BBC Sherlock Fanfiction by Tippuri~ii *
Pairing: Sherlock Holmes x John Watson
* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
เชอร์ลอค โฮล์มส์ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว
ข้อเท็จจริงนี้โดนสังเกตได้โดยสายตาของเพื่อนร่วมแฟลตอย่างด็อกเตอร์จอห์น วัตสัน…ตั้งแต่กลับมาจากบาสเกอวิลล์ ดูจะไม่มีคืนไหนที่เชอร์ลอคจะหลับสนิทเลยสักคืน…ร่างสูงมักจะเดินไปเดินมา หยิบนั่นนี่ขึ้นมาถือไว้แต่แล้วก็โยนทิ้งไปแล้วก็หยิบมาถือไว้อีก คุยเรื่อยเปื่อยกับตัวเอง หรือไม่ก็หาเรื่องเขาที่นั่งเขียนบล็อกยามดึกอยู่
ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่วัตสันก็รู้ว่าเชอร์ลอคจะไม่อาละวาดหากเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกงุ่นง่านใจ…และก็ไม่ใช่ในเวลากลางคืนแบบนี้ด้วย ถึงจะมีบางครั้งที่ชายหนุ่มผมดำเข้าห้องนอนตัวเองไปตลอดคืน…แต่แสงไฟที่ลอดมาจากช่องว่างใต้ประตูก็บอกชัดว่าไม่มีการนอนหลับเกิดขึ้น และสิ่งที่ยืนยันให้วัตสันมั่นใจกว่าเดิมก็คือวงคล้ำใต้ตาของอีกฝ่ายที่ดูจะเด่นชัดขึ้นตามจำนวนคืนที่ล่วงเลย
และหลังจากที่สังเกตมาตลอด…คุณหมอจึงตัดสินใจถามอย่างระมัดระวัง
“เชอร์ลอค…นายนอนไม่หลับตั้งแต่ที่กลับมาจากบาสเกอวิลล์เลยใช่มั้ย?”
คนถูกถามสะดุ้งนิดๆ…อาจจะเป็นเพราะอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาขัดยามบ่ายอันแสนสงบและระบบความคิดของตน แต่แววตกใจจางๆ ในดวงตาสีฟ้าเทาซีดก็ไม่พลาดที่จะบอกวัตสันว่าคำถามของเขาจี้ใจดำคนฟังอย่างจัง
“อะไรของนาย? ฉันสบายดี สบายดีมากด้วย ใครบอกว่าฉันนอนไม่หลับ ฉันโอเคทุกอย่าง ไม่เห็นเหรอว่าฉันก็เข้าไปนอนอยู่ทุกคืนๆ” เมื่อได้สติ…ชายหนุ่มผมดำก็รัวคำตอบกลับมาเป็นชุดจนแทบไม่เว้นจังหวะหายใจ วัตสันถอนหายใจเบาๆ…ยิ่งมั่นใจกับข้อสันนิษฐานของตนมากกว่าเดิมเมื่อเห็นกริยาตอบรับร้อนตัวแบบนี้
“ก็ฉันเห็นอยู่ทุกคืนว่านายตื่นมาเดินกลางดึกตลอดตั้งแต่ที่เรากลับมา” คนใจเย็นพยายามตะล่อม “บอกฉันมาเถอะ…นายตื่นมาเดินเพราะนายนอนไม่หลับใช่มั้ย?”
“ที่ฉันลุกมาเดินก็เพราะ…ก็เพราะ…เพราะนายนั่นแหละ” คนตัวสูงเถียงออกหลังจากหาข้ออ้างได้
คนถูกกล่าวหาเลิกคิ้ว ย้อนถามเสียงไม่เชื่อถือ
“ฉันไปทำอะไรให้นาย?”
