เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sherlock x John fanfictionsTippuri~ii*
Valentine’s Day, and What that Came After it
  • Valentine’s Day, and What that Came After it

    BBC Sherlock Fanfiction by Tippuri~ii *

    Pairing: Sherlock Holmes x John Watson

    * แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

    – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

    9.17 am; 14 February.

    ด็อกเตอร์จอห์น วัตสันลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงหนานุ่มสีขาว

    ชายหนุ่มลุก ขึ้น งัวเงียแม้จะตื่นสาย…เขาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืนตั้งแต่วันที่เห็นร่างคน สำคัญของตนร่วงหล่นลงมาจากดาดฟ้าตึก เขาลูบหน้าตัวเองเบาๆ อย่างเหนื่อยล้าก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงที่ไม่ใช่เตียงของตนอีก ครั้ง…เริ่มคุ้นกับสัมผัสของผ้าที่แนบแก้มหลังจากที่เขาย้ายตัวเองเข้ามา นอนในห้องของเชอร์ลอคตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายไม่อยู่ที่แฟลตนี้

    ใช่…ถึงจะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตกลงมากับตา…ถึงจะได้จับชีพจรที่ไม่เต้นแล้วของร่างนั้น…เขาก็ยังไม่อาจใช้คำว่า ‘จากไป’ ได้

    นัยน์ตาสีดำปิดลง…แม้ความคิดจะแผดเผาจนไม่ทำให้หลับต่อได้

    เขาแค่อยากเชื่อในสิ่งที่อยากให้เป็นจริง…เพราะหวังว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้เท่านั้นเอง

    วัต สันสูดลมหายใจลึกๆ…กลิ่นหอมสะอาดที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของเตียงคนเก่า เริ่มจางแล้วตามเวลาที่ผ่านไป และนั่นทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าเก่า

    นายหายไปแล้วจริงๆ สินะ…นายไม่ได้อยู่กับฉันอีกแล้ว…

    วัตสันเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง…นึกสงสัยว่าจะมีใครในลอนดอนรู้สึกเกลียดวันแห่งความรักเท่าเขาตอนนี้ไหม

    10.38 am; 14 February.

    “โอ…ขอบใจมากนะจ๊ะ”

    ชาย หนุ่มยิ้มให้มิสซิสฮัดสัน เขารู้ว่าการให้เฟอเรโร รอชเชอร์กล่องโตกับหญิงชราไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามหลักสุขภาพนัก…แต่ก็ นะ การทำให้เธอมีความสุขในวันวาเลนไทน์แบบนี้มันสำคัญเกินกว่าเขาจะสนใจข้อเท็จ จริงที่ว่า

    “ห้ามทานหมดคนเดียวนะครับ” วัตสันกำชับ

    “ดิฉัน ทราบค่ะด็อกเตอร์” มิสซิสฮัดสันกล่าวล้อๆ…มือเหี่ยวย่นตีแขนเขาเบาๆ เป็นเชิงค้อน “ยังไงฉันก็ต้องแบ่งคืนมาให้เธออยู่แล้วล่ะนะ…พวกเธอเคยมีอะไรแช่ในตู้ เย็นบ้างไหมล่ะนอกจากชิ้นส่วนอวัยวะน่ะ…”

    น้ำเสียงร่าเริงจางลงตรงนี้ วัตสันรู้ดีว่าเพราะอะไร…มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคอยสรรหาอะไรแปลกๆ มายัดใส่ตู้เย็นเสมอ

    ความเงียบหมองมัวแผ่คลุม…ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อไล่มันไปเสีย

    “เชอร์ ลอคไม่สนช็อคโกแลตวาเลนไทน์หรอกครับ” เสียงทุ้มพยายามพูดให้ติดตลก…แม้ว่าจะยากเสียเหลือเกินก็ตามที “…มันเป็นเรื่องของคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เขา”

    “นะ นั่นสินะ…” หญิงชรารับคำติดขัด ริมฝีปากสั่นระริก น้ำใสรื้นในดวงตา “อะ เอ่อ…ฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ…”

    “เชิญครับ” วัตสันผายมือ…รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาต้องเห็นสภาพแบบนี้ของตัวเอง เขารอจนร่างผอมของหญิงชราก้าวขึ้นไปที่ชั้นบนแล้วเดินลงไปที่ประตู หน้า…เขามีแผนวันวาเลนไทน์ที่ต้องจัดการให้เสร็จรออยู่

    12.25 pm; 14 February.

    ต่อให้เป็นวันแห่งความรัก…แต่ยามเที่ยงของลอนดอนก็ยังขมุกขมัวเหมือนเดิม

    วัต สันมองเรื่อยเปื่อยไปตามภาพเมืองสีเทานอกหน้าต่างจนกระทั่งได้ยินเสียง เรียก…เขาหันไปเพื่อยิ้มให้กับหญิงสาวชุดเสื้อกาวน์ ผมยาวสีเฮเซลโดนรวบเป็นหางม้าดูคล่องแคล่ว

    “หวัดดีครับมอลลี่…ดีใจที่ได้เจอคุณนะ”

    “เช่นกันค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้ วัตสันมองแก้วกาแฟในมือเธอแล้วพูดเสียงเกรงใจ

    “เอ่อ…ผมคงไม่ได้มาขัดมื้อเที่ยงคุณใช่มั้ย?”

