรทัด

    ใจเขาเริ่มเต้นแรงเมื่อพบว่าเธอปัดขวาเขาก่อนหน้านั้นแล้ว

    นพไม่รอช้าที่จะทำความรู้จัก เขารีบส่งข้อความหาเธอแบบชนิดที่แทบไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไร คืนนั้นเธอเป็นสิ่งแรกนอกจากเงินเดือน ที่ทำให้เขาใจเต้นและยิ้มไม่หยุด



    ตลอดเวลา 2 เดือนที่นพคุยกับขิม ด้วยความที่อายุใกล้ๆกัน ทั้งคู่จึงคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กันได้อย่างถูกคอ แม้นพแทบไม่เคยได้เล่าเรื่องของตัวเอง มีแต่ขิมที่เล่าเรื่องของเธอ เธอเรียนอยู่ที่มหาลัยที่มีชื่อเสียง ท่าทางคงจะเรียนเก่งไม่น้อย เธอเล่าปัญหาเรื่องเพื่อน สัตว์เลี้ยง แม้กระทั่งปัญหาที่บ้าน
    และเขาชอบให้บทสนทนามันเป็นไปแบบนั้น เขาอยากรู้จักเธอ อยากรู้ทุกเรื่องของเธอ มากจนกระทั่งเขาอยากเจอเธอตัวเป็น เขาอยากนั่งฟังเสียงพร้อมกับมองหน้าของเธอ ขณะที่เธอกำลังเรื่องราวชีวิตของตัวเอง


    “พรุ่งนี้ขิมว่างมั้ย?”
    “ถามงี้อยากนัดเจอเราหรอ”

    “ว่างสิ เราอยากกินข้าวร้านนี้ เราไปด้วยกันมั๊ย”


    ไม่ทันที่นพจะตอบอะไร ขิมก็ตอบรับคำขอที่นพยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามไป แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เขาเริ่มยิ้มไม่ออก

    เพราะรูปภาพที่เธอส่งมาเป็นร้านอาหารที่เพจรีวิวลงรูปอาหารพร้อมคำบรรยายต่างๆนาๆไว้

    ร้านอาหารนั้น

    ไม่สิ

    “ที่ทำงาน”ของเขา เรียกแบบนี้ถึงจะถูกกว่า


    ด้วยโปรไฟล์ของขิม ดูก็รู้ว่าเธอมีต้นทุนชีวิตสูงกว่าเขามากและเท่าที่นพรู้จากเรื่องต่างๆที่เธอเล่า ฐานะทางสังคมของเธอเรียกได้ว่าคงไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใครแน่ๆ

    แล้วถ้าเธอรู้ว่านพจบแค่ ม.3 ไม่ได้มีหน้าที่การงานที่สูงพอจะเทียบเคียบกับชนชั้นสถานะของเธอ ไม่ได้อยู่ท่ามกลางสังคมและสิ่งแวดล้อมเดียวกับเธอ เธอจะรังเกียจเขาหรือเปล่า

    ในขณะที่นพเริ่มคิดมากในใจ ขิมส่งสติกเกอร์มาหาเขาอีกครั้ง เหมือนจะให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้เก้อเพราะออกตัวชวนผู้ชายไปเดท

    นพตัดสินใจโทรหาเธอ

    เขาไม่อยากปล่อยปละ ปฏิเสธ หรือปิดบังตัวตน เขายอมรับเธอทั้งภายนอกและสิ่งที่เธอเป็น การโกหกต่อผู้หญิงที่เขาอยากสานสัมพันธ์ด้วย ไม่ใช่ทางที่นพคิดว่าดีนัก

    เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะบอกเธอเกี่ยวกับตัวเขา เธอสมควรที่จะได้ยินจากปากและน้ำเสียงของเขาเอง และไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นอย่างไร เขาก็สมควรที่จะได้ยินน้ำเสียงของเธอจากหูของเขา ไม่ใช่จากข้อความลอยๆที่แตะต้องไม่ได้ และการกระทำนี้นพคิดว่ามันแฟร์สำหรับทั้งคู่

