เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ชายผู้ช่วยชีวิต
  • ฉันไม่รู้ว่าจากหยดน้ำหนึ่งหยดกลายเป็นทะเลความคิดที่เอ่อล้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ตัวอีกทีสมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฉันก็แทบจมลงไปอยู่ใต้ก้นทะเลลึกเสียแล้วฉันเข้าไปเรียนในสาขาวิชาที่เกลียดมากด้วยความบังเอิญนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันจิตตกไปแล้วครึ่งหนึ่งเมื่อต้องคิดว่าฉันต้องเสียเวลาเรียนสิ่งเหล่านั้นไป 4ปีและอาจต้องใช้ชีวิตทำงานที่เกี่ยวข้องกับมันไปอีกทั้งชีวิตยิ่งคิดถึงอนาคตมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้นจินตนาการของฉันล้ำหน้ายิ่งกว่าระยะทางที่มนุษย์สามารถออกไปสำรวจอวกาศเสียอีก

                วันที่เด็กมอ 6กว่าครึ่งประเทศเฝ้ารอหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าตัวเองติดคณะที่เลือกไว้หรือเปล่าฉันกังวลมากจนหัวหมุน หายใจไม่ทั่วท้องและแทบอ้วก แต่จะทำได้ยังไงก็ในเมื่อวันนั้นทั้งวันฉันกินอะไรไม่ลงสักอย่าง(ฉันมารู้ทีหลังว่ามันคือภาวะวิตกกังวลจากโรคทางจิตเวช) ฉันเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คทิ้งไว้แล้วกระโดดเชือกรอเวลา5 โมงเย็นฉันใช้ความเหนื่อยจากการออกกำลังกายกลบกลิ่นความกังวลที่ตลบอบอวลในหัวสมองของฉัน

                เมื่อถึงเวลา 5 โมงฉันกดรีเฟรชหน้าจอ1 ครั้งและน้ำตาก็เอ่อล้น ไม่ใช่เพราะความดีใจแต่เป็นความเสียใจอย่างที่สุดต่างหาก ฉันติดสาขาวิชาที่เกลียดที่สุดแต่จำไม่ได้แล้วว่าตอนเลือกสาขาวิชานี้ฉันคิดอะไรอยู่ฉันวิ่งไปบอกแม่ที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว

                ม้า ติดสาขาวิชาภาษาไทยนะฉันได้ยินเสียงแม่ทำตะหลิวหล่นจากมือดัง เคร้ง!

                อืมแม่พูดออกมาแค่นั้น

    ในตอนนั้นฉันไม่แน่ใจว่าน้ำตากับน้ำแห่งความคิดชั่วร้ายอะไรมันมากมายกว่ากันฉันวิ่งร้องไห้ไปบอกลูกพี่ลูกน้องที่ฉันเคารพคนหนึ่ง

    ติดก็ดีแค่ไหนแล้วเรียน ๆ ไปเถอะฉันร้องไห้อยู่หลายวันมากจากคำพูดประโยคนั้น

    ฉันมันเป็นลูกสาวที่ไม่ดีที่ทำแม่ผิดหวังอีกแล้ว

    ถึงอย่างนั้นฉันก็ทนฝืนเรียนสาขาวิชานี้ต่อไปเพราะการไปเรียนแลกเปลี่ยนของฉันทำให้ตอนนั้นฉันแก่เกินกว่าจะมานั่งเลือกคณะแอดมิดชั่นใหม่แล้ว

                ทันทีที่เริ่มเรียนวันแรกความสดใหม่ของการเรียนและสังคมใหม่ ๆ ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของฉันออกไปจากความคิดชั่วร้ายได้แล้วฉันเกลียดสาขาวิชานี้(ไม่ได้หมายความว่าฉันอคติต่อประเทศไทยหรือเป็นพวกชังชาติแต่อย่างใดแค่ความชอบของฉันมันไม่ได้อยู่ที่ภาษานี้เท่านั้นเอง)ในหัวของฉันมีแผนการฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา ฉันวางแผนเอาไว้ว่า

                หลังจากเรียนจบฉันจะฆ่าตัวตายทันทีไม่ว่าด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง เพราะการเสียเวลา 4ปีกับการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบมันก็นักหนาพออยู่แล้วฉันไม่สามารถเอาความรู้พวกนั้นมาทำงานได้อีก