    “ไม่ค่ะ” มอลลี่ส่ายหน้ายิกเหมือนเด็กๆ ตามนิสัย

    ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะยื่นถุงกระดาษใบเล็กให้ “ขอบคุณที่คอยช่วยมาตลอดนะครับ…สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”

    ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตขึ้นเมื่อเห็นบรรดาคาราเมลท็อฟฟี่และช็อคโกแล็ตทรุฟเฟิลที่อัดแน่นในถุง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกล่าวขอบคุณ

    “นี่ เป็นช็อคโกแล็ตที่ดีที่สุดของวันเลยค่ะ” เธอยิ้ม ก่อนจะยักไหล่อย่างติดตลก “ความจริงมันเป็นช็อคโกแล็ตชิ้นแรกของวันนี้แหละค่ะ…ฉันคาดหวังอะไรไม่ได้ นักหรอก แฟนก็ไม่มีแล้วนี่นะ”

    วัตสันพยักหน้ารับ…ห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มกับข้อเท็จจริงที่ว่ามอลลี่ ฮูเปอร์ผู้แสนซื่อคนนี้เคยออกเดทกับอาชญากรอัจฉริยะระดับโลกและก็เป็นฝ่ายจบ ความสัมพันธ์ลงเองเสียด้วย

    “ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าวอีกรอบ “ให้มาซะเยอะเลย…ฉันช่วยแค่นิดๆ หน่อยๆ เอง คนไขคดีจริงๆ มันเชอร์ลอคแท้ๆ…”

    เสียง หัวเราะจางไปจากน้ำเสียงเหมือนตอนมิสซิสฮัดสัน…และวัตสันก็ต้องอดทนกับ ความเจ็บปวดที่แล่นปราดในใจอีกครั้ง เขาพยายามบังคับตัวเองให้ยิ้ม…แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นการปกปิดที่ไม่แนบ เนียนเอาเสียเลย

    “แทนคำขอบคุณที่คอยอดทนกับจอมเอาแต่ใจอย่างหมอนั่น…ถุงแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำนะผมว่า”

    มอลลี่ยิ้มบ้าง…หากความเศร้าก็เจือในสีหน้า เสียงหวานพูดอย่างนุ่มนวลจริงใจ

    “ขอบคุณค่ะ…ขอให้คุณมีความสุขกับวาเลนไทน์เหมือนกันนะคะด็อกเตอร์”

    วัต สันพยักหน้ารับ ก่อนจะโค้งศีรษะเป็นเชิงลา ในใจนึกสงสัยว่าตนจะมีความสุขกับวันแห่งความรักได้อย่างไร…ในเมื่อความรัก ของเขาจากไปเสียแล้ว

    2.01 pm; 14 February.

    ถึงจะได้ชื่อว่ามีระเบียบเคร่งครัดแค่ไหน…แต่เหมือนว่าแม้แต่สกอตแลนด์ยาร์ดก็ยังยอมอ่อนข้อให้กับวันแห่งความรัก

    วัตสันสังเกต เห็นแจกันใบสูงที่ตรงหน้าประตูอาคารแต่ไกลด้วยดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ที่มันจุ อยู่…ดูสดใสฟู่ฟ่าไม่เข้ากับสถานที่ราชการเคร่งขรึมแบบนี้จนชวนให้ขำ เขาก้าวเข้าไปที่ฟรอนต์เพื่อยื่นความจำนงในการเข้าพบเจ้าหน้าที่เลสตราด รออยู่สักครู่ก่อนที่จะได้รับคำอนุญาต

    “หึ! วาเลนไทน์!” ชายผมเทากล่าวเสียงขึ้นจมูก เขี่ยดอกกุหลาบที่เสียบอยู่ในกระป๋องปากกาของตน “ถ้ามีเงินเหลือขนาดมาแจกซื้อดอกไม้แจกทั้งแผนกแบบนี้…สู้เอามาขึ้นเงิน เดือนยังดีซะกว่า ว่ามั้ย?”

    วัตสันยิ้มกับคำประชดไม่จริงจังนั้น เลสตราดเองก็หัวเราะออกมา “สบายดีใช่มั้ยด็อกเตอร์?”