    “สวัสดีขิม”

    “โห ถึงขั้นโทรมาเลยหรอ อ่านไม่ตอบเราคิดว่าเธอจะเทเราแล้วซะอีก”

    “ร้านที่ขิมอยากไป จริงๆที่เรางานที่นั่นอยู่นะ”

    “หืมม งั้นก็ดีไปอีกแบบนี่ เราจะได้เจอเพื่อนร่วมงานเธอด้วยไง”

    “เราเป็นแค่ผู้ช่วยผู้จัดการนะ”

    “...ก็เธอเพิ่งอายุแค่นี้ อยากเป็นCEOแล้วหรอ”

    “เราวุฒิแค่ ม.3 อะ เลยไปได้ไกลช้าหน่อย”

    “555”

    “เราพูดจริงๆนะ”

    “...”

    “คือเราก็อยากบอกเรื่องของเราให้ขิมฟัง เผื่อขิมไม่ชอบคนแบบเรา เธอจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา เพราะเราก็อยากเจอขิมจริงๆ”

    “...”

    “...”

    “แล้วไงหรอ?”

    “ก็…”

    “ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่ แต่เราดีใจนะที่เธอบอกเรา สรุปวันพรุ่งนี้นี้เราไปกินข้าวร้านเธอกันอยู่มั๊ย”

    “ขิมโอเคหรอ”

    “เห็นเราเป็นคนยังไงเนี่ย”

    นพกับขิมคุยกันจนทั้งคู่หลับไป คราวนี้กลับเป็นฝ่ายของนพที่ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้เธอฟัง สำหรับนพคืนนั้นมันพิเศษกว่าคืนไหนๆ เพราะเขามีความสุขมากจนไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นกับเขา มันไกลเกินเอื้อม เสมือนไม่ได้อยู่บนโลกความจริง เสมือนได้ของขวัญแสนแพง มีค่าเกินกว่าสิ่งไหนๆที่ชีวิตเขาเคยได้รับ

    นพได้ทำลายกำแพงในใจ สิ่งที่กำบังเขาไว้ สิ่งที่อยู่ในห้วงดำมืดลึกสุดจิตใจ ว่าตัวเขามันก็เท่านี้ เป็นขี้ข้าใต้ระบบ เหมือนแมลงสาบที่ใครๆก็ตีตราและเบือนหน้า เป็นสิ่งที่คงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาและไม่มีวันได้ก้าวข้ามห่วงโซ่แห่งกฎเกณฑ์ต่างๆนาๆที่ไม่รู้อ้ายอีที่ไหนสาระแนบรรญัติ และคืนนั้นเองทำให้เขามั่นใจว่าเขาชอบเธอจริงๆ ไม่ใช่เพราะสิ่งนอกกาย หากเป็นจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ของเธอ




    นพตื่นรับเช้าวันอาทิตย์ที่พิเศษสุดของเขา เขาเตรียมการกับเพื่อนร่วมงานว่าให้ดูแลขิมให้พิเศษที่สุด ประหนึ่งว่าเธอเป็นลูกค้าระดับ VVIP ซึ่งจริงๆเธอก็พิเศษที่สุดจริงๆนั่นแหละในสายตาของนพ


    นพตั้งใจแต่งตัวเซตผม อย่างที่ไม่เคยตั้งใจอยากจะดูดีเท่านี้มาก่อนในชีวิต เพราะสำหรับนพไม่ว่าวันไหนๆในชีวิตของเขา ก็ไม่สำคัญเท่าวันนี้

    วันที่จะได้เจอขิม

    เขาอยากให้เธอประทับใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน และแน่นอนเขาสัญญากับตัวเองด้วยว่าไม่ว่าวันไหนๆเขาก็จะปฏิบัติกับเธอ ไม่ต่างกับวันแรกที่ตั้งใจ