                    สาขาวิชาที่ฉันเรียนอยู่จำเป็นต้องใช้การอ่านการจินตนาการมากกว่าสาขาวิชาไหน ๆ นั่นเป็นพฤติกรรมที่เอื้อให้อาการย้ำคิดของฉันมันแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ในสมองของฉันว่างเปล่าภาพความตายและความเจ็บป่วยของคนรอบข้างจะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยจากภาพเลือนรางกลายเป็นภาพที่ชัดขึ้น จากภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวจะมีใครสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่อยู่ ๆ ก็นั่งร้องไห้ในรถไฟฟ้า, ขณะกินข้าวขณะอ่านหนังสือ หรือขณะนั่งเฉย ๆ ได้มากเท่าฉันคงไม่มีอีกแล้วในหัวสมองของฉันมันมีแต่ภาพและความคิดว่า

                ถ้าวันนี้รถคันนี้เกิดอุบัติเหตุฉันจะตายเลยไหมหรือต้องพิการไปตลอดชีวิต แล้วภาพฉันพิการตาบอด ขาหักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ฉายขึ้นมา

                ในขณะที่ฉันมีข้าวมีอาการกินอย่างอร่อยพ่อแม่ของฉันตอนนี้จะกินอะไรอยู่นะและภาพพ่อแม่ของฉันในสภาพอดอยากยากไร้เป็นขอทานข้างถนนก็ฉายออกมา

                ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความคิดไร้สาระและเป็นไปไม่ได้รถรางไฟฟ้าที่ฉันนั่งไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยในประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยใช้งานมาและพ่อแม่ของฉันก็ไม่ได้อดอยาก อาหารที่ท่านกินทุกวันนี้ดีกว่าของฉันหลายสิบเท่าแต่ภาพไร้เหตุผลพวกนั้นก็ทำฉันน้ำตาไหลได้ทุกครั้งไป

    ตอนนี้ฉันเรียนจบมานานแล้วและลมหายใจฉันยังปกติดีอยู่การที่ฉันยังมีลมหายใจมาเขียนเล่าถึงภาพในสมองของตัวเองได้จนถึงทุกวันนี้ฉันขอขอบพระคุณ ชายผู้ช่วยชีวิตของฉัน เขาคืออาจารย์ท่านหนึ่งในสาขาวิชาภาษาไทยท่านเป็นอาจารย์สอนภาษาศาสตร์[1]ที่เก่งมากคนหนึ่งสามารถสอนเรื่องที่ฉันไม่เคยเรียนมาก่อนให้เข้าใจได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงอย่างที่เคยบอกฉันเข้าเรียนในสาขาวิชาที่ฉันเกลียดมากที่สุดในชีวิตด้วยความบังเอิญ(บังเอิญว่าไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงเลือกสาขานี้)เทอมแรกแทบจะฆ่าตัวตายไปเสียแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าไม่น่าจะรอให้เรียนจบได้ไหวแต่เมื่อได้เรียนภาษาศาสตร์กับอาจารย์ท่านนี้แล้ว ความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปภาษาศาสตร์มันเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยเรียนและไม่เคยรู้มาก่อนความสนใจของฉันในชั้นปีแรก ๆ มุ่งไปที่การเรียนภาษาศาสตร์ทั้งหมดช่วงปีแรกนั้นภาพเลวร้ายในหัวของฉันมันยังอยู่แต่ไม่สามารถเข้ามาแย่งพื้นที่ความสนใจในภาษาศาสตร์ได้เลยตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็พยายามบอกตัวเองว่า

    ชีวิตของฉันมีไว้เพื่อเรียนภาษาศาสตร์เท่านั้น

    อาจารย์เหมือนเป็นคนที่มาอุดรอยรั่วของสันเขื่อนด้วยปูนคุณภาพดีที่ชื่อว่าการเรียนภาษาศาสตร์ และนั่นคือการช่วยชีวิตของฉันไว้ได้ครั้งแรกของชายคนนี้ โดยที่ท่านไม่รู้ตัวเลย