    “ก็ดี…”

    ประโยค ของเขาโดนขัดด้วยร่างของหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่พรวดพราดเข้ามาในห้องพร้อม พูดเร็วปรื๋อ “ขอโทษค่ะ…แต่เราได้รับแจ้งว่ามีเหตุเด็กผู้หญิงตีกันตรงหัวมุมถนนค่ะ เหมือนว่าจะทะเลาะกันเพราะฝ่ายนึงจับได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนใหม่ของ…”

    ชายผมเทาโบกมือพร้อมกล่าวตัดบททันที “ไม่ใช่หน้าที่แผนกเราแซลลี่ ขอบคุณมาก”

    หญิง สาวชะงัก ก่อนจะยอมล่าถอยไปพร้อมเสียงถอนหายใจดังๆ…วัตสันหัวเราะเบาๆ ออกมา “เดี๋ยวนี้พวกยาร์ดรับหน้าที่สะสางคดีผู้ชายสับรางแฟนไม่ทันแล้วเหรอครับ?”

    “อย่า ย้ำเลยด็อกเตอร์ ฟังความจริงแล้วยิ่งรู้สึกแย่” เลสตราดส่ายศีรษะอย่างหน่ายๆ เอื้อมมือไปหยิบโดนัทหน้าครีมช็อคโกแล็ตในกล่องที่ชายหนุ่มตรงหน้าซื้อมา เป็นของฝาก “อา…นี่สิที่เขาเรียกว่าวาเลนไทน์ ได้เรื่องกว่าไอ้กุหลาบบ้าๆ พวกนั้นเป็นพันเท่าเลย…ขอบคุณมากนะด็อกเตอร์”

    “ดีใจที่คุณชอบ” วัตสันยิ้ม ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้นยืน “ขอโทษจริงๆ…ผมอยู่คุยด้วยไม่ได้ มีที่ต้องไปอีก”

    “ได้เลยๆ…ตามสบายเลย” ชายผมเทาลุกตาม ยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือโดนัทอยู่มาให้อีกฝ่ายเขย่า “ขอบคุณอีกทีสำหรับโดนัทนะ มันอร่อยมาก”

    “ยินดีเสมอครับ” วัตสันหัวเราะเบาๆ…เลสตราดพินิจคนตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะพูดเสียงนิ่งๆ อ่อนโยน

    “ผมดีใจที่คุณยังยิ้มยังหัวเราะได้นะด็อกเตอร์”

    วัตสันชะงัก ก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้อง

    เขาอาจยังยิ้ม…ยังหัวเราะ…แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดคิดถึงเชอร์ลอคได้สักวินาที

    4.42 pm; 14 February.

    จริงอย่างที่วัตสันคาดไว้…การจะขอเข้าพบไมครอฟท์ โฮล์มส์ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากและกินเวลายิ่งนัก

    ชายหนุ่มนึกอยากเขกหัวตัว เองที่ลืมโทรมาบอกมิสเตอร์โฮล์มส์คนพี่ไว้ก่อน…เพราะนั่นทำให้เขาต้องผ่าน การตรวจค้นตัวตามกฎระบบรักษาความปลอดภัยของตึกรัฐสภาแบบเต็มสูตร และเหมือนกับว่านั่นยังกินเวลาไม่พอ…เพราะวัตสันยังต้องนั่งรอให้ไมครอฟท์ ประชุมเสร็จและสะสางงานมากมายตามคิวก่อนหน้าเขาเสียก่อนด้วย นั่นจึงทำให้เมื่อร่างในชุดสูทราคาแพงยิ่งกว่าค่าเช่าแฟลตของเขาสามเดือนรวม กันสามารถเดินออกมาทักทายเขาได้นั้น…ท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีครามครึ้มเสีย แล้ว

    “สวัสดีจอห์น” ไมครอฟท์ทักเสียงนุ่ม หากนัยน์ตาสีฟ้าเทาเข้มนั้นมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ตามนิสัย “ลมอะไรหอบคุณมาได้น่ะ?”

    วัต สันบังคับให้ตัวเองยิ้มออกมาได้เพียงน้อยนิด…การพบกันครั้งสุดท้ายของทั้ง สองไม่ได้จบลงสวยงามนัก และตัวเขาเองก็ยังไม่อาจให้อภัยคนตรงหน้ากับสิ่งที่เจ้าตัวรู้เห็นเกี่ยวกับ เชอร์ลอคและมอริอาติได้

    “สวัสดี ไมครอฟท์” ชายหนุ่มทักตอบ พยายามซ่อนความกระอักกระอ่วนใจด้วยการเลี่ยงที่สบตา…แต่ก็รู้ดีว่าคนอ่าน บรรยากาศเก่งอย่างไมครอฟท์ไม่มีทางจะไม่รู้สึกได้

    “นั่ง สิ” พี่ชายคนโตของตระกูลโฮล์มส์เชื้อเชิญ ผายมือไปทางเก้าอี้นวมสีเลือดนกเดินขอบทองหรูหราในห้องทำงานด้านใน วัตสันส่ายศีรษะปฏิเสธแม้จะรู้ว่ามันเสียมารยาท…หากเขาไม่ได้มีความตั้งใจ จะอยู่นาน