“เสียงนายพิมพ์คีย์บอร์ดนั่นแหละ…มันน่ารำคาญ น่ารำคาญมากๆ” คุณนักสืบยักไหล่อย่างชวนให้หงุดหงิดตามนิสัย “พิมพ์ต็อกแต็กช้ายังกับเต่า แถมยังเอาเรื่องของฉันไปเขียนอีกต่างหาก…มันเป็นบล็อกส่วนตัวของนายนะจอห์น นั่นหมายความว่านายต้องเขียนเรื่องของนายไม่ใช่ของฉัน…”
“ให้ตายเถอะ…เงียบซะเชอร์ลอค” วัตสันตัดบทอย่างระอาใจเหมือนทุกที “นายบ่นเรื่องบล็อกของฉันตอนกลางวันมาตลอด แต่อย่าบอกฉันว่าอยู่ดีๆ นายก็นึกอยากจะลุกขึ้นมาบ่นถึงมันตอนกลางคืนอีก…ฉันไม่เชื่อหรอก”
นัยน์ตาสีดำจ้องลึกราวกับจะค้นหาความจริง
“เกิดอะไรขึ้นกับนายรึเปล่า…เชอร์ลอค?”
ชายหนุ่มผมดำขยับจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา เขาถอนหายใจฮึดฮัดก่อนจะหันหลังหนีกลับไปอ่านหนังสือเสียดื้อๆ วัตสันมองกริยาเอาแต่ใจของเด็กโตแต่ตัวตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะอย่างระอา…หากไม่ยอมที่จะปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ อย่างที่อีกฝ่ายหวัง
“นอนไม่หลับไม่ใช่เรื่องงี่เง่าน่าอายอะไรเลยนะเชอร์ลอค…และการยอมรับก็ช่วยได้เยอะด้วย” ชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์ใช้น้ำเสียงแบบนายแพทย์เพื่อหวังว่ามันจะโน้มน้าวใจคนฟังได้ “นายบอกฉันได้ทุกเรื่องนะ…ฉันคิดว่าพูดออกมามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
ยังคงไม่มีคำตอบจากร่างสูง วัตสันมองคนที่เอาแต่จ้องหน้าหนังสือราวกับว่ามันเป็นหลักฐานในคดีสำคัญที่สุดในโลก ตัดสินใจถามเสียงระมัดระวัง…ข้อสันนิษฐานที่เขาคิดว่าถูกต้องที่สุด
“นายนอนไม่หลับเพราะกลัวหมาล่าเนื้อนั่นรึเปล่า…เชอร์ลอค?”
มันอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระชวนหัวเราะในสายตาคนนอก…แต่จากประสบการณ์ วัตสันทราบดีว่าภาพหลอนที่มาจากพิษของยากล่อมประสาทนั้นน่ากลัวได้มากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหลักฐานชัดเจนจากสภาพจิตใจของลูกค้ารายล่าสุดของเชอร์ลอค ขนาดตัวเขาที่เจอแค่เสียงปลอมๆ และการใช้แสงเงาเข้าช่วยยังรู้สึกกลัวได้ถึงขนาดนั้น…แล้วภาพหลอนที่เชอร์ลอคได้เห็นจากยาจะน่ากลัวสักเพียงไหนกัน
ความเงียบชั่ววูบตามมาหลังคำถาม ก่อนที่เสียงทุ้มจะตวัดปฏิเสธรัวเร็วตามนิสัย
“นายพูดอะไรของนายหาจอห์น? ฉันเนี่ยนะ? นอนไม่หลับเพราะกลัวภาพหลอนงี่เง่านั่น?” เชอร์ลอคทวนคำด้วยน้ำเสียงหมิ่นๆ ปนวางท่า…น้ำเสียงแบบเดียวกับที่เจ้าตัวใช้ตอนโกหกเขาว่าสบายดีตอนอยู่ที่บาสเกอวิลล์ “ฉันสบายดี โอเคมั้ย? สบายดีมาก สบายดีมาตลอด…จนกระทั่งนายมาถามนั่นถามนี่นั่นแหละ!”
