เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
รอยแผล
  • ฉันกลับมาคอนโดกับแม่ทั้งๆ ที่ในหัวยังเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

                นี่ฉันอาการดีขึ้นแล้วเหรอ?

              หมอ J อยู่ไหน?

              ใครจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาฉันในขณะที่ฉันหาหมอJ ไม่เจอ?

                ช่วงแรก ๆ ที่ฉันออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอกมันมีอาการหนึ่งที่ฉันตั้งชื่อเองว่า อาการติดหมอมันคืออาการที่ผู้ป่วยต้องการจะเจอหมออยู่ตลอดเวลา,เรียกร้องให้หมอคนเดิมพูดคุยด้วยนาน ๆ หรืออยากเป็น Someone ในชีวิตของหมอที่กำลังรักษาอยู่อาการเช่นนี้ไม่ใช่เกิดกับผู้ป่วยที่เพิ่งกลับบ้านเท่านั้นฉันเคยเห็นเพื่อนผู้ป่วยในวอร์ดถึงกับชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กดื้อเพียงเพราะต้องการให้หมอเจ้าของไข้มาคุยด้วย

                ช่วงแรก ๆ ในแต่ละวันสมองของฉันมีแต่ภาพหมอJ และเรียกร้องหาหมอ J อยู่ตลอดเวลา แม่ของฉันต้องเจอคำถามว่า หม่าม้าว่าตอนนี้หมอJ จะอ่านจดหมายรึยัง? หรือ หม่าม้าว่าตอนนี้หมอ J กำลังทำอะไรอยู่? อาการติดหมอของฉันไม่ได้เกิดขึ้นกับหมอ V ผู้ที่ส่งฉันออกมาเผชิญโลกภายนอกทั้งๆ ที่ฉันยังไม่พร้อมแต่อย่างใด ฉันยังรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดถึงหมอ Vอีกด้วย

                บ่ายวันหนึ่งที่ฉันกำลังนั่งว่าง ๆ อยู่คนเดียวในดอนโดภาพในหัวของฉันคือภาพฉันตายจมกองเลือดอยู่บนถนนฉับพลันฉันก็คิดไปถึงเลือดและความเจ็บปวด ฉันค่อย ๆ เอามือลูบที่รอยสักรูปแมวที่ขาอ่อนข้างขวามันคือรอยสักแรกในชีวิตของฉัน ฉันยังไม่ลืมความเจ็บปวดในวันนั้นเลย

                ความเจ็บและ เลือดจู่ ๆ ในหัวของฉันก็ปิ๊งไอเดียชั่วร้ายขึ้นมา ฉันต้องการความเจ็บปวดฉันรีบเสิร์ชอินเทอเน็ตหาซื้อมีดผ่าตัดเบอร์อะไรก็ได้ที่มีขายหน้าจอคอมพิวเตอร์โชว์มีดผ่าตัดเบอร์ 11 จะต้องใช้กับด้ามมีดเบอร์3 หรือเบอร์ 4 นะแต่ช่างเถอะฉันสั่งซื้อมีดนั้นโดยไม่ต้องมีด้ามมีดก็ได้

                3-4 วันต่อมามีดผ่าตัดก็ส่งมาที่บ้านฉันฉันรีบแอบแกะห่อพัสดุออกตอนที่แม่ไปตลาด ความคมเงาวับของมีดสะกดใจฉันให้มองมันนาน ๆรอยใบมีดสะท้อนกับแสงไฟในห้อง ฉันเริ่มลงมือกรีดขาอ่อนข้างซ้ายเป็นรอยยาวเลือดสีแดงสดไหลออกมาจนเต็มขาอ่อน ฉันกรีดต่อไปเรื่อยๆจาก 1 รอยเป็น 2 รอย 3 รอย และกรีดไปเรื่อย ๆ จนเต็มหน้าขาอ่อนข้างซ้ายเลือดไหลจนเลอะกางเกงและเสื้อเต็มไปหมด ในตอนนั้นฉันรู้สึกสะใจ ชอบและเสพติดความเจ็บปวดไปโดยปริยาย