    ถ้าคุณสนใจด้านนี้จริงๆ ผมแนะนำให้เรียนต่อด้านภาษาศาสตร์บริสุทธิ์[2]นะ”อาจารย์เคยพูดอย่างนี้กับฉันครั้งหนึ่งในขณะที่ฉันคิดไว้ว่าชีวิตของฉันจะจบลงแค่ตอนเรียนจบ แต่ในหัวของท่านมองเห็นอนาคตของฉันได้ไกลกว่าตัวฉันเองเสียอีก

    ชีวิตฉันเหมือนจะดีทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่แล้วเมื่อจบปีที่ 2ชายผู้ช่วยชีวิตของฉันต้องลาสอนเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ ทันทีที่รู้ข่าวจินตนาภาพที่เคยอุดเอาไว้ก็เริ่มซึมออกมา

    ต่อไปถ้าไม่มีอาจารย์มาสอนแล้วและฉันเรียนแย่ลงล่ะ พ่อแม่ต้องไม่พอใจแน่เลย และภาพฉันยืนโดดเดี่ยวในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ฉายซ้ำไปซ้ำมาในสมอง

    ปูนคุณภาพดีที่ชื่อว่าภาษาศาสตร์ เริ่มเสื่อมสภาพ มันค่อย ๆ หลุดร่อนออกทีละเล็กละน้อย น้ำแห่งความคิดชั่วร้ายพุ่งปรี๊ดออกมาอย่างต้านเอาไว้ไม่อยู่ฉันพยายามประคับประคองชีวิตไว้ด้วยการเรียนภาษาศาสตร์กับอาจารย์ท่านอื่นและฉันพบว่าฉันเรียนได้ไม่ดีเลยสมาธิและสติที่เคยเอาชนะภาพเลวร้ายได้มันเริ่มจางหายไปช้า ๆ ภาพที่เคยอยู่นอกกรอบความสนใจและขุ่นมัวเริ่มชัดเจนปูนยี่ห้อภาษาศาสตร์ไม่สามารถเอามาอุดรอยรั่วได้อีกต่อไป

    ไม่เห็นจะทำได้ดีเหมือนเมื่อก่อนเลย

    นึกว่าจะทำได้เสียอีก

    คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่ฉันได้ยินมาจากอาจารย์บางท่าน

    เมื่อถึงชั้นปีสูงขึ้นเป็นปกติที่นักศึกษาจะเคร่งเครียดกับวิจัย, สัมมนา หรือตัวจบ จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่อาการย้ำคิดของฉันเหมือนน้องน้ำขนาดมหึมาที่นักพยากรณ์อากาศทำนายว่าจะไหลจากภาคเหนือลงมาท่วมกรุงเทพทุกปีแต่น้องน้ำในสมองฉันไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้มันพร้อมจะแย่งพื้นที่ความคิดของฉันได้ตลอดเวลาจากการที่ภาพโปรเจคเตอร์มันฉายขึ้นมาให้ฉันดูเฉย ๆ มันเหมือนจะสามารถบังคับให้ฉันทำอะไรสักอย่างเพื่อสนองภาพที่เห็นนั้น

    เรื่องนี้ทำให้ฉันกังวลมากอาการหายใจไม่ทั่วท้องและเวียนหัวพะอืดพะอมหนักขึ้น ฉันไม่กล้านั่งเรียนริมหน้าต่างด้วยซ้ำไม่ใช่ว่าเพราะกลัวความสูง แต่เป็นเพราะเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างทีไรความคิดของฉันมันเหมือนจะมีคำสั่งประหลาด ๆ ออกมา

    กระโดดลงไปสิกระโดดลงไปเลย  ภาพเลือดทะลักออกมาจากศีรษะและคอหักปรากฏขึ้นมาชัดเจนในหัวหรือถ้าเดินข้ามถนนและมีรถขับผ่านมาขาของฉันมันเหมือนจะก้าวออกไปตัดหน้ารถคันนั้นเสียให้ได้หรือมีเสียงในหัวดังขึ้นมา

    เบรกแตกสิหักเลี้ยวมาชนฉันให้กระเด็นเลย ทุกครั้งที่ข้ามถนนไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่หัวใจฉันเต้นรัวเหมือนกลองรบเพราะต้องห้ามเสียงในสมองและขาตัวเองไม่ให้วิ่งพุ่งออกไปกลางถนน