วัตสันเม้มปากจนแทบเป็นเส้นตรง เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างกับกริยาไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่าย…ความน้อยใจที่เพิ่มตามมาว่าเชอร์ลอคเห็นความเป็นห่วงของเขาเป็นเรื่องน่ารำคาญยิ่งทำให้อารมณ์เสียๆ ขยายตัวเข้าไปอีก ชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์จึงพยักหน้าช้าๆ พร้อมพูดเสียงเย็น
“งั้นฉันไม่ถามแล้วก็ได้…ขอโทษที่รบกวนเวลานาย”
ว่าจบ…วัตสันก็กลับมาสนใจจอแลปทอปตรงหน้าของตนเหมือนเดิม เชอร์ลอคชะงักไปชั่วครู่…ตระหนักได้ว่าตนพูดแรงเกินไป ร่างสูงถอนหายใจฮึดฮัดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรก่อนจะผุดลุกเดินเข้าไปในครัว
วัตสันแอบเหลือบตามองตามไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังออกมา…ก่อนจะเบือนสายตากลับมาที่งานตรงหน้าตนดังเดิมเมื่อร่างสูงย่ำเท้าตึงๆ กลับมาในห้อง หากคราวนี้…เชอร์ลอคไม่ได้เดินกลับไปที่โซฟาเหมือนเดิม ชายหนุ่มดึงเก้าอี้มาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา มือได้รูปวางแก้วเซรามิคลงบนพื้นโต๊ะข้างๆ แลปทอป…กาแฟหอมกรุ่นจุอยู่เต็ม
อีกฝ่ายนั่งนิ่งราวกับจะรอให้เขาเริ่มบทสนทนา…แต่วัตสันไม่ยอมที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เขาพิมพ์ข้อความต่อไปราวกับคนข้างตัวเป็นอากาศธาตุ จอมเอาแต่ใจทำหน้ามู่ทู่นิดนึงแต่ก็ยอมโดยดี
“จอห์น…” เสียงทุ้มลังเลนิดๆ ราวกับไม่รู้จะกล่าวอะไร “…ฉันชงกาแฟมาให้นาย”
“อืม”
คนฟังตอบแค่นั้นเพราะยังโมโหไม่หาย นิ้วยังคงจิ้มต็อกแต็กบนแป้นพิมพ์…ไม่มีท่าทางแม้จะกระดิกมาหยิบแก้วแต่อย่างใด
นัยน์ตาสีฟ้าเทามอง…เสียงคีย์บอร์ดดังไม่เป็นจังหวะทำให้รู้สึกรำคาญใจพอๆ ท่าทางเฉยเมยของอีกฝ่าย เขาจึงตัดสินใจเอื้อมมือมารวบมืออีกฝ่ายให้พ้นจากแลปทอป ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว…เสียงน่ารำคาญหยุดลงและเขาก็ได้สบตาจอห์นเสียที
“อะไรอีกล่ะ? ฉันไม่ได้ถามอะไรวุ่นวายนายแล้วนี่?”
คำพูดเสียดสีบอกให้รู้ว่าเขายังไม่ได้รับการให้อภัย แต่อย่างน้อย…มือที่ยอมอยู่นิ่งๆ ในการเกี่ยวกุมของเขาก็เป็นสัญญาณที่ดี
เชอร์ลอคนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆ
“…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นกับนาย”
หลังพูดจบ คนง้อก็เลื่อนแก้วเซรามิคมาให้ชิดมืออีกฝ่าย…การกระทำที่ทำให้วัตสันอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็น ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ
“สิ่งที่นายต้องทำเวลาอยากให้ใครหายโกรธคือพูดว่าขอโทษ…เชอร์ลอค ไม่ใช่ชงกาแฟไปให้เขา…งี่เง่าเอ๊ย”
ถึงชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์จะไม่ได้บอกว่าหายโกรธแล้วหรือยัง…แต่เสียงหัวเราะและแก้วเซรามิคที่โดนยกขึ้นจิบก็ทำให้เชอร์ลอคพอจะแน่ใจได้ว่าคำขอโทษของเขาเป็นที่ยอมรับแล้ว
