อยากที่ฉันเคยบอกไปแล้วว่าฉันเริ่มจะค้นหาวิธีฆ่าตัวตายทางอินเทอร์เน็ตแต่ทุกวิธีย่อมมีข้อจำกัดที่ฉันเองก็เกินจะรับมือไหว เช่น กระโดดตึกฉันจะไปกระโดดที่ไหนล่ะ ฉันไม่อยากตายไปแล้วเป็นข่าวให้คนมาคอมเมนต์ด่านี่, แขวนคอที่ไหนดี ห้องฉันมีขื่อซะเมื่อไหร่, กินยาฆ่าแมลง ฉันจะตายในสภาพน้ำลายฟูมปากเหรอหรือใช้ปืนยิงหัวดี แต่ปืนเถื่อนแพงจังเลยไม่มีเงินหรอก
อยู่ ๆ หัวสมองของฉันก็คิดถึงเรื่องเมื่อสมัยมอสี่ในคาบชีวะฯที่มีการผ่าปอดและหัวใจหมูจำได้ว่าสัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์เป็นสัปดาห์แห่งการจองปอดหมู (ที่สมบูรณ์)จากร้านขายเนื้อในตลาด คิดดูสิว่าห้องสายวิทย์ฯ 1ห้องมี 10 กลุ่ม โรงเรียนฉันมีห้องสายวิทย์ 7ห้องก็เท่ากับมีคนต้องการปอดและหัวใจหมูในสภาพที่สมบูรณ์ถึงอย่างละ 70ชิ้น ถ้าไม่มีเส้นสายในวงการตลาดค้าหมูจริง ๆ คงไม่ได้มาและโชคดีมากที่สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มของฉันสนิทกับคนขายเนื้อหมูในตลาดเลยได้ปอดและหัวใจหมูมาในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด มีทั้งหลอดลม หลอดอาหารและเส้นเลือดดำ-แดงครบถ้วน
วันที่ต้องเข้าแลปอาจารย์แจกมีดผ่าตัดให้นักเรียนกลุ่มละ2 เล่ม เพื่อหลังจากที่ทดสอบการหายใจเข้าออกของปอดเสร็จแล้วจะได้ผ่าดูชิ้นส่วนข้างในฉันรับหน้าที่เป็นคนผ่าหัวใจหมูเอง เพื่อดูลิ้นหัวใจและความหนาของห้องหัวใจต่าง ๆ ฉันจำความรู้สึกได้ในตอนนั้นเลยว่าทันทีที่ลงมีดบนหัวใจหมูกล้ามเนื้อหัวใจมันแยกตัวออกจากกันง่ายมาก ฉันใช้แรงกดแค่ไม่เท่าไหร่ผนังหัวใจห้องล่างขวาก็แทบทะลุเลือดที่ยังค้างอยู่ในหัวใจหมูทะลักออกมาเล็กน้อย ความทรงจำครั้งนั้นบวกกับความทรงจำตอนที่ฉันเคยดูMV เพลง Don’t Look Back ของ KissingCousins[1]ทำให้ฉันตัดสินใจสั่งซื้อมีดผ่าตัดมาเพื่อจบชีวิตตัวเอง
การหาซื้อมีดผ่าตัดไม่ใช่เรื่องยากแต่ฉันจะบอกไว้เลยว่าการฆ่าตัวตายด้วยมีดผ่าตัดนั้นยากกว่า ฉันรอของมาส่งประมาณ 3-4 วันทำการ ระหว่างนั้นฉันรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากได้กลิ่นไม่อยากมองเห็นหรือรับรสอะไรทั้งนั้น ฉันอยากปลีกตัวเองออกมานั่งเงียบ ๆ คนเดียวในห้องแคบๆ มืด ๆ ไม่ต้องมีใครมายุ่งเกี่ยวแต่ฉันทำอย่างนั้นได้เสียเมื่อไหร่ในเมื่อฉันยังต้องทำงานระหว่างทำงานก็นั่งร้องไห้และเช็ดน้ำตาป้อย ๆ อยู่หน้าคอมเครื่องเดิมฉันใช้หูฟังชนิดกลบเสียงรอบข้างมาอุดหูแทน Ear plugs แต่มันก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนักหรอกเสียงของเพื่อนร่วมงานทำให้ฉันหงุดหงิดได้แม้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเพียงเสียงกระแอมเล็กน้อยก็ตาม
ประมาณ 3-4 วันหลังจากที่ฉันสั่งซื้อมีดผ่าตัดทางอินเทอร์เน็ตของก็มาถึงที่คอนโดโดยสวัสดิภาพฉันรีบแกะห่อและศึกษาวิธีการใส่ใบมีดและถอดใบมีดออกจาก Youtube มันไม่ง่ายเลย ฉันนับถือใจพวกพยาบาลที่ต้องทำอย่างนี้ทุกวี่ทุกวันจริง ๆ นอกจากศึกษาเรื่องการใส่ใบมีดแล้วฉันยังซื้ออุปกรณ์ทำแผลเอาไว้พร้อมสรรพ ทั้งแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ, น้ำเกลือ,ยาสมานแผล, สำลี, ผ้าก๊อซ, สก๊อตเทปทำแผลเอาเป็นว่าฉันพร้อมทำแผลทุกขั้นตอนเพื่อไม่ให้แขนตัวเองเน่าถ้าการฆ่าตัวตายมันไม่สำเร็จ