    “ไม่ เป็นไรหรอกไมครอฟท์…ผมแค่เอานี่มาให้คุณน่ะ” เขากล่าว ก่อนจะยื่นกล่องแบนๆ สีสดใสให้ “สุขสันต์วันวาเลนไทน์…แล้วก็ขอบคุณที่คอยช่วยเราเสมอนะ”

    ถึง ไมครอฟท์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจตอนเอื้อมมือมารับกล่อง…แต่เขาก็ไม่ลืมที่ จะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ วัตสันใช้เวลาที่อีกฝ่ายมองสำรวจของขวัญในมือตนในการสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อรับมือกับความรู้สึกวูบโหวงที่บดขยี้ลงมาในใจ

    ‘เรา’…เขาเอาชื่อของเชอร์ลอคมารวมไว้กับตัวเองอีกแล้ว…และก็ยังคงลืมตัวเผลอคิดไปด้วยว่าเชอร์ลอคเองก็ยังอยู่ข้างๆ

    “ประหลาด ใจจัง…แต่เป็นในแง่ดีนะ” ไมครอฟท์ยิ้มให้…และวัตสันก็มองออกว่ามันไม่มีอะไรแอบแฝงนอกจากความจริง ดังคำพูด “ว่าแต่…มันคือช็อคโกแลตใช่มั้ย?”

    วัต สันพยักหน้ารับ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายพลิกกล่องดูอีกครั้ง เสียงทุ้มนุ่มกล่าวอย่างสนอกสนใจ “ขอบใจที่อุตส่าห์ไปหามานะ…ตั้งแต่เกิดมา ฉันเคยเจอช็อคโกแลตสำเร็จรูปเป็นกล่องๆ แบบนี้แค่ยี่ห้อกอดิวาเอง”

    ประโยชน์ ที่คนไม่รวยพูดไม่ได้ทำให้คนฟังนึกหมั่นไส้ชอบกล…แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ ได้คิดจะโอ้อวดอะไร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนระดับไมครอฟต์จะพบเจอแค่ของหรูหรามาตลอดชีวิต และนั่นก็ทำให้วัตสันพอใจที่ตนเดาถูกว่าช็อคโกแลตคุณหมีโนเนมสุดๆ จากร้านขนมเด็กประถมจะต้องประทับใจไมครอฟท์มากกว่ากอดิวากล่องโตราคาแพง ระยับจากห้างดัง

    สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลโฮล์มส์…แปลกพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง

    “ดีใจที่คุณชอบ” วัตสันพูด เสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ในประโยคหลัง “แต่ไม่ได้หมายความว่าผมให้อภัยคุณหรอกนะ…ไมครอฟท์”

    คนฟังแค่นหัวเราะเบาๆ “ฉันรู้ดีจอห์น และก็ไม่คิดหวังว่าเธอจะให้อภัยฉันได้ด้วย…อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในเร็วๆนี้หรอก”

    “ใช่…คุณ คิดถูก” วัตสันยอมรับ ก่อนที่แววตาเย็นชาจะระริกด้วยความเจ็บปวดเมื่อกล่าวประโยคหลัง “แต่ยังไง…คุณก็เป็นพี่ชายของเชอร์ลอค เชอร์ลอคคงไม่เกลียดคุณต่อให้รู้ว่าคุณทำอะไรลงไป”

    เพราะฉะนั้น…เขาเองก็จะพยายามทำตามสิ่งที่เชอร์ลอคต้องการให้ได้

    “ฉัน ว่าเชอร์ลอคเกลียดฉันมากจนเกลียดเพิ่มไม่ไหวแล้วมากกว่า” ไมครอฟท์หัวเราะเสียดสี…หากนัยน์ตาสีฟ้าเทาที่เข้มกว่าน้องชายก็ซ่อนแวว เสียใจไม่มิด

    ประโยค นั้นทำให้วัตสันรู้สึกเศร้า…แต่ก็อดหัวเราะตามไม่ได้เมื่อคิดถึงหน้าตาของ คนที่ไม่อยู่อีกแล้วตอนที่ยอมรับออกมาว่าไมครอฟท์คือพี่ชายของตน “เอาเถอะ…เชอร์ลอคไม่เคยเกลียดใครที่ไม่ตามใจเขาบ้างล่ะ”

    “นั่น สินะ…” ไมครอฟท์ผงกศีรษะช้าๆ อย่างเห็นด้วย ก่อนจะรำพึงออกมาเบาๆ “ฉันไม่คิดว่าเขาเกลียดใครจริงจังหรอก คนธรรมดาไม่มีค่าให้คิดถึงด้วยซ้ำ…เจ้าโง่นั่นคงคิดแบบนี้แหละ”

    วัตสันให้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ใช่

    “ไม่หรอกจอห์น…ที่ฉันพูดมันไม่ได้รวมนาย” ไมครอฟท์พูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “เชอร์ลอคคิดถึงนาย…และก็จะคิดถึงตลอดไป เชื่อฉันสิ”

    วัตสันนิ่งไป ไม่พูดอะไรออกมานอกจากคำสุดท้าย “ผมขอตัวนะ…ไมครอฟท์”

    ชายหนุ่มหันหลังจากมาทันทีที่กล่าวจบ ไม่รอแม้จะฟังคำลาของอีกฝ่าย

    เชอร์ลอคจะคิดถึงเขาได้อย่างไร…ในเมื่อเจ้าตัวจากไปเสียแล้วแบบนี้

    7.01 pm; 14 February.