    เขาส่งข้อความหาเธอ เพื่อย้ำขิมว่าเธอจะไม่ลืมนัดสุดพิเศษของทั้งคู่ แต่ว่าวันนี้ดูแปลกไปกว่าทุกวันเพราะขิมไม่มีท่าทีว่าจะอ่านข้อความของเขา กระนั้นแล้วนพก็ไม่ได้เร่งเร้า เธอคงเตรียมตัวเพื่อให้ดูดีที่สุดสำหรับนัดครั้งนี้ไม่ต่างจากตัวเขา




    นพใจจดใจจ่อรอเวลาที่จะได้เจอกับขิม เขามารอเธอที่ร้านอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจัดเตรียมจะต้องดีที่สุดเท่านั้น

    เวลานัดล่วงเลยจากนาทีเป็นชั่วโมง บรรยากาศในร้านคนเริ่มเยอะจนเสียงดัง นพโทรหาขิม เธออาจจะใช้เวลาแต่งตัวนาน อาจจะหลงทาง หรือกังวลแม้กระทั่งว่าจะเกิดเหตุร้ายไม่ดีกับเธอ

    เขาเริ่มกังวลและเพิ่มความเป็นห่วง


    เธอไม่เคยหายไปนานขนาดนี้


    ในใจนพเริ่มอยู่ไม่สุข เขาทั้งกระวนกระวาย งุนงน สับสน และที่โกหกไม่ได้คือ เขากำลังเสียใจ

    เมื่อไม่มีท่าทีว่าเธอจะรับสาย นพเริ่มถอดใจ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะกดหาเธอ จากสัญญาณรอสาย เขากดโทรออกไม่หยุดจนกระทั่งสายตัดไป



    และเขาก็ไม่สามารถโทรหาเธอได้อีกเลย



    นพตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่เขาเตรียมไว้ เขากลับบ้านโดยไม่กล่าวลาเพื่อนร่วมงานที่ตั้งใจเตรียมทุกอย่างร่วมกันมา

    เขารู้ดีว่านี่คือคำปฏิเสธต่อความจริงทุกอย่างที่เขาเปิดใจเล่าให้เธอฟังเมื่อคืน ถ้าโชคจะเข้าข้างเขาสักนิดให้รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืน มันเป็นเพียงแค่ความสงสาร และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ขิมจะทำเพื่อปลอบใจตัวเธอเองว่าเธอไม่ใจร้ายมากพอที่จะตัดสายเขาทันทีที่รู้จักนพที่เป็นชีวิตจริง ไม่ใช่นพในจินตนาการที่เธอมโนขึ้นมาในใจ


    “ห่าเอ้ย ก็ไม่น่ามาให้ความหวัง”


    ทุกวินาทีระหว่างทาง เขาได้แต่คิดในใจว่า “ทำไม”

    ทำไม “เรื่องแบบนี้” มันถึงเกิดกับเขา ที่ไม่เคยไปสร้างปัญหารบกวนจิตใจใคร เขาที่ไม่เคยแม้กระทั่งคิดจะทำเรื่องไม่ดี เขาที่ซื่อสัตย์กับทุกอย่าง หากสิ่งที่เขาทำมันดีตามครรลองแล้ว เหตุใด “เรื่องแบบนี้” มันเกิดขึ้นกับเขาเล่า


    ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกไหนมันมีอิทธิพลมากกว่ากันระหว่าง ผิดหวังที่โดนปฏิเสธ หรือ โดนปฏิเสธเพราะผิดหวัง


    ทำไมล่ะ ถ้าเขาเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านี้ ถ้าเขาเกิดมาในตระกูลผู้รากหมากดีมีอันจะกินไปอีกร้อยปีร้อยชาติ มีฐานะทางสังคมที่ใครๆก็อยากเข้าหา มีบ้านหรือรถหรูอย่างใครเขา สายตาดูถูกปนก่นด่าและเหยียดหยามเหล่านั้น จะเปลี่ยนเป็นประกายแวววาวหรือเปล่า

    และ “สิ่งนั้น” มันสร้างความโกรธขึ้นมา

    พาลโมโหรถเมล์มากขึ้นกว่าเดิมที่มันทั้งเก่าและสกปรก แออัดไปด้วยผู้คนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ โกรธที่รุ้สึกกรังตามผิวหนังที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากถนนที่พัดเข้ามาในหน้าต่างรถ