ฉันใส่ใบมีดลงไปในด้ามมีดแล้วค่อยๆ กรีดลงบนข้อมือช้า ๆ ตามแนวยาว(เขาว่ากันว่าถ้ากรีดตามแนวยาวจะเสียเลือดมากกว่ากรีดตามแนวขวางแบบในละคร)ความรู้สึกที่ได้คือ เจ็บและผิดหวัง เพราะมันไม่ง่ายเหมือนกรีดหัวใจหมูต่อให้ออกแรงเท่ากันผลที่ได้ก็คือเลือดซึมออกมาเล็กน้อยตามรอยมีดเท่านั้นฉันเริ่มเรียนรู้ว่าวิธีนี้ไม่ง่ายและมันคงไม่ใช่วิธีการฆ่าตัวตายของฉันแล้วล่ะทั้งนี้ทั้งนั้นทะเลแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายมันเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง
นี่สิคือสิ่งที่สมควรเจอความเจ็บและเลือดออก
เมื่อฉันมองเลือดที่ค่อยๆ ซึมออกมาฉันกลับรู้สึกพอใจ สบายใจ ผ่อนคลายมันเหมือนกับว่าฉันสมควรได้รับสิ่งนี้มาตั้งนานแล้วความเจ็บนี้คือสิ่งที่ฉันต้องการ ไหน ๆ ก็ไม่ตายแล้วฉันก็ขอใช้ประโยชน์จากมีดผ่าตัดนี้ในการหาความสบายใจให้กับตัวเองหน่อยเถอะ
ฉันใช้มีดผ่าตัดกรีดลงบนขาอ่อนเป็นรอยยาวประมาณ10 เซนติเมตรเลือดสีแดงสดไหลออกมาช้า ๆ ฉันกรีดอีกรอยใกล้ ๆ กันห่างกันประมาณ 3 มิลลิเมตร ฉันทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนมีรอยมีดผ่าตัดประมาณ 10 รอยเห็นจะได้ ฉันทำอย่างนี้ทุกคืนก่อนนอน จาก 10 เซนติเมตรเป็น15 เซนติเมตร จาก 10 แผลกลายเป็น 20แผล และล้างแผล ทายาทุกครั้งหลังใช้มีดผ่าตัดเพื่อให้แน่ใจว่าแผลจะไม่เน่าหรือติดเชื้อโรค ผู้หญิงทั่วไปอาจจะทาครีมใช้โทนเนอร์ทาหน้าก่อนนอน แต่สำหรับฉันใช้แอลกอฮอล์ ทายาสมานแผลแทน
ทุกวันที่ฉันไปทำงานฉันจะทำแผลก่อนออกจากบ้านทุกครั้งพันแผลอย่างดีและใส่กางเกงปิดมิดชิดเพื่อไม่ให้ใครเห็นไม่มีใครรู้ว่าภายใต้กางเกงขายาวนั้นมีร่องรอยที่แสดงถึงบาดแผลจากความชั่วร้ายในจิตใจของฉันอยู่ส่วนรอยแผลที่ข้อมือก็หายดีแล้วมันน่าเหลือเชื่อมากที่รอยกรีดจากมีดผ่าตัดเมื่อหายแล้วมันจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยเหมือนที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
วันที่ 13 มกราคมฉันไปพบจิตแพทย์อีกเป็นครั้งที่ 3 ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้หมอฟังทั้งเรื่องที่ฉันกังวลเกี่ยวกับโรคและเรื่องที่ฉันทำร้ายตัวเอง
“คนที่เป็น OCD นี่มีโอกาสหายไหมคะหมอ?”ฉันถามหมอภายในห้องตรวจหมายเลขห้าที่เดิม
“คุณมีโอกาสดีขึ้นได้นะครับ ด้วยการกินยาและออกกำลังกาย”หมอ C ตอบแบบกล้อมแกล้ม
“มันมีกี่เปอร์เซ็นต์คะที่หายจากโรค OCD และมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต” ฉันคะยั้นคะยอ
“อืม...ถึงแม้มันจะน้อยแต่ก็มีเปอร์เซ็นต์ของคนที่หายนะครับ”
“ฉันต้องกินยาไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ” ฉันเริ่มร้องไห้โฮ หมอกุลีกุจอหากระดาษทิชชู่มาให้ฉันใช้