    เสียงรถราในถนนนอร์ธัมเบอร์แลนด์โดนกั้นไว้ด้วยประตูและกำแพงกระจกใส

    วัตสันนั่งเหม่อมองภาพด้านนอก วันนี้แสงไฟที่อาบถนนดูจะเจือสีชมพูนิดๆ ตามเทศกาล…ไม่ใช่แค่สีส้มเหมือนกับครั้งแรกที่เขามาร้านนี้

    …กับเชอร์ลอค

    ชายหนุ่ม หัวเราะกับตัวเอง…จำได้ว่าตอนนั้นเขาโดนเชอร์ลอคลากไปนั่นไปนี่เพื่อสืบ คดีหญิงเจ้าของกระเป๋าสีชมพูแปร๊ด และร้านอาหารอิตาเลียนร้านนี้ก็เป็นที่ที่อีกฝ่ายตกลงใจเอาเองว่าจะเป็นที่ ดักเจอคนร้ายและยัดเยียดให้เขาสั่งมื้อเย็นทานไปเลยระหว่างรอ

    “อ้าว!” แองเจโล…เจ้าของร้านร้องทักเมื่อเห็นเขา ร่างใหญ่โตรีบเดินตรงมารับเมนูด้วยตนเอง “สั่งมาเลยไม่ต้องเกรงใจนะ…ฉันเลี้ยงเอง”

    วัตสันยิ้มเฝื่อนๆ เมื่อบังคับให้ตัวเองพูดออกไป “อย่าเลย…ผมไม่ได้มากับเชอร์ลอคนะคราวนี้”

    “ไม่เอาน่า” แองเจโลส่ายหน้าน้อยๆ “จะเชอร์ลอคหรือคู่เดทของเชอร์ลอคก็เหมือนกันนั่นแหละ…สั่งตามใจได้เลย”

    ชาย หนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์ฝืนปั้นยิ้มตอบ เขาสั่งเมนูธรรมดาด้วยความเกรงใจ แองเจโลบ่นกระปอดกระแปดแม้ว่าเขาจะยืนยันความต้องการของตน จนสุดท้าย…ชายร่างใหญ่ก็ต้องยอมแพ้และเดินถือใบออเดอร์เข้าครัวไปโดยดี

    เวลา ผ่านไปสักพัก ก่อนที่เจ้าของร้านจะกลับมาอีกครั้งพร้อมจานอาหาร…และวัตสันก็ต้องขมวด คิ้วเมื่อเห็นว่าแทนที่จะเป็นพาสต้าผัดเห็ดอย่างที่เขาสั่ง อาหารในจานกลับเป็นพาสต้าผัดซีฟู้ดที่มีชิ้นกุ้งและปลาเต็มจาน

    “เอ่อ…แองเจโล ผมว่านี่มันไม่ใช่…”

    “ชู่!” เจ้าของร้านขยิบตาให้ มืออวบรินไวน์ขาวที่เขาก็ไม่ได้สั่งเหมือนกันใส่แก้วทรงสูงและเลื่อนมาให้ “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะด็อกเตอร์”

    เมื่อ กล่าวจบ…ร่างสูงใหญ่ก็ผละจากไปโดนไม่รอฟังคำโต้แย้ง วัตสันอดยิ้มออกมาไม่ได้…ก่อนจะเริ่มจัดการอาหารตรงหน้า แองเจโลเดินกลับมาอีกครั้งเพื่อวางถ้วยแก้วบรรจุน้ำที่มีเทียนไขสีชมพูรูป หัวใจลอยอยู่บนโต๊ะ

    “วีวาลาโรมานซ์!” เจ้าของร้านกล่าวด้วยสำเนียงที่ดัดให้ฟังเป็นฝรั่งเศสจ๋า ก่อนจะพูดติดตลก “ผมยอมเป็นฝรั่งเศสแค่กับประโยคนี้แหละ”

    วัต สันยิ้มขอบคุณ หากเมื่อได้นั่งทานอาหารต่อไปคนเดียว…ความหนักอึ้งในใจก็หวนกลับมา เขามองเทียนที่ลอยอยู่ในแก้ว ดวงไฟกระจิดริดส่องแสงวูบวาบ…วัตสันรู้ดีจากขนาดของมันว่าไม่นานแสงสว่าง นี้ก็จะต้องดับลง

    ตอนจบมาถึงก่อนที่จะทันได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

    นัยน์ตาสีดำหมองลงยามที่คิด

    เหมือนกับเรื่องของเชอร์ลอคกับเขาไม่มีผิด

    9.10 pm; 14 February.

