1เขาชอบ 'คนน่ารัก'บางครั้งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ เพราะ 'คนน่ารัก' มักจะได้รับความสนใจมาอย่างง่ายดายอยู่เสมอผิดกับผมโอเค ยอมรับว่าที่จริงผมก็ชอบ 'คนน่ารัก' เหมือนกันนั่นแหละ แล้วก็อดที่จะสนใจและคอยยื่นมือไปช่วยไม่ได้สักทีด้วยก็แบบเดียวกันกับที่ผมอดที่จะสนใจเขาไม่ได้สักทีสายตาหยุดลงที่สเตตัสของเขาวันนี้ก็ยังคงพูดถึง 'คนน่ารัก' อีกครั้งดาราสาวคนนั้นที่เขาชื่นชมอยู่บ่อยๆเขาเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สว่างไสว และอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงเผื่อแผ่ความสดใสที่มีอย่างล้นเหลือให้ทุกคนมาถึงกระทั่งคนอย่างผมด้วยเขากลายเป็น 'คนน่ารัก' สำหรับผมและโดยที่ตัวผมไม่กล้าจะคาดคิดมาก่อนครั้งหนึ่งเขาเคยให้ผมเป็น 'คนน่ารัก' ของเขา
2วันที่ผมได้พบกับเขาครั้งแรกเป็นวันหนึ่งที่แค่อากาศร้อนมากกว่าปกติ
และบรรยากาศรอบข้างก็อึกทึกครึกโครมกว่าทุกวัน
วันงานกีฬาสีโรงเรียน
ซึ่งเหล่าสาวๆ แก๊งค์นางฟ้าต่างรอคอยที่จะปล่อยผีกันอย่างสุดตัว
ในชุดแฟนซีเดินขบวนพาเหรดที่ดูเหมือนจะถูกกำหนดตายตัวว่า
หากเป็นทีมสีเขียวก็ต้องมาในธีม “โลกสีเขียว”
พวกเธอดูจะเอ็นจอยสุดๆ
จนเผื่อส่วนของผมไปด้วย
เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อกรกับแสงแดด
จึงพลอยไม่มีแรงขัดขืนเมื่อถูกตามตัวให้ไปทำหน้าที่สวัสดิการ
แจกน้ำดื่ม และของว่างให้รุ่นน้องที่ห้องพักนักกีฬา
ก็ยังดีกว่านั่งว่างๆ บนอัฒจรรย์ร้อนฉ่านี่
หลังจากเสร็จสิ้นงานที่ถูกวานมาให้ทำ ก็อาศัยนั่งพักที่ห้องพักนักกีฬา
ซึ่งเป็นแห่งเดียวที่มีความร่มเย็นภายใต้สนามกีฬาแห่งนี้
และไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า
ผมหยิบสมุดเรียนที่กลายเป็นสมุดเขียนเล่นขึ้นมา
ถือวิสาสะยึดพื้นที่มุมห้อง
ได้เวลาส่วนตัวเพื่อสานต่อบทประพันธ์
เขียนถึงไหนแล้ววะ?
“พี่แอบเขียนอะไรน่ะ”
ก็ไม่ได้แอบ จนกระทั่งโดนเอ็งทักนี่แหละ
“นิดหน่อย”
ผมปิดสมุดฉับ
ตอบเขาที่ถือวิสาสะมายึดพื้นที่มุมห้อง ข้างๆ ผม
“เขียนอะไรไปเรื่อย”
“ไปเรื่อยแบบไหนอ่ะ?”
“อ่านไม่รู้เรื่องหรอก จริงๆนะ อย่าอ่านเลย”
เอาแล้วไง ผมไม่น่าพูดว่าอย่า
เพราะมันเหมือนยิ่งยุ
เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไปเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มในชุดนักกีฬากรีฑาประจำสีม่วง
(ซึ่งไม่รู้หลงมาอยู่ที่ห้องของสีเขียวได้ยังไง) ที่กำลังเอียงคอน้อยๆ มองมาอย่างใคร่รู้
ก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าคนน่ารักอย่างเขาเอ่ยขอขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องให้อย่างไร้ข้อแม้
3
แล้วเป็นไง..สุดท้ายมันก็อยู่ในมือเขา
“วายเหรอ”
อ้าว รู้จักด้วย
“ใช่…”
มาถึงขั้นนี้แล้ว
ผมคิดว่าถ้าน้องมันรับไม่ได้
จะส่งคืนแล้วเลิกคุยกับผมไปก็ไม่มีอะไรจะเสีย
แต่ผมก็แทบจะกลั้นใจตายเมื่อเขาพลิกอ่านไปถึงฉากเลิฟซีน
เขาจังงังไปเล็กน้อย
แต่ก็รีบซ่อนอาการไว้แล้วอ่านต่อไป
ผมจนปัญญาจะหาที่มุดหัวหลบ จึงแก้ปัญหาด้วยการแย่งสมุดคืนมา
“พอเลย ไม่โอเคก็อย่าไปฝืนอ่านดิ”
“ไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ ขอโทษที ผมอ่านแต่นอร์มอลอ่ะ”
“รับไม่ได้เหรอ? ฮะๆๆ โทษที ไม่ได้เตือนก่อน”
แบบนี้คงนั่งเขียนต่อไม่ออกแล้ว
เตือนเหรอ ทำไมผมจะต้องเตือนด้วยล่ะเนี่ย
ก็ดันอยากจะมาอ่านเองนี่
“พี่เขียนจากเรื่องจริงของตัวเองเหรอ”
“เฮ้ย ไม่ใช่ ถ้าเป็นเรื่องตัวเองเด็ดกว่านี้อีกน้อง ฮ่าๆๆ”
...ว่าไปนั่น
ปกติผมไม่ชอบให้ใครมาเห็นตอนที่เขียนอยู่
แต่ให้ตายสิ นี่ผมแพ้คนน่ารักอีกจนได้...