“ยาพวกนี้เป็นตัวที่ช่วยทำให้คุณอาการดีขึ้นได้เร็วขึ้นแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คุณหายขาดจากโรคไปเลยสิ่งที่คุณต้องทำคืออยู่กับมันยังไงไม่ให้มันมารบกวนชีวิตคุณและออกกำลังกายก็เป็นวิธีทางธรรมชาติที่จะช่วยเรื่องนี้ด้วย”
“แต่ภาพพวกนั้นมันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในหัวสมองนะคะทำไมฉันต้องอนุญาตให้มันมาอยู่ในสมองของฉันด้วย ฉันไม่ชอบมันฉันเกลียดมันและอยากกำจัดมัน” ฉันร้องไห้หนักขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงขยะแขยง
“คุณ L ความวิตกกังวลและภาพพวกนี้มันก็เหมือนโรคหวัดไม่มีใครอยากเป็น ไม่มีใครชอบ แต่บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเป็นแล้วเราก็ต้องหาทางรักษากันไป”
“ค่ะ” ฉันตอบหมอไปแค่นั้นแล้วเช็ดน้ำตา
มีบางมุมที่ฉันเห็นด้วยแต่มีบางมุมที่ฉันก็ยังเถียงหมอในใจ หวัดน่ะถึงจะไม่มีใครอยากเป็นแต่มันก็เป็นโรคที่รู้สาเหตุและป้องกันได้ ออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินผลไม้ที่มีวิตามินซีให้เพียงพอ ไม่ตากฝนแค่นี้โอกาสเป็นหวัดมันก็น้อยลงแล้ว แต่โรค OCD สาเหตุที่แน่ชัดก็ไม่มีจะป้องกันยังไงก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นไปแล้ว และต้องประคับประคองให้สภาพจิตใจดีขึ้นแค่นั้นเอง
จิตแพทย์เคยบอกฉันเอาไว้ว่า ‘วิธีที่คุณจัดการกับอารมณ์ของคุณก่อนหน้านี้น่ะถูกต้องแล้วนะครับ’ คือก่อนหน้านี้ฉันใช้วิธีนอนร้องไห้คนเดียวในห้องนอนอยากร้องเท่าไหร่ก็ร้องไปเลย กระดาษทิชชู่ฉันมีเยอะแยะ แต่หลังจากที่บอกหมอไปเรื่องมีดผ่าตัดหมอก็เปลี่ยนความคิด
“คุณแค่กำลังรู้สึกอึดอัดและต้องการปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เอาอย่างนี้นะครับ หยุดทำร้ายตัวเองอย่างนี้แล้วไปซื้อลูกบอลลูกเล็ก ๆ ขนาดพอดีมือมาลูกหนึ่งทีนี้เวลาคุณรู้สึกอึดอัดก็ให้คุณบีบมันระบายความรู้สึกทั้งหมดไปลงที่ลูกบอลลูกนั้นหรือถ้าคุณอยู่ในห้องคนเดียวคุณจะปามันก็ได้โยนมันออกไปจากตัวให้เหมือนคุณโยนความเครียดและความกังวลทิ้งไป”
จากการที่ฉันเริ่มทำร้ายตัวเองรวมถึงมีอาการหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลาหมอจึงวินิจฉัยว่าฉันมีความกังวลในระดับที่มากกว่าปกติครั้งนี้หมอจึงเปลี่ยนยาจากยา Serlift เป็นยา Esidep ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม SSRIs เหมือนกัน แต่มีฤทธิ์คลายกังวลร่วมด้วย อีกอย่างหมอยังเปลี่ยนยาจากยา Tranavanซึ่งเป็นยานอนหลับชนิดแก้เครียด เป็นยา Polizep ยานอนหลับชนิดคลายกังวล เอาไว้กินก่อนนอนนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้หาหมอแบบ 5 อาทิตย์ครั้งหมอนัดฉันถี่ขึ้น เป็น 2 อาทิตย์ครั้ง
หลังจากพบหมอฉันก็ไปหาซื้อลูกบอลที่ว่านั่นมาจากร้านขายเครื่องมือการแพทย์ราคาประมาณ 50 บาท ฉันบีบมันนะ โยนมันด้วยแต่มันไม่ช่วยอะไรเลย ฉันยังคงใช้มีดผ่าตัดต่อไป ขาของฉันเต็มไปด้วยแผลสีแดงสดก่อนนอนทุกคืนมันยาวขึ้น ใหญ่ขึ้น และลึกขึ้น
[1]https://www.youtube.com/watch?v=f8VipR7FBG4
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in