    วัตสันไม่เคยรู้มาก่อนว่าซุปเปอร์มาร์เกตตอนช่วงค่ำของวันแห่งความรักจะว่างเปล่าขนาดนี้

    ชาย หนุ่มเข็นรถเข็นไปตามช่องจัดวางสินค้า หยิบนั่นนี่ใส่รถไปเรื่อยเปื่อย…เขาไม่ได้มีอารมณ์ซื้อของแต่อย่างใด หากมิสซิสฮัดสันเพิ่งโทรมาเตือนว่าในตู้เย็นไม่มีของกินอะไรเลย…ทุกอย่าง จึงจบลงที่การมาซื้อของแบบปุบปับอย่างที่เป็นอยู่

    วัต สันเข็นรถอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก…เขาเคยคิดว่าสภาพจิตใจของเขาน่าจะดีขึ้น ถ้าได้ออกไปพบปะผู้คนบ้าง หากทุกอย่างผิดพลาดไปหมด…ไม่มีอะไรดีขึ้น เขายังคงคิดถึงเชอร์ลอคเหมือนเดิม…และความเจ็บปวดในใจก็ไม่ได้ลดหย่อนลงไป จากที่เป็น

    ไม่สิ…อาจจะแย่กว่าก็ได้ เพราะคำพูดของทุกคนตอกย้ำว่าเชอร์ลอคจากไปแล้วจริงๆ

    วัต สันนึกอยากหัวเราะกับความเป็นจริงอันแสนจะงี่เง่า…เขาไม่เคยรู้สึกยึดติด กับอะไร ไม่ชอบที่จะมานั่งทำตัวเป็นพี่เลี้ยงหรือคนกลางคอยรับหน้าให้ใคร และไม่เคยที่จะยอมทนกับคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง…และเชอร์ลอค โฮล์มส์ก็ดูจะมีชื่อติดเอลิสต์ในทุกข้อ

    …หากตอนนี้ คนคนนี้กลับกลายเป็นคนที่ทำให้เขาเศร้าเสียจนหายใจแทบไม่ออกยามที่พบว่าไม่มีกันและกันอีกแล้ว

    “…บ้าจริง”

    วัต สันไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้ เจ็บใจเสมอเมื่อคิดแบบนี้…เพราะมันเหมือนกับจะเยาะเย้ยความคิดอ่อนหัดของ เขาว่าทุกอย่างไม่มีทางจะสายไป

    ทุกอย่าง มีทางจะสายไปได้เสมอ…การที่เขาได้มาตระหนักถึงความรู้สึกแท้จริงของตนตอน ที่เห็นร่างของเชอร์ลอคร่วงหล่นลงมาต่อหน้าต่อตาก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่าง ดี

    นัยน์ตา สีดำหลับลง…เขาพบเชอร์ลอคเพียงไม่นานมานี้ เวลาที่อยู่ร่วมกันก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ และความเห็นที่ไม่ลงรอย ไหนจะนิสัยพิลึกพิลั่นแถมเอาแต่ใจสุดโต่งนั่นอีก…คนประเภทนี้ไม่เคยทำให้ เขานึกอยากอยู่ใกล้เลยสักนิด

    แต่ถ้าหากตอนนี้ขอพรได้สักข้อ…เขาก็คงไม่ลังเลที่จะขอให้คนประเภทนี้ที่ชื่อเชอร์ลอค โฮล์มส์กลับมาอยู่ใกล้ๆ เขาเหมือนเดิม

    11.58 pm; 14 February.

    ด็อกเตอร์จอห์น วัตสันกลับถึงแฟลตหมายเลข 221B บนถนนเบเกอร์พร้อมถุงกระดาษบรรจุของชำในอ้อมแขน

    รอบตัวเงียบ สงัด การฉลองวันวาเลนไทน์ซาหายไปตามเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของวัน ชายหนุ่มนิ่งมองและปล่อยให้ตัวเองจมในเสียงของความเงียบ…พบว่าตนไม่ได้ รู้สึกเกลียดวันแห่งความรักน้อยลงไปจากเมื่อตอนเช้าเลยสักนิด

    เขา พยายามไล่ความรู้สึกวูบโหวงที่ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักทีออกไปแล้วไขกุญแจ ประตูหน้าแฟลต นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนพอดีตอนที่เขาเดินถึงชั้นสอง วัตสันถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยิน…วาเลนไทน์จบลงแล้ว

    12.00 am; 15 February.

