เรากำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ชั้นปีที่ 4 (อย่างที่ได้บอกไป) ซึ่งเป็นปีที่พีคเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิตการเรียน เพราะในเทอมก่อนๆ เรามีเรียนแค่ 6 ตัว แต่เทอมนี้ (ปี 4 เทอม 1) เราเรียนทั้งหมด 7 ตัว ทั้งๆที่ ปี 4 ควรจะมีวิชาที่น้อยลง บอกตามตรงว่า งงมาก กับตรรกะการเรียนปี 4 ด้วยจำนวนวิชาที่เพิ่มขึ้น
แน่นอนว่าเราเป็นเพียงนักศึกษาตาดำๆ ทำได้เพียงทำหน้าโง่ๆ แล้วก้มหน้าเรียนต่อไป โดยไม่มีสิทธิ์ร้องเรียนอะไร เพราะถึงจะร้องเรียนไปสุดท้ายก็ไม่ได้เห็นผลในปีเราอยู่ดี งั้นให้รุ่นน้องโดนเหมือนเราด้วยดีกว่า จะได้มีเพื่อนร่วมชะตากรรม
ผู้อ่าน - โห่ว เลววววววว
อันที่จริง เราก็เป็นพี่ที่ดีนะ ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับอาจารย์เรามักจะพูดถึงเรื่องนี้เสมอ
มีอยู่ช่วงนึง เป็นช่วงที่กำลังจะสอบความคืบหน้าของทีสิส ด้วยความที่งานของกลุ่มเราไม่ได้คืบหน้ามากมาย ทุกครั้งที่อาจารย์พูดและเตือนด้วยความเป็นห่วง เรามักจะพูดเสมอว่า
'อาจารย์ เทอมนี้เราเรียนกัน 7 ตัว แทบไม่มีเวลาทำเลยจารย์ แค่ทำงานของแต่ละวิชา เวลาก็หมดแล้ว'
เห็นป่ะ เราใส่ใจและเป็นห่วงรุ่นน้องขนาดไหน ไม่ว่าเราจะเจออาจารย์คนไหน สนิทหรือไม่สนิท เราก็จะพูดแบบนี้เสมอ บอกเลยว่า รางวัลรุ่นพี่ดีเด่นคงไม่พ้นกลุ่มพวกเราอย่างแน่นอน
ผู้อ่าน - เฮ้ย ! ไปไกลละมึง กลับมาๆ
โอเค กลับมาที่เรื่องของเรา ถ้าตามแผนที่วางไว้ วันนี้เป็นวันที่เราต้องออกเดินทาง แต่... เราไม่สามารถออกเดินทางได้ในช่วงเช้า เนื่องจากต้องส่งไฟนอลโปรเจค แน่นอนว่าเพื่อนร่วมทริปของเรา (อ้อม) ก็มีชะตากรรมเดียวกัน เรากับเพื่อนสนิทในกลุ่ม (มาย) ขับรถไปมอซึ่งอยู่วิทยาเขตบางขุนเทียน ใช้เวลาในการขับรถจากบางมดไป 35 - 45 นาที
เราวางแผนกันว่าจะรีบส่งงานและรีบออก ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมปกติของพวกเรา (ต้องบอกว่าพวกเราเป็นคนที่ใช้สอยเวลาค่อนข้างพิถีพิถัน อะไรที่คิดว่ารอแล้วว่างป่าวมากไป จะไม่รอ และเลือกที่จะรีบทำให้เสร็จ ถึงแม้เราจะบอกว่ามีไอดอลเป็นพี่สล็อต แต่อีกสกิลนึงที่มีคือความเร็วแสง ไม่ว่าจะเรื่องทำงาน ส่งงานหรือ การเดินทาง ค่อนข้างจะคล่องตัว)
พวกเราขับรถไปจอดหน้าตึกภาค แล้วเดินดิ่งไปยังห้องดรออิ้งชั้น 6 ซึ่งเป็นห้องที่ใช้ส่งงาน เรารีบวางงานให้ถูกต้องตามที่อาจารย์บอกแล้วนั่งสังเกตการอยู่ครู่ใหญ่ ซึ่งจากการสังเกตดังกล่าวได้การว่า อาจารย์จะถ่ายรูปงานของเด็กแพทย์ซึ่งส่งงานไปเมื่อวาน แล้วค่อยถ่ายงานของเรา บอกได้เลยว่าถ่ายงาน 1 ชิ้นกินเวลาไปประมาน 10 นาที เรากับมายเห็นพ้องต้องกันว่ามันนานเกินไป จึงตัดสินใจเดินไปหาอาจารย์
มาย - อาจารย์คะ งานอยู่ในนี้หมดแล้ว พอดีเดี๊ยว พวกหนูต้องไปต่างจังหวัดอ่าค่ะ ขอไปก่อนได้มั้ยคะ จองตั๋วไว้แล้วกลัวไปไม่ทัน / มายยื่นแผ่น CD ที่รวมงานไฟนอลทั้งหมดให้อาจารย์
อาจารย์ - งานอยู่ในนี้ หมกแล่วช่ายหม๊ายยยยย (อาจารย์อิมพอร์ตมาจากเกาหลี)