                เมื่อแม่กลับมาจากตลาดท่านไม่ได้เอะใจหรือสังเกตอะไรที่ผิดปกติฉันเก็บมีดไว้ในลิ้นชักข้างเตียงอย่างดีอีกทั้งยังเช็ดทำความสะอาดแผลพร้อมทายาเสร็จสรรพ วันนั้นฉันคุยกับแม่เป็นปกติฉันช่วยเอาของที่แม่ซื้อมาจากตลาดเก็บไว้ในตู้เย็นเราสองคนช่วยกันทำอาหารเย็นอย่างร่าเริง แม่ทอดปลา ฉันสับผักแม่เองก็สังเกตอยู่เหมือนกันว่าฉันร่าเริงเป็นพิเศษแต่ท่านไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว หลังจากนั้นทุก ๆ วันที่แม่ไม่อยู่คอนโดฉันจะรื้อเอามีดผ่าตัดมากรีดขาของตัวเองซ้ำ ๆ ในรอยเดิม ๆ จนแผลเหวอะหวะน่ารังเกียจตอนนั้นฉันไม่ได้รังเกียจหรือกลัวแผลนี้เลย เพียงแต่รู้สึกพอใจและผ่อนคลายเท่านั้น

                “วันนี้ร่าเริงเป็นพิเศษนะไปเจออะไรมาหรือเปล่า” แม่อดถามไม่ได้

                “ไม่นี่ม้า ก็ปกติเหมือนทุกวัน”

                “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถามหาหมอ J แล้ว อาการดีขึ้นนะเนี่ย”

                ฉันยิ้มรับคำของแม่แล้วนึกไปถึงแผลเหวอะที่หน้าขาและความเจ็บที่ตามมาทำให้อาการติดหมอของฉันลดลงได้อย่างรวดเร็ว

                วันหนึ่งตอนที่แม่ไปตลาดฉันไปค้นเอามีดผ่าตัดออกมาอีกครั้ง เตรียมอุปกรณ์ทำแผลเอาไว้ใกล้มือและเดขากางเกงขึ้น ไม่ได้! ฉันกรีดซ้ำรอยแผลเก่าไม่ได้แล้ว เนื่องจากมันเละเทะเต็มหน้าขาไปหมด ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มคิดว่าต้องหาที่กรีดใหม่ฉันมองไปที่ขาอ่อนด้านขวาแต่ไม่ได้กรีดมีดลงไป ฉันไม่อยากให้ขาข้างนี้เป็นรอยใด ๆ นอกจากรอยสักที่งดงามนี้ฉันเริ่มมองไปที่ท้องแขนมือขวา สีเนื้อเนียนสวยมือเส้นเลือดสีเขียวอยู่เล็กน้อยฉันลงมือกรีดมีดลงไปรอยแล้วรอยเล่า

                ฉันสังเกตว่าการกรีดผิวบนท้องแขนไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนขาอ่อนที่ท้องแขนผิวหนังจะบางกว่าขาอ่อนมากออกแรงกรีดเพียงนิดเดียวเลือดก็ซึมออกมาเต็มไปหมด ฉันลงมีดบนแขนเป็นเส้นยาวประมาณ4-5 เซนติเมตร ลึกลงไปในผิวประมาณ 5 มิลลิเมตร และห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตรฉันรีบเช็ดเลือดและทำแผลก่อนที่แม่จะกลับมาจากตลาด

                "แขนไปโดนอะไรมาอีกล่ะ" แม่ถามขึ้นหลังจากกลับจากตลาด

                "ก็...เหมือนเดิม"

                "นี่เอามีดมากรีดอีกแล้วเหรอ?!" แม่วางของที่ซื้อมาทั้งหมดแล้วปาดเหงื่อที่ซึมออกมา"มีดอยู่ไหน เอามาให้ม้าเดี๋ยวนี้"

                "ไม่!"ฉันดื้อและดูโทรทัศน์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                หลังจากรอให้แผลที่ขาสมานแผลสักพักฉันก็กลับมากรีดที่ขาอ่อนข้างซ้ายอีกไม่เพียงเท่านั้นคราวนี้ฉันกรีดที่ท้องแขนข้างขวาเพิ่มขึ้นมาด้วย ในพิธีกรรมแห่งความเจ็บปวดนี้เริ่มลุกลามใหญ่โตไปที่ผิวหนังส่วนอื่นๆ ฉันจะกรีดซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดแขนขวาของฉันเริ่มกลายเป็นสีม่วงและบวมเป่งขึ้นมาเหมือนกำลังจะระเบิดฉันทำพิธีกรรมนี้ทุกวัน ๆ จนเป็นกิจวัตรแม้ว่าแผลจะเหวอะหวะหรือบวมฉันก็ยังไม่หยุดกรีด

                "หม่าม้า เอามีดของลูกไปทิ้งใช่ไหม"ฉันตะเบ็งเสียงใส่แม่ในวันหนึ่งที่หามีดผ่าตัดไม่เจอฉันคิดว่าแม่คงบังเอิญเห็นตอนทำความสะอาดลิ้นชักข้างเตียงตอนนั้นฉันโมโหมากและคิดในใจ