    โกรธทางเท้าแตกๆที่เต็มไปด้วยน้ำขังเน่าๆส่งกลิ่นเหม็นที่ต้องเดินทุกวัน โกรธทุกสิ่งทุกอย่างที่มันนิยามตัวเค้า ชีวิตเค้า ว่าเป็นพวกกักฬระไม่เอาไหน พวกสิ้นความเจริญไร้อารยธรรม พวกกเฬวราก ไม่ต่างจากแมลงสาบที่เป็นได้แค่ฟันเฟืองให้ระบบห่าอะไรก็ตามในสังคม ปากกัดตีนถีบไม่มีวันได้เชิดหน้าชูเกียรติหรือลืมตาอ้าปากอย่างใครเขา พวกเหล่าเกี้ยไม่มีหัวนอนปลายตีน บุญน้อยด้อยราคา วาสนาต่ำ จิตวิญญาณไร้ค่าที่ครั่มคร้ามต่อทุกสิ่ง



    หากใครเล่าจะรู้ว่าตัวตนของเขาก็เกิดมาจากการหล่อหลอมของสังคม และตัวเขาก็ต้องยินยอมก้มหน้ารับมันอย่างไร้อำนาจใดจะต่อกรก่อนจะรู้สึกถึงการมีตัวตนด้วยซ้ำ 


    นพจัดการกับความโกรธเมื่อกลับมาถึงห้อง เขารู้ดีว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้สร้างผลประโยชน์อันใด ในทางกลับกันมันยิ่งทำให้เขาลดทอนความสุขจากสิ่งรอบตัว และนั่นจะทำให้ความพยายามดิ้นรนในการมีอยู่ของตัวตนเขาในโลกใบนี้ลดลง 
    แม้เสียงนี้มันจะดังสักแค่ไหน มันก็ดังอยู่แค่ในอก อยู่ในหัว อยู่ในร่างกายที่มีคุณค่าราคาต่างกับคนอื่น เป็นความจริงที่นพเห็นด้วยแบบไร้ข้อโต้แย้ง แม้เสียงในใจจะดังสักแค่ไหน หากมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกแห่งความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ นพก็เลือกที่จะปฏิเสธมัน


    เขายิ้ม


    ยิ้มเย้ยหยันให้กับโชคชะตาอันแสนบิดเบี้ยวที่พระเจ้าถีบส่ง


    ครั้งนี้มันคงจะเป็นบทเรียนบทใหม่ของนพ ว่าต่อให้เขาจะเคารพกฎกติกาของชีวิตแค่ไหน “สิ่งนั้น” มันก็ตามไล่ล่าเขาอยู่ดี หากแต่ครั้งนี้เขาคงเติบโตมากพอที่จะเรียนรู้ว่าทางเลือกของชีวิตมันไม่ได้มีแค่ต้องอดทนอย่างที่เป็นมา


    นพไม่ได้มีความเจ้าคิดเจ้าแค้นมากพอที่จะผูกใจเจ็บกับขิม


    หากแต่เขาคงจะคิดถึงเธอเป็นบางครั้งแบบเรื่อยๆ ถึงความสุขที่เคยเกิดขึ้น


    นพผู้มาจากครอบครัวยากจน


    เติบโตในชนเผ่าที่สังคมหันหลังให้


    การศึกษาแค่พอหาอาชีพต่อชีวิต


    ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการที่ไม่รู้ว่าจะได้เลื่อนขั้นปีไหน


    ห้องพักหน้าต่างเหล็กดัดที่ไร้ระเบียง


    นพยิ้มให้กับตัวเอง 

    แต่ต่างออกไปตรงที่รอยยิ้มครั้งนี้ช่างไร้ความรู้สึกใดๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
zane. (@zane.)
ขอบคุณที่สะท้อนเรื่องราวเรื่องนี้ออกมาครับ บางครั้งชีวิตเป็นแบบนี้จริงๆไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมารองรับหรือโต้แย้งแค่...มันเป็นแบบที่เป็นและเรานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย...."ผมเข้าใจนพ"