มาย - ใช่ค่ะ
อาจารย์ - อ่อ โอเค โอเค
เราสองคนรีบลุกแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างวินๆ (วีอาร์เดอะแชมป์เปี้ยน มายเฟรนนนนน /เพลงขึ้น พร้อมภาพสโลว)
ตัดภาพมา
เราถึงหอพักตอนประมาน บ่าย 2 โมง ยังมีเวลาเหลือเฟือให้นั่งฟังเพลงเล่นระหว่างนั้น ก็ทักไปถามความคืบหน้าของเพื่อนร่วมทริป เพราะอ้อมอยู่รออาจารย์จนจบ เรานั่งเปื่อยๆ ฟังเพลงไป เช็ครอบรถไป (เราไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า เพราะทริปนี้มันค่อนข้างกระทันหันมาก เลยคิดว่าไปตายเอาดาบหน้าน่าจะสนุกกว่าจองทุกอย่างไว้ก่อน) โดยการโทรไปสอบถามที่ศูนย์บริการ
พนักงาน - สวัสดีครับ !@#$%^&*#$% ยินดีให้บริการครับ
เรา - อยากสอบถามรอบรถหน่อยค่ะ
พนักงาน - จากไหน ไปไหนครับ
เรา - จากกรุงเทพ ไป เลยค่ะ
พนักงาน - วันไหนครับ
เรา - วันนี้ค่ะ
พนักงาน - ไปเลย (หมายถึงจังหวัดเลย) ใช่มั้ยครับ
เรา - อ่อ ใช่ค่ะ ไปเลย (หมายถึงกูจะไปเลยตอนเนี้ย)
พนักงาน - อ่อ ตอนนี้เหลือที่นั่ง 30 - 40 ที่ครับ จองที่เคาน์เตอร์ได้เลยครับ
เรา - โอเคค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
อ่าวสัสคุยกันรู้เรื่องหวะ (ฮ่าๆ) เห็นประโยชน์ของความเป็นไทยกันมั้ยละ ชื่อจังหวัดยังสามารถใช้ได้หลายความหมาย นี้แหละการใช้สอยของคำที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง
ตริ้ง !~
เสียงแชทเฟสดังขึ้น
7.00 PM
อ้อม - เดี๊ยว 20 มึงออกเลย
เรา - เคเค
...
7.20 PM
เรา - ออกละนะ
อ้อม - เค อยู่หน้ามอละ (บางมด)
เราขึ้นแท็กซี่สีชมพู ที่มีสองล้อหน้า สองล้อหลัง กระจกซ้ายขวาอย่างละข้าง ข้างในมีเบาะสำหรับรองรับผู้โดยสาร และมีพว... (พอ!) เราให้โชเฟอร์ขับไปรับอ้อมหน้ามอ แล้วตรงไปหมอชิตโดยไม่แวะจอด แต่สุดท้ายก็ต้องจอดเพราะจำนวนรถที่มีมากบนท้องถนน ทำให้กินเวลาประมาน 1 ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทางก็ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทริปพอเป็นพิธี พลางเช็คของว่ามีอะไรขาดเหลือ หรือควรซื้ออะไรที่หมอชิตก่อนขึ้นรถ ทำนองนั้น
และแล้วรถแท็กซี่สีชมพู ที่มีสองล้อหน่ะ ... (ยัง! ... ยังจะเล่นอีกมึง) ก็พาเรามาถึงหมอชิต พวกเรารีบวิ่งลงจากรถโดยไม่จ่ายตัง เพราะตอนที่เราร่วมกันเช็คของ มันทำให้เรารู้ว่าเราขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากอย่างหนึ่งไปนั่นคือ เงิน ตอนนั้นรวมเงินกันทั้งหมดทั้งมวลมีกันอยู่แค่ 120 บาท ซึ่งไม่พอจ่ายเราเลยตัดสินใจวิ่งออกมา พี่โชเฟอร์ตกใจวิ่งตามมาติดๆ พี่เขาพยายามเรียกพวกเราให้หยุดวิ่ง ด้วยความที่พวกเรากลัว จึงวิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต จนในที่สุดพี่โชเฟอร์ก็เปิดระบบไนตรัสเข้ามาตีข้างลู่วิ่งแล้วบอกว่า ไอสัสส มึงจ่ายกูแล้ว
นั่นแหละค่ะ จริงๆ เราจ่ายพี่โชเฟอร์แล้วเว้ย คิดว่าเราเลวละสิ ที่อ่านเมื่อกี้ก็ลืมๆ มันไปเถอะ (ท่ดท่ด)