                แย่แล้ว ฉันจะไม่มีความสุขอีกต่อไปแล้ว

                "ทิ้ง ๆ ไปซะของที่มันไม่ดี จะเก็บเอาไว้ทำไม ยิ่งมีลูกก็ยิ่งกรีด"แม่พูดทั้ง ๆ ที่ในมือยังถือตะหลิวอยู่และโบกตะหลิวไปมาตามจังหวะการพูด

                สิ้นคำพูดของแม่ฉันก็เสิร์ชอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็วเพื่อหาซื้อมีดผ่าตัดกล่องใหม่'ครั้งที่แล้วซื้อที่ร้านไหนไว้วะ' ในหัวของฉันมันวุ่นวายไปด้วยความคิดถึงหมอ J, การได้เห็นเลือดไหลลงมาตามผิวหนัง, ความเจ็บที่ได้รับตอนกรีดผิวยิ่งรีบมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งลนลานมากขึ้นเท่านั้นจากการซื้อของทางอินเทอร์เน็ตง่าย ๆกลายเป็นความยุ่งยากที่สุดในชีวิต

                คราวนี้ฉันได้มีดผ่าตัดเบอร์ 23

                "ยาก็กินครบทุกมื้อกำลังกายก็ออกทุกวัน ทำไมอาการมันไม่ดีขึ้นสักที"แม่พูดออกมาวันหนึ่งขณะที่กำลังจัดยาให้ฉัน

                "ไม่รู้สิ รู้แต่อยากคุยกับหมอ J"

                "หมอเค้าไม่อยู่ให้คุยแล้วเราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองสิ" แม่ส่งยาที่จัดแล้วมาให้ฉัน"แล้วอย่างนี้ม้าจะไว้ใจทิ้งลูกให้อยู่คนเดียวได้ยังไง"

                "หม่าม้าก็ไว้ใจได้นะจะกลับบ้านก็ไปสิ ลูกอยู่คนเดียวได้"

                "กลับมาอีกครั้งก็จะได้เห็นรอยแผลเต็มตัวน่ะสิ"

                ช่วงนั้นฉันกลับไปหาหมอ C หมอยังใช้ยาตำรับเดิมที่หมอ J เคยให้ไว้นั่นคือ Olapin, Polizep และอะไรอีก 2 อย่างถือว่ายาชุดนี้เป็นชุดใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมา ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลเวลาฉันคุยกับหมอฉันร้องไห้น้อยลงหมอรู้ดีเรื่องที่ฉันใช้มีดผ่าตัดกรีดแขนและขา ฉันเล่าทุกอย่างโดยละเอียด

                "การกรีดแขนมันช่วยได้จริง ๆ นะคะหมอฉันไม่คิดถึงภาพความตายเลยตอนกรีด" ฉันบอกหมอ Cในห้องตรวจหมายเลข 5

                "ก็ใช่ครับมันทำให้ดีขึ้น แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ใช่เหรอครับ"

                "แล้วหมอจะให้ทำยังไงล่ะคะรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เปลี่ยนยาก็แล้ว ช็อตไฟฟ้าก็แล้ว"

                "คุณรู้สึกยังไงตอนกรีดครับ"หมอถามด้วยสีหน้าสนใจ

                "ก็มันสะใจดีมันเหมือนกับว่ายิ่งเจ็บยิ่งดี มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและต้องทำ" ฉันตอบด้วยประกายตาแวววาว

                "เอาอย่างงี้ไหมคุณลองไปต่อยมวยดู มันเหนื่อยและเจ็บ เหมือนได้ระบายอารมณ์ไงคุณ"

                ฉันบอกหมอไปว่าจะลองดูแต่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่เคยไปสมัครคอร์สมวยที่ไหนเลยทุกครั้งที่หมอถามถึง ฉันก็มักจะเลี่ยง ๆ ไปตอบอย่างอื่นแทน ฉันยังคงดื้อกับหมอไม่เปลี่ยนแปลงแขนและขาเริ่มเป็นแผลฉีกขาด ผิวหนังแยกออกเป็นริ้ว ๆ และเป็นแผลเป็นน่ากลัว

                วันหนึ่งฉันนั่งมองดูรอยแผล ฉันค่อย ๆลูบรอยแผลไปมาและคิดได้ว่า 'ยังไม่พอ' ฉันต้องการความเจ็บมากกว่านี้อีก เจ็บจนตายได้เลยยิ่งดีไหน ๆ ก็ไม่หายแล้ว ตายมันซะเลยดีกว่าไหมสิ้นความคิดฉันก็ลงมือเสิร์ชหายาฆ่าแมลงที่เคยซื้อมากินปรากฏว่ายาฆ่าแมลงชนิดนี้ถูกกำหนดให้เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามไปเสียแล้ว