4
ผมนึกว่าหลังจากวันนั้นจะไม่ได้เจอกันอีก
แต่กลายเป็นว่าทุกช่วงพักเที่ยงเขาจะมาปรากฏตัวที่หน้าห้องเรียน
ถามหาผมจากเพื่อนที่นั่งติดทางออก และเดินดุ่มตรงเข้ามาหา เพื่อมาทวงความคืบหน้านิยายผม
“ได้เขียนต่อยังพี่”
ผมพยายามเบลอเรื่องที่เขาดูฝืนๆ ขณะอ่านในทีแรกทิ้งไป
เพราะตอนนี้เขากลายมาเป็นนักพรูฟมือแรกของผมไปแล้ว
เขาคงชินชากับการอ่านเลิฟซีนที่ผมเขียนแล้ว
แต่ปัญหาคือ
ผมไม่ชินกับการมีเขามาอ่านสิ่งที่ผมเขียนต่อหน้าแบบนี้
“พี่ ผมสงสัยตรงนี้ว่ะ”
“หา?”
รู้สึกถึงมือของอีกฝ่าย จับที่ริมฝีปากของผม
ผมสาบานได้ว่า
ปกติถ้าอยู่ๆ ใครมาจับตัวแบบนี้ ผมคงต่อยมันคว่ำ
แต่ให้ตายสิ ผมแพ้คนน่ารักอีกแล้ว
ผมแพ้เขาอีกแล้ว
ผมปล่อยให้เขาเกลี่ยนิ้วบนริมฝีปากอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจตัดจบ
“เค็มโว้ย”
“โทษทีๆ แต่นุ่มเหมือนที่บรรยายจริงๆด้วย พี่เขียนจากเรื่องตัวเองใช่มั้ย”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง จะให้ไปทำกะใครล่ะ”
นี่ผมพูดอะไรออกไปวะ
เขาสบตาเป็นคำถามแบบเดียวกัน
‘นั่นสิ จะไปทำกับใคร’
“ผมก็จินตนาการว่าเป็นพี่ตอนอ่านเลยเนี่ย”
ผมต้องรีบเบรค
“พอเลยๆ”
ก่อนที่มันจะเลยเถิด
“พี่แม่ง..น่ารักว่ะ”
5
แม้ว่านิยายจะจบไปแล้ว
แต่ผมกับเขาก็ยังได้เจอกันตามที่ต่างๆ ในโรงเรียน
การจับปากผมกลายเป็นการทักทายแบบหนึ่งของเขา
แม้จะอยู่ข้างนอก หรือต่อหน้ากลุ่มเพื่อน
เขาไม่รู้จริงๆ เหรอว่า
มันไม่ได้หมายถึงการทักทายสำหรับผม
ผมกระชากเขาเข้ามาจูบเป็นพันครั้งในจินตนาการ
ทุกๆ ครั้งที่พบกัน
ผมอยากลากแขนเขาออกจากกลุ่มเพื่อนแล้วจัดการซะเดี๋ยวนั้น
แต่ผมทำไม่ได้
เขาแค่รับได้
เพราะมันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น
และเขาคงไม่ตั้งใจ
เขาไม่คิดว่าแค่การทักทายของเขา
แค่การพร่ำบอกว่าผมเป็น ‘คนน่ารัก’
จะทำให้ผมหวั่นไหวได้มากขนาดนี้
ผมได้รับดอกกุหลาบแดง และจดหมายที่เขียนถึงผมจากเขาในวันจบการศึกษา
เขียนว่าเขาคงคิดถึงผมมาก และคงเหงาที่ไม่ได้จับปากผมเล่นแล้ว
ผมภาวนาให้เขาพบ ‘คนน่ารัก’ คนอื่นเร็วๆ
ไม่เช่นนั้น ครั้งหน้าที่เจอกัน
ผมคงไม่อาจให้มันหยุดแค่จินตนาการได้
และคงต้องพ่ายแพ้คนน่ารักอย่างเขาอีกครั้ง
6
ผมรู้สึกตัว
และละสายตาออกจากไทม์ไลน์เฟสบุคของเขา
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนกล่องข้อความ
หน้าต่างแชทปรากฏขึ้นที่มุมขวาล่าง
เป็นเขาที่บังเอิญทักมาพอดี
หลังจากไม่ได้ติดต่อกันมาครึ่งปี
ในช่วงสอบเข้ามหาลัยของเขา
“สบายดีนะเรา?”
เขาเล่าเรื่องสัพเพเหระ ชีวิตในมหาลัย เพื่อนใหม่ กระทั่งเรื่องที่มีผู้ชายมาจีบเขา
“นายโอเคกับผู้ชายแล้วเหรอ”
“ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ผมไม่โอเคกับคนนี้อ่ะ”
มือผมพิมพ์ๆลบๆ
พบว่าตัวเองกำลังดีใจออกนอกหน้า
ยังไงก็ได้ แต่มันไม่ได้แปลว่าเขาจะโอเคกับผมด้วยรึเปล่าวะ?
อย่าได้ใจให้มันมากนัก
แต่ใจผมไม่ฟัง
มือผมที่กำลังชื้นเหงื่อเองก็ไม่ฟัง
รีบกดส่งข้อความตอบ
ก็ปฏิเสธไปสิ บอกว่ามีพี่อยู่แล้วทั้งคน
เขาเงียบไปนาน
แต่ไม่ได้หายไปไหน
สัญลักษณ์ด้านล่างกล่องข้อความ
แสดงให้เห็นว่าเขาก็กำลังพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่เหมือนกัน
งั้นเดี๋ยวผมไปหาได้มั้ย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in