    ก่อนที่เขาจะทันได้วางถุงกระดาษบรรจุของชำลงบนโต๊ะอาหารในครัว…กริ่งหน้าแฟลตก็ดังขึ้น

    วัต สันขมวดคิ้วอย่างสงสัย…แต่ก็เดินลงไปเพื่อจะเปิดประตูรับแขกยามวิกาลที่ เขาไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี และเมื่อลงบันไดมาได้ครึ่งทางก็พบว่าตนลืมตัวถือถุงของชำติดมือมาด้วย ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเซ็งกับความพลาดของตัวเองแต่ก็ปล่อยให้เลยตาม เลย…เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ได้หนักอะไรมากมาย

    เสียงกริ่งดังย้ำขึ้นอีกทำให้เขาเร่งฝีเท้า รีบร้องบอกออกไปนำหน้าก่อน “ครับๆ…!”

    ความเร่งรีบทำให้ลืมแม้แต่จะส่องตาแมว ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปทันทีโดยที่ยังพูดขอเวลาไม่จบด้วยซ้ำ

    “มาแล้ว…”

    หากเมื่อบานไม้หนาหนักเปิดกว้างจนสุด…ทุกคำพูดก็โดนลบลืม เขาคิดว่าตัวเองฝันไปยามที่ได้ยินเสียงของผู้มาเยือนกล่าวนุ่มๆ

    “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะจอห์น”

    แม้จะมีเพียงแสงไฟจากโคมริมถนน…แต่เขาก็จำได้ดีว่าร่างสูงเจ้าของเรือนผมหยักศกสีดำในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีเดียวกันนี้เป็นใคร

    วัตสันได้แต่ยืนนิ่ง สีหน้าประหลาดใจเข้าขั้นช็อคทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ…นัยน์ตาสีฟ้าเทาเหมือนพี่ชายแต่ซีดจางกว่าเป็นประกายระริก

    “ฉันกลับมาแล้ว…จอห์น”

    เชอร์ลอค โฮล์มส์ยังคงเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้วราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น…จะมี สิ่งเดียวที่แปลกไปก็คือกุหลาบแดงช่อสวยในมือ เขาพินิจมองชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์ตรงหน้า…รอเวลาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะ เลิกอึ้งแล้วโผเข้ามากอดเขาเสียที

    “เชอร์ลอค…”

    ร่างของวัตสันก้าวเข้ามาใกล้…สมองอันเฉียบคมของเชอร์ลอคเริ่มต้นคาดการณ์ในเสี้ยววินาทีว่าน่าจะมีอะไรบ้างที่ตนจะได้รับ

    …น้ำตา…คำต่อว่า…หรืออาจจะเป็นจูบสักจูบพร้อมคำขอร้องว่าอย่าจากกันไปอีก…และนั่นก็คงจะตามมาด้วยจูบอีกหลายจูบ…

    แต่แน่นอน…ว่าถ้าจะมีใครสักคนที่เชอร์ลอค โฮล์มส์เดาใจไม่ได้…คนคนนั้นย่อมไม่พ้นด็อกเตอร์จอห์น วัตสัน

    ร่าง สูงของชายหนุ่มโค้ทดำเซถลาไปแทบตกขอบฟุตบาธเมื่อโดนน้ำหนักโถมทับ…มันไม่ ใช่น้ำหนักของวัตสันที่โผเข้ากอด แต่เป็นถุงกระดาษในมืออีกฝ่าย…พร้อมกับเสียงตะโกนลั่นแบบไม่เกรงใจเพื่อน บ้าน

    “ไอ้-เลว-เอ๊ย!!!”

    ชาย หนุ่มผมดำพยายามจะทรงตัว แต่สุดท้ายก็ต้องล้มลงไปนั่งกับพื้นเมื่อคนตัวเล็กกว่ายังไม่ยอมจบ ง่ายๆ…คุณหมอที่ตอนนี้มองก็รู้ว่าโกรธสุดขีดคว้าข้าวของที่หลุดออกมาจาก ถุงแล้วระดมขว้างใส่เขาไม่ยั้ง เชอร์ลอคยกมือขึ้นบังแล้วพูดสั่งเสียงลั่น

    “โอ๊ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะจอห์น!! ฉันบอกให้…โอ๊ย!!!” ก้อนขนมปังที่กระแทกเข้าเต็มๆ ที่หน้าผากทำให้เขาเสียหลักอีกครั้ง…ตามมาด้วยผักกาดแก้วที่พุ่งอัดท้อง โชคยังดีที่แอปเปิ้ลลูกใหญ่โดนเล็งพลาด…เพราะแค่แรงกระแทกเฉียดต้นแขนไป นั้นก็ทำให้เขาร้องเสียงหลงเสียแล้ว “พอได้แล้ว…โอ๊ย!!

    “พอ แล้วงั้นเหรอ? นายพูดว่าพอแล้วงั้นเหรอ??!!” คนทำร้ายร่างกายเขาสวนกลับเสียงลั่น ไม่หยุดขว้างปาข้าวของ “แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ!! นาย-มัน-ไอ้-ทุ-เรศ!!