    สักประมาณปี4 เทอม 2 เท่าที่ฉันพอจะจำได้ ฉันเรียนวิชาภาษาศาสตร์ทุกตัวหมดแล้วไม่ว่าจะกับอาจารย์คนไหนก็ตาม ตัวจบฉันก็ส่งตั้งแต่ปี 4 เทอมแรกแล้วฉันเพียงแต่ลงเรียนเก็บตัววิชาโทและตัวเสริมอื่น ๆ เท่านั้นฉันจำความรู้สึกได้เลือนรางว่าตอนนั้นชีวิตฉันเหมือนซอมบี้เดินได้ไม่มีความสนุกที่แท้จริง ไม่มีความรู้สึกอยากได้อยากมี หรืออยากหายใจอีกต่อไปทุกวันหลังเรียนเสร็จและกลับไปถึงหอพักสิ่งที่ฉันทำก็มีแต่นอนมองเพดานสีขาวอันว่างเปล่าตาของฉันเหมือนเป็นเลนส์ฉายภาพความตายความโหดร้ายทารุณทุกรูปแบบลงบนเพดานสีขาวนั้นภาพทุกอย่างมันช่างชัดเจนจนฉันน้ำตาไหล ฉันนอนร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวและจ้องมองภาพเหล่านั้นทุกวันๆ ฉันเริ่มทำร้ายตัวเองเป็นครั้งแรกด้วยการใช้คัตเตอร์กรีดลงไปบนฝ่ามือขวาเบา ๆ จนเป็นร่องน่ากลัวเมื่อเลือดไหลซึมออกมาจนฉันพอใจแล้ว ฉันก็เก็บคัตเตอร์และทายาสมานแผลอย่างดีฉันทำอย่างนี้ทุกวันก่อนนอนเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันผู้หญิงคนอื่นอาจจะทาครีมทาเซรั่มก่อนนอน แต่ฉันกรีดฝ่ามือและทายาก่อนนอนจนวันหนึ่งเพื่อนทักขึ้นมา

    มือเธอด้านอย่างกับคนไถนาเลยนั่นแหละฉันถึงตัดสินใจเลิกทำร้ายตัวเองด้วยมีดคัตเตอร์ไปเลยและเปลี่ยนไปใช้วิธีกินยาแก้แพ้ Chlorpheniramine ยาชนิดนี้ใช้รักษาอาการแพ้จากผื่นคันลมพิษ อาการน้ำมูกไหลจากโรคหวัด กินเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดอาการง่วงนอนคลื่นไส้อาเจียนและเบื่ออาหารได้[3] ช่วงแรกฉันหาซื้อยาชนิดนี้มากินเพราะนอนไม่หลับในหัวสมองมีแต่ความคิดด้านลบวนเวียนอยู่ตลอดเวลา เพื่อนคนหนึ่งจึงแนะนำให้ไปซื้อยาแก้แพ้มากินแทนยานอนหลับ

    วันแรกที่เริ่มกินฉันกินไปเพียง1 เม็ด ยาออกฤทธิ์ดีมาก ฉันหลับสนิทและไม่มีภาพในหัวมากวนใจอีกเลยแม้แต่ในความฝัน แต่วันต่อ ๆ มายาเพียง 1 เม็ดมันกลับไม่ได้ผล ฉันจึงเพิ่มขนาดยาขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 5 เม็ด 10 เม็ด 20 เม็ด จนกระทั่งถึงคืนละ1 ขวด ทุกวันที่ไปเรียนฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือสมองเบลอ  ไม่มีสมาธิ เรียนไม่รู้เรื่องและต้องกินกาแฟอย่างน้อย 3 แก้วต่อวันเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่น ชีวิตของฉันวนลูปอยู่กับกาแฟและยาแก้แพ้ไปหลายเดือนจนกระทั่งฉันกินยาพาราเซตามอลเข้าไปด้วย ฉันหวังเพียงว่าฉันจะหลับไปนานที่สุดนานเสียจนไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย(การกินยาพาราฯเกินขนาดไม่ทำให้คุณตายทันทีเหมือนในละครแต่จะส่งผลเสียต่อตับในระยะยาว[4]และก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตพอๆ กับโรคทางจิตเวช ขอให้คุณพึงระลึกถึงความจริงนี้ไว้เสมอ หากคุณกำลังคิดฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพาราฯ)