*****
กลางคืนมาเยือนโดยที่เพื่อนร่วมแฟลตไม่ได้ถามอะไรเขาอีก
ในห้องมีเพียงแสงจากโคมดวงเล็กที่ตรงหัวเตียง…เชอร์ลอคนอนเหยียดยาว นัยน์ตาสีฟ้าเทามองเพดานเรื่อยเปื่อย เขาเคยมั่นใจว่าไม่มีทางที่จะมีใครมองออกว่าเขารู้สึกอย่างไร…จนกระทั่งวันที่เขาได้รู้จักจอห์น วัตสัน คนที่น่าจะอยู่ในหมวดมนุษย์ธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดา
…เว้นเสียแต่ว่าคนแสนธรรมดาอย่างจอห์น วัตสันสามารถมองทะลุใจของเขาได้
เชอร์ลอคเคยสงสัยว่าเพราะอะไร…แต่อีกฝ่ายก็ทำแบบนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาเหนื่อยใจเกินจะสงสัยแล้ว และที่น่าแปลกก็คือ…ตัวเขาที่ปกติแสนจะเกลียดเวลามีใครมองการปกปิดของตนออกกลับไม่รู้สึกด้านลบใดๆ กับจอห์นเลยสักนิด
ที่น่าแปลกยิ่งกว่า…ก็คือเขาสบายใจเสียด้วยซ้ำ
เชอร์ลอคถอนหายใจเบาๆ มือเรียวปิดทับบนตาอย่างอ่อนล้า จริงอย่างที่เพื่อนร่วมแฟลตว่า…เขาหลับไม่ลงตั้งแต่กลับถึงลอนดอนเพราะภาพหลอนที่ยังติดตา ถึงตามหลักวิทยาศาสตร์…ยานี้ไม่มีผลยาวนานหากร่างกายไม่ได้รับเข้าไปอีกและเจ้าตัวรู้ว่าภาพหลอนไม่ใช่ความจริง แต่อย่างไรก็ตาม…ในแง่ของจิตใจมันไม่ใช่แบบนั้น ไม่ต้องพูดถึงนอนหลับเลย…ภาพสุนัขล่าเนื้อตัวมหึมาพร้อมนัยน์ตาแดงวาวโรจน์ทำให้เขารู้สึกว่าเพียงแค่การหลับตาก็เป็นเรื่องยากเย็นแล้ว
“นายนอนไม่หลับเพราะกลัวหมาล่าเนื้อนั่นรึเปล่า…เชอร์ลอค?”
ชายหนุ่มผมดำยิ้มขื่นๆ ออกมา…ความกลัวที่เขาพยายามปิดซ่อนมันไว้จากสายตาของโลกใบนี้กลับถูกมองออกอย่างง่ายดายโดยจอห์นราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่โดนวางไว้ให้เห็นตรงหน้า เมื่อค้นพบว่าความลับที่เพียรรักษาไว้ไม่ใช่ความลับอีกแล้ว…กริยาตอบรับของเขาจึงรุนแรงและทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย ถึงจอห์นดูจะไม่ถือสาหาความ…แต่เชอร์ลอคก็อดนึกเสียใจกับการกระทำของตนไม่ได้อยู่ดี
อีกแล้ว…จอห์น วัตสันทำให้เขารู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนแบบนี้อีกแล้ว
เชอร์ลอคลุกขึ้นมายืนเมื่อรู้แน่ว่าคืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ตนนอนไม่หลับ…ร่างสูงเดินวนไปวนมารอบห้องเหมือนหนูติดจั่น หยิบฉวยนั่นนี่มาแล้วโยนทิ้งไป ค้นกองกระดาษจนกระจัดกระจาย และจบลงที่การกลับมานอนหงายเหยียดยาวบนเตียงอีกครั้งพร้อมไวโอลินคู่ใจในอ้อมกอด
เมื่อเสียงดีดสายไวโอลินไม่เป็นทำนองท่อนที่สองเริ่มต้น…ประตูห้องนอนของเขาก็โดนแง้มเปิด ชายหนุ่มมองเพื่อนร่วมแฟลตที่อยู่ในชุดนอนปาจามาลายดิ่ง เลิกคิ้วนิดๆ เป็นเชิงถามว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรตอนดึกแบบนี้
“จอห์น?”
ชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์มองนิ้วของเขาที่ยังไม่หยุดดีดสายไวโอลิน ก่อนจะพูดเสียงค่อย “นี่มันจะห้าทุ่มครึ่งแล้วนะเชอร์ลอค”
“โอ…จริงหรือ?” คนฟังยักไหล่ นัยน์ตาสีฟ้าเทาเหลือบมองนาฬิกา ถึงท่าทางจะดูน่าหมั่นไส้เช่นทุกที…แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยอมหยุดดีดไวโอลิน “ฉันไม่ได้สังเกตเลย”
“นายรู้ตัวรึเปล่า…ว่าปกติ สี่ทุ่มนายก็นอนแล้ว” คุณหมอพูด ดวงตาหรี่นิดๆ อย่างจับผิด
เชอร์ลอคฮึดฮัดหาข้อแก้ตัว ก่อนจะเถียง “แล้วนี่นายเห็นว่าฉันทำอะไรอยู่ล่ะ…ฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงของฉัน ถ้านายไม่ได้สังเกต”
ว่าจบ…วงหน้าหล่อเหลาก็หันหนีไปมองเพดานแทน มือเรียวดีดไวโอลินเป็นสเกลรัวเร็ว วัตสันมองเด็กจอมแถตรงหน้าตนก่อนจะถอนหายใจเบาๆ…รู้ดีว่าการจะทำให้เชอร์ลอค โฮล์มส์ยอมรับว่าตัวเองกำลังกลัวเป็นเรื่องยากพอๆ กับหวังให้หิมะตกในแอฟกานิสถาน
…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหานี้ไม่มีทางแก้
เชอร์ลอคอาจไม่กล้ายอมรับ…แต่ไม่ใช่เขา
“นายจะทำอะไรน่ะ?”
เสียงทุ้มถามอย่างสงสัยจริงๆ เมื่อร่างในชุดนอนแนวดิ่งเลื่อนตัวมานอนข้างๆ บนเตียง…หากไม่มีคำตอบ ชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์จัดแจงคลุมผ้าห่มให้ตัวเองเสร็จสรรพ คว้าไวโอลินจากมือเขาไปวางตรงโต๊ะหัวเตียง แล้วเอื้อมมือดับโคมเล็กลงเสีย
ความมืดที่จู่โจมห้องทำให้เชอร์ลอคสะดุ้ง…เขาไม่เคยปิดไฟตั้งแต่วันที่กลับมาถึงลอนดอน จิตใต้สำนึกสั่งให้ชายหนุ่มตวาดเสียงลั่นทันควันอย่างตระหนก
“นายทำบ้าอะไรน่ะจอห์น?!”
มือของคนที่นอนอยู่ข้างๆ เอื้อมหามือที่ป่ายปะจะเปิดไฟของเขาเจอก่อนที่มันจะไปถึงสวิตช์…สัมผัสอบอุ่นโอบรอบมือเย็นๆ ของเขาเอาไว้ เสียงนุ่มเนิบชวนให้ใจสงบพูดช้าๆ เหมือนกับพยายามจะปลอบ
“มันไม่มีอะไรหรอกเชอร์ลอค…ฉันก็อยู่ด้วยตรงนี้ไง…นอนเถอะ”
ถึงเส้นประสาทยังจะเต้นตุบ…แต่เสียงปลอบประโลมที่กล่าวประโยคเดิมซ้ำๆ ก็ทำให้เชอร์ลอคสงบลงได้ทีละนิด ร่างสูงยอมนอนลงข้างๆ อีกฝ่ายโดยดี…ขยับตัวยุกยิกเล็กน้อยเมื่อคุณหมอเกลี่ยผ้าห่มให้ทับบนตัวเขาแบบพอดีๆ
สัมผัสแนบชิดของมือ…ความอบอุ่นของร่างข้างกาย…ทุกอย่างค่อยๆ ทำให้เชอร์ลอครู้สึกว่าความมืดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เสียงทุ้มถามคำถามเดิมอีกครั้ง…หากคราวนี้ไม่มีความตระหนกใดๆ อีกแล้ว มันเรียบนิ่ง หากก็เจือความสงสัยปนลังเลนิดๆ…น้ำเสียงที่มีแต่จอห์น วัตสันเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ยินจากปากเชอร์ลอค โฮล์มส์
“นายคิดจะทำอะไรน่ะ?”