                "ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆมันต้องมีทางสิ" ฉันพูดกับตัวเองเบา ๆ และเสิร์ชหายาฆ่าแมลงสูตรอื่นแทน

                ความพยายามของฉันไม่เสียเปล่า ฉันค้นเจอยาฆ่าหอยเชอร์รี่ในเว็บไซต์แห่งหนึ่งหอยเชอร์รี่ยังตายได้เลย ทำไมฉันจะตายบ้างไม่ได้ ราคาก็ไม่ได้แพงเกินกำลังจะซื้อ

                4 วันต่อมาของก็ส่งมาถึงคอนโดฉันรีบไปเซ็นชื่อรับของและเอามาเก็บไว้ในตู้ข้างโทรทัศน์อย่างดีคิดว่ายังไงแม่ก็หาไม่เจอแน่ ๆ ฉันเอามีดมากรีดแขนตัวเองอย่างสบายใจ

                "ม้าทนไม่ไหวแล้วนะ"แม่พูดทั้งน้ำตาเมื่อเห็นฉันกำลังกรีดขาอ่อนของตัวเอง "ม้ารับมือไม่ไหวแล้วทำไมถึงทำร้ายตัวเองได้ทุกวันอย่างนี้ อาการมันไม่ดีขึ้นเลยเหรอ"

                "แล้วจะให้ทำยังไงก็มันอยากกรีดนี่" ฉันหยุดกรีดแล้วพูดกับแม่

                "ไปแอดมิทอีกสักรอบไหม ไปเถอะเดี๋ยวม้าพาไป" แม่รีบเก็บของใช้จำเป็นอีกครั้ง

                "ไม่ต้องหรอกมันช่วยไม่ได้หรอก"คืนนั้นทั้งฉันและแม่อยู่กันในคอนโดไม่มีใครต้องโดนแอดมิทอีก

                ในขณะที่ฉันวุ่นวายกับการกรีดแขนและขาแม่ก็กำลังทุกข์ใจกับอาการที่มันไม่ดีขึ้นเลยของฉัน ยังมีมรสุมอีกอย่างที่พัดเข้ามาหาฉันอย่างจัง

                ฉันสัมภาษณ์งานไม่ผ่าน!

                ในเย็นวันหนึ่งฉันมีนัดสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์เวลานัดคือห้าโมงเย็นบริษัทที่จะติดต่อมาเป็นบริษัทจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินที่ฉันเจอในแอพหางานชื่อดัง

                "ขอโทษด้วยนะคะแต่เราต้องการคนที่มีประสบการณ์มากกว่านี้และรู้ลึกกว่านี้ค่ะ"นี่คือประโยคสุดท้ายที่คนสัมภาษณ์บอกฉันก่อนวางหูไป

                "กรี๊ดดดดด!!!!"ฉันกรีดร้องออกมาสุดเสียง

                ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลฉันก็กลายเป็นไอ้คนตกงานอย่างเป็นทางการฉันสมัครงานตามแอพต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนติดต่อกลับมา บริษัทที่ติดต่อมายังปฏิเสธฉันอีกฉันมันห่วย ไม่ได้เรื่อง หางานแค่นี้ก็ทำไม่ได้ในหัวฉันมีแต่คำด่าและคำดูถูกมากมายฉันรีบหยิบมีดผ่าตัดออกมาและกรีดลงไปที่แขนอีกหลายครั้ง ฉันทนไม่ไหวแล้วไม่อยากอยู่แล้ว จู่ ๆ ภาพหมอ J ก็ลอยเข้ามาในหัวแต่ฉันไม่มีช่องทางการติดต่อไปหาหมอ J ได้เลยสิ่งเดียวที่มีอยู่คือเบอร์โทรศัพท์ของพี่ T นักสังคมสงเคราะห์ที่เขาเคยให้แม่ฉันไว้

                "ฮัลโหล พี่ T สวัสดีค่ะ ฉันเองค่ะจำได้ไหมฉันขอเบอร์ติดต่อหมอ J หน่อยได้ไหมคะ ฉันไม่ไหวแล้ว"ฉันพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนและสั่นเครือ

                "เอางี้มาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเลย เดี๋ยวจะมีหมอเวรมาคุยด้วยและหมอ J อาจจะแวะมาดูได้"    คืนนั้นฉันกับแม่ใช้เวลาทั้งคืนในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ฉันมารักษาโรคบ่อยๆ โดยปราศจากหมอ J พยาบาลประจำห้องฉุกเฉินรีบมาทำแผลที่แขนให้ฉัน

                "ดีนะ ไม่ต้องเย็บแผล" พยาบาลพูดขณะกำลังเช็ดแอลกอฮอล์รอบแผล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in