กลับมาเริ่มต้นที่เราอยู่หน้าหมอชิต ยืนสตั้นอยู่ประมาน 10 วินาที เพื่อคิดทบทวนว่า กูต้องทำอะไรยังไงก่อน พวกเราเดินเข้าไปในหมอชิตด้วยจิตใจที่งงงวยประดุจเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุงในหัวตอนนั้นคิดวนไปวนมาเพียงแค่ว่า นี้กูต้องไปที่ไหน อะไรยังไง ต้องซื้อตรงไหนวะ
อ้อมคงเห็นว่าไม่ได้การ ถ้ายังเดินลอยไปลอยมาอย่างไม่มีจุดหมายแบบนี้คงไม่ได้ไปแน่ๆ เพื่อนร่วมทริปผู้มีจิตใจห้าวหาญจึงเดินไปถามผู้รู้แถวนั้นว่าจะไปเลยต้องทำยังไง เขาเลยบอกว่าก็ต้องซื้อตั๋วตอนนี้จะได้ไปเลย ไม่ต้องรอ (อีเหี้ย แอดวานซ์) อ้อมเดินไปตบหัวคนตอบแล้ว บังคับให้เขาตอบตามความจริง
ถรุ้ย ! ไม่มีใครในที่นี้กวนตีนไปมากกว่ากูละหละ
เอาใหม่ๆ อ้อมเดินไปถามทางจนในที่สุดก็ได้คำตอบว่าอยู่ชั้น 3 พวกเราเดินขึ้นบันไดกันอย่างคล่องแคล่วตรงขึ้นไปชั้น 3
พี่โบก 1 - น้องๆ ไปไหน บอกพี่ได้
พี่โบก 2 - น้องๆ จะไปไหนครับ ทางนี้เลยครับ
เรา - ไปเลยคะ
พี่โบก 1 - อ่อๆ ซื้อตอนนี้เลยครับ (ยัง ! อีกมึงยังเล่นอีก) / อ่อๆ ช่อง 6 เลยครับน้อง (พี่เขาตอบงี้)
เราสองคนเดินตรงไปที่ช่อง 6 โดยไม่ลังเล
พี่ซิส (คนที่นั่งประจำการอยู่ในจุดบริการขายตั๋วรถ/ชื่อตั้งเอง) - ไปไหนคะ
เรา - ไปเลยค่ะ รอบสามทุ่มครึ่ง
พี่ซิส - ไปเลยคนละ 350 บาท รวมเป็น 700 ค่ะ
เรายื่นเงินให้พี่ซิสแล้วรับตั๋วเป็นอันเสร็จภารกิจการซื้อตั๋วรถทัวร์
ด้วยความหิวพวกเราก็เดินดิ่งไปที่โรงอาหารและกินกันแทบจะกลืนจานลงท้อง หลังจากกินเสร็จพวกเราก็เดินไปที่เซเว่นใกล้ๆ เพื่อดูสิ่งของจำเป็นที่ควรจะซื้อไปกินบนภูกระดึง ระหว่างนั้นเราก็ได้ค้นพบว่า
อ่าว เชี้ยแมร่งมีตั๋วรถทัวร์ที่ถูกกว่า 350 หวะ
ซึ่งกว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเราได้แลกเปลี่ยนเงินให้เป็นตั๋วไปก่อนหน้านี้เรียบร้อย เราได้แต่คร่ำครวญร้องไห้เสียดายตั๋วที่ถูกกว่า แต่ยังโชคดีที่สามารถเปลี่ยนจุดลงรถได้ ทำให้ตั๋วถูกลงไป 20 บาท
ก็ยังดี !
9.00 PM
พวกเรานั่งรอรถที่ชานชาลา อย่างเปื่อยๆ ปล่อยเวลาไปอย่างว่างป่าว ด้วยความที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเพื่อนร่วมทริปมาก ทั้งคู่จึงมีปฏิกริยาอย่างที่คนทั่วไปทำกันเวลาไปไหนมาไหนคนเดียวคือ ก้มหน้ากดโทรศัพท์
9.30 PM
รถทัวร์เข้าเทียบชานชาลา เพื่อให้เรานำสัมภาระไปเก็บในที่เก็บสัมภาระและขึ้นไปนั่งรอ ก่อนรถจะออก ปรากฏว่าทั้งคันมีคนโดยสารอยู่ประมาน 11 คนโดยประมาน
9.50 PM
รถเพิ่งออกจากชานชาลาอย่างช้าๆ ตอนนั้นเรากับอ้อมก็ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยในเรื่องที่ถูกคอ รวมถึงแชร์ประสบการณ์ในการเรียนมหาลัย เหมือนว่าบทสนทนาในครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของมิตรภาพดีดี ระหว่างทางนั่นเอง
ด้วยความเหนื่อยล้าของอ้อม ทำให้อ้อมหลับไประหว่างทาง คงมีแต่เราที่ยังรู้สึกตื่นเต้น โดยไม่อาจละสายตาไปจากสิ่งที่ผ่านมาบนหน้าต่างรถได้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in