“ไม่นี่” คนข้างตัวเขาตอบด้วยเสียงปกติ…แต่คนฟังรู้ดีว่ามันเป็นน้ำเสียงแบบที่เจ้าตัวจะใช้ตอนอยากให้ตนเองดูใสซื่อไม่มีความผิดใดๆ เท่านั้น
“ให้ตายเถอะจอห์น…นายคิดว่าฉันโง่มากเลยรึไงกัน?” เด็กเอาแต่ใจตัวโตเริ่มหงุดหงิดแล้วเมื่อไม่ได้รับคำตอบ ก่อนจะเงียบเมื่อได้ฟังคำพูดต่อมาจากอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรจริงๆ…ฉันเกิดกลัวหมานั่นขึ้นมาน่ะ เลยไม่อยากนอนคนเดียว” นัยน์ตาสีดำจ้องตรงราวกับว่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันไม่เคยเกิดขึ้น “จนกว่าจะหายกลัว ฉันจะมานอนเป็นเพื่อน…เอ่อ ไม่ใช่ๆ…นายช่วยนอนเป็นเพื่อนฉันทีได้มั้ย?”
เชอร์ลอคกลั้นยิ้มไม่ได้…มองออกทันทีว่าจู่ๆ อาการกลัวสุนัขล่าเนื้อของคนตรงหน้ามีเหตุมาจากอะไร เขานิ่งมองวงหน้าของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมสบสายตาและทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้…นึกสงสัยว่าจอห์นจะรู้ตัวไหมว่าความเป็นห่วงเป็นใยที่มากเสียจนผลักดันให้คิดแผนเหมือนเด็กๆ แบบนี้ออกมามันทำให้เขารู้สึกดีแค่ไหน
สายตาของเขาที่มองอีกฝ่ายคงโดนตีความผิดไป เพราะคนโดนมองรีบพูดเสริมราวกับกลัวเขาจะไม่เชื่อ
“นายบอกเองนี่ว่านายไม่กลัว ถ้านายไม่ยอมให้ฉันอยู่ด้วย…ฉันจะ…อืม…ฉันจะ…” วัตสันทำปากขมุบขมิบแบบไม่รู้ตัวตามนิสัย ก่อนจะตกลงใจได้กับประโยคต่อมา “ฉันจะถือว่านายกลัวหมานั่น แล้วนายก็ไม่กล้านอนเพราะกลัว”
“แล้วไงอีก?” เชอร์ลอคถามยิ้มๆ พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเราะหึๆ ออกมา
“ก็ไม่มีอะไร…ฉันกลัวหมา ฉันไม่กล้านอนคนเดียว จบละ” คุณหมอพูดเสียงไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะซุกหน้าลงในหมอน “ราตรีสวัสดิ์เชอร์ลอค”
แว่วเสียงตอบรับเป็นคำสั้นๆ จากอีกฝ่าย…วัตสันยิ้มออกมา ทำเป็นไม่ได้สังเกตถึงน้ำหนักของท่อนแขนแข็งแรงของคนข้างตัวที่พาดลงมาโอบเขาไว้ ความอบอุ่นที่ล้อมรอบและความดีใจที่แผนของตนได้ผลทำให้คุณหมอหลับในเวลาไม่นาน
นัยน์ตาสีฟ้าเทามองเสี้ยวหน้าของคนที่เข้าสู่โลกความฝันไปแล้ว รอยยิ้มบางเบาแตะที่มุมปาก…ก่อนที่ดวงตาสีสวยจะหลับลงบ้าง ลมหายใจลึกๆ ถูกระบายออกมา…ความระแวงหวาดกลัวทั้งหมดหายไปได้เพียงแค่เพราะมีคนธรรมดาๆ อย่างจอห์น วัตสันอยู่ข้างกาย
“ราตรีสวัสดิ์…จอห์น”
ไม่ต้องอาศัยการคาดคะเนใดๆ…เชอร์ลอค โฮล์มส์ก็รู้ได้ว่าคืนนี้เขาจะหลับสบายแน่นอน
Fin.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in