    ไม่เอาแล้วล่ะไม่อยู่อีกแล้ว เมื่อฉันตัดสินใจอย่างนั้น

    ชายผู้ช่วยชีวิตก็กลับมา

    อาจารย์ภาษาศาสตร์ที่เคยช่วยชีวิตฉันไว้ได้ครั้งหนึ่งท่านกลับมาเก็บข้อมูลเพื่อทำตัวจบปริญญาเอกฉันเจออาจารย์โดยบังเอิญที่ใต้อาคารเรียน และเสนอตัวช่วยท่านเก็บข้อมูลทุกขั้นตอนอย่างไม่ลังเลเลยตอนนั้นเองที่ฉันมีอะไรให้ทำนอกจากการเรียน ฉันคลุกคลีกับภาษาศาสตร์อีกครั้งได้ทดลองทำอะไรสนุก ๆ เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานวิจัยของอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นการทำการทดลองในกลุ่มผู้ช่วยงานวิจัยกันเอง, การถ่ายภาพเคลื่อนไหวเพื่อใช้ประกอบการเก็บข้อมูลและการหาคำศัพท์จากหนังสือเรื่องที่อาจารย์จะเก็บข้อมูล (ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ฉันใช้หนังสือเวลาในขวดแก้วและเพลง Time in a Bottle ของ Jim Croce เป็นกำลังใจในบางเวลาที่ฉันหดหู่) สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะเหนื่อยแต่มันก็เหมือนอาจารย์ใช้ผ้าสะอาดยี่ห้อภาษาศาสตร์มาซับน้ำออกไปจากจิตใจที่เปียกปอนไปด้วยน้ำแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายของฉันอาจารย์ช่วยชีวิตฉันไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สองทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็ไม่รู้ตัวอีกเช่นเคย

    “เรียนจะจบแล้วใช่ไหมเนี่ยคิดจะเรียนต่อไหมคุณ”

    “เอ่อ...ยังไม่ทราบเลยค่ะ”

    จะให้ฉันบอกได้ยังไงว่าเรียนจบสำหรับฉันมันก็หมายถึงจบชีวิตตัวเองเช่นกันในความคิดของอาจารย์วาดอนาคตของฉันไว้ว่ายังไงนะทำไมมันถึงดูสว่างสดใสกว่าความคิดของฉันมากขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นชีวิตของฉันแท้ๆ

    “คุณเรียน4 ปีใช่ไหมเนี่ย สมัยผมเรียนนะ ผมมัวแต่เรียนซัมเมอร์จะได้จบเร็ว ๆ ผมเสียดายเวลามากเลยรู้อย่างนี้น่าจะไป Work and Travel เหมือนเพื่อนคนอื่นก็ยังดี”อาจารย์เหมือนพยายามใบ้ไอเดียอะไรบางอย่างออกมา และแล้ววันหนึ่ง

    “แก...ไปสมัครWorkand Travel เป็นเพื่อนหน่อย” เพื่อนคนหนึ่งชวนฉัน และฉันก็ได้ไปอีก

    ฉันได้ทำงานในดินแดนในจินตนาการที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะมายืนตรงจุดนี้ หน้าที่ของฉันคือขายสินค้า, ยิ้ม,สร้างความบันเทิงให้ลูกค้า, สร้างช่วงเวลาแห่งเวทมนต์ให้พวกเขาทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันต้องทำมันดึงดูดพลังงานของฉันไปมากในแต่ละวันตลอดสามเดือนสิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกค่อนข้างมีความสุขคือการเที่ยวคนเดียวเดินคนเดียวโดยที่ไม่ต้องพูดกับใคร

    Work and Travel ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนค่ะอาจารย์” ฉันอยากกลับไปบอกอาจารย์อย่างนี้แต่ก็ไม่ได้ทำ



    [1]ภาษาศาสตร์คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาส่วนประกอบต่างๆของภาษา เช่น กลุ่มเสียง กลุ่มคำประโยคและข้อความ

    [2]Pure Linguistics หรือ GeneralLinguistics คือภาษาศาสตร์ที่ศึกษาเฉพาะภาษาโดยตรงโดยที่ไม่เชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆ

    [3] อภัยราษฎรวิจิตร, ภก. ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine).

    [4] สัมมนโฉมฉาย, ผศ.นพ. ภาวะพิษจากพาราเซตามอล.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in