ดีแค่ไหนที่มีบ้านอยู่—ผมพอรู้ เพียงแต่ในความคิดตอนนั้นถ้าเลือกได้ผมก็อยากได้บ้านหลังใหญ่และสวยกว่านี้ ซึ่งอี๊อาจไม่เข้าใจ
“ทำไมซื้อบ้านหลังนี้” ผมถามอี๊ไปแบบนั้นในเช้าวันหนึ่ง ทั้งที่ในใจอยากถามว่า “ทำไมซื้อบ้านหลังแค่นี้”
“ตอนนั้นบ้านเก่าไฟไหม้” อี๊เปิดประโยคด้วยสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะปกติถ้าใครสักคนเคยผ่านประสบการณ์บ้านไฟไหม้ เขาน่าจะเอามาเล่าซ้ำไปซ้ำมาคล้ายว่าสลัดอดีตอันเลวร้ายไม่หลุด แต่อี๊กลับไม่เคยปริปากถึงเรื่องนี้ กว่าจะมารู้ก็ตอนผมอายุ 27 ปี และถ้าไม่ถามเรื่องบ้าน ก็คงไม่มีทางได้รู้
อี๊เล่าว่า หลังจากไฟไหม้ที่บ้านลำบากมาก อาม่า—แม่ของอี๊หยิบของมีค่าติดมือออกมาได้เพียงไม่กี่อย่าง นอกนั้นหายวับไปกับเปลวไฟคล้ายเวลาเผากระดาษไหว้เจ้าอย่างไรอย่างนั้น ยังดีที่ทุกคนในบ้านหนีออกมาได้ทัน เมื่อบ้านหายไป ไม่มีที่ซุกหัวนอน อาม่าจึงต้องหอบลูกๆ ไปอยู่กับญาติ แรกๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่อยู่ไปอยู่มาอาม่าเริ่มได้ยินเสียงกระแหนะกระแหน ประชดประชันจากเจ้าของบ้านโทษฐานย้ายมาเป็นภาระ
“จะทำอะไรได้ มันไม่ใช่บ้านเรา” อี๊ตอบด้วยน้ำเสียงเข้าใจไม่เคืองแค้น เมื่อผมถามว่าตอนนั้นอาม่าทำยังไง ที่น่าเจ็บช้ำหัวใจในฐานะคนฟังรุ่นหลังคือ อี๊เล่าว่าวันสุดท้ายที่ย้ายออกมา เจ้าของบ้านถึงกับราดน้ำหน้าบ้านไล่หลัง คล้ายว่าต้องการล้างความซวยให้หมดไป
อาม่าเอาเงินที่ได้จากการประกันบ้านหลังเก่า รวมเงินกับญาติผู้ใหญ่อีกคนซื้อบ้านหลังใหม่ ซึ่งก็คือหลังที่ผมอาศัยอยู่กับอี๊
อี๊เล่าว่าตอนย้ายมาใหม่ๆ บ้านหลังนี้อยู่กันเป็นสิบคน ห้องนอนหนึ่งห้องนอนเบียดเสียดกันสี่ห้าคนแต่ไม่มีใครบ่นสักคำ ทุกคนดูมีความสุขกว่าตอนอยู่บ้านหลังใหญ่ที่ไปอาศัยเขาเสียอีก
เมื่อฟังอี๊เล่าจบ ผมพอจะเข้าใจประโยคที่อี๊เคยบอก
“มีบ้านอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ใช่, ไม่ต้องไปอาศัยใครเขาอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมอี๊ถึงรักบ้านเล็กๆ หลังนี้ เพราะมันเป็นบ้านของเรา ถึงมันจะคับแคบยังไง ก็ไม่มีใครทำให้เราอึดอัดได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in