    คำ ด่าชัดเจนเป็นจังหวะตามบรรดาผักผลไม้ที่กระแทกใส่ตัวเขา…เชอร์ลอครีบฉวย จังหวะที่ของใกล้มืออีกฝ่ายหมดในการลุกขึ้นยืน ช่อดอกกุหลาบที่ตอนนี้บู้บี้เสียแล้วโดนยื่นให้อีกครั้งด้วยหวังว่ามันจะดับ อารมณ์ร้อนๆ ของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าได้

    “ฉันขอโทษที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลยแล้วหายไปแบบนั้น…” คุณนักสืบพูดเร็วปรื๋อ “…ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เพราะงั้น…”

    เชอร์ลอคถอนหายใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์ดูสงบลง ดวงตาสีดำจ้องช่อดอกไม้สีแดงสดที่โดนยื่นมาให้นั้นแล้วกล่าวแทรกเสียงค่อย

    “กุหลาบนี่…จะเอามาให้ฉันเพราะวันวาเลนไทน์หรือไง?”

    “ใช่…ฉันหวังว่านายจะ…”

    “ถ้า จะเอามาฉลองวาเลนไทน์…ปีหน้าก็ช่วยมาให้มันถูกวันทีเถอะ!!” หมัดที่พุ่งเข้าใส่ทำให้ท้องฟ้าลอนดอนยามราตรีในสายตาของเชอร์ลอคมีดาวพร่าง พรายขึ้นมาทันที “วาเลนไทน์มันจบไปตั้งแต่ก่อนนายจะกดกริ่งอีก…ไอ้งี่เง่าเอ๊ย!!”

    ร่าง สูงในโค้ทสีดำเสียหลักลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง…หากคราวนี้ เขาไม่อาจเถียงหรือพูดอะไรออกไปได้เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย…ความเสียใจ และคำตัดพ้อฉายชัดเจนจนหัวใจคนมองเจ็บหนึบ

    “จอห์น…”

    มือ เรียวของชายหนุ่มผมดำยื่นออกไป…หวังจะสัมผัสอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยนให้ความ เศร้าหายไปจากดวงตาสีดำ แต่ร่างตรงหน้าก็ผละหนี ก้าวยาวๆ เข้าไปในประตูแฟลตและปิดมันดังปังตามหลัง

    นัยน์ตา สีฟ้าเทาจางมองประตูไม้สีเข้มที่ปิดใส่หน้าเขาด้วยความรู้สึกมากมายเกินจะ บรรยาย…เชอร์ลอครู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทำไปมันเกินจะให้อภัยได้แค่ไหนในสายตา ของอีกฝ่าย แต่จอห์นที่มีชีวิตและโกรธเขาย่อมดีกว่าจอห์นที่ไม่มี โอกาสจะรู้สึกอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว…เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่เป็นดั่งคำโกหก ร้ายกาจต่ออีกฝ่ายที่สุดลงไป

    เพราะฉะนั้น…เขาจะยังบ้าพอที่จะหวังให้จอห์นไม่แสดงอารมณ์รุนแรงแบบนี้ได้ยังไง…?

    เชอร์ ลอคห่อตัวเล็กน้อยเพราะความเย็นของอากาศยามเที่ยงคืนของลอนดอนที่แทรกซึม ทะลุเสื้อโค้ทเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นมองตึกตรงหน้าอีกครั้ง…เงาร่างที่คุ้นตาวูบวาบอยู่ตรง หน้าต่าง และถึงชายหนุ่มก็ทำใจแล้วว่าอย่างไรเสียคืนนี้แฟลตหมายเลข 221B ก็คงไม่ต้อนรับเขาแล้วเป็นแน่…เขากลับไม่อยากจะเดินจากไป

    เขาไม่อยากจะละสายตาจากคนคนนี้อีกแล้ว…แม้ว่าสิ่งเดียวที่ได้เห็นจะเป็นแค่เพียงเสี้ยวเงาก็ตาม

    เชอร์ ลอคยิ้มเศร้าๆ ออกมา…รู้ตัวดีว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรจะได้รับเมื่อเทียบกับ ความเจ็บปวดที่ตนก่อ ร่างสูงค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น หักใจให้หันหลังเพื่อจะเดินจากไป

    …และตอนนั้นเองที่ประตูแฟลตเปิดออกอีกครั้ง

    เชอร์ ลอคหันไปตามเสียง ชายหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่หลังบานไม้…และหันหลังเดินขึ้น ชั้นบนไปหลังได้สบตากับเขา ไม่มีคำเชิญใดๆ…แต่เขาก็ตีความเอาว่าประตูที่เปิดคาไว้คงเป็นการอนุญาตจาก อีกฝ่าย

    หลัง จากขึ้นบันไดมาแล้ว…ร่างสูงก็เดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น เขาแขวนเสื้อโค้ทที่ราวหน้าห้องตามความเคยชิน และก็นิ่งไปตอนที่เห็นสภาพห้อง ความรู้สึกท่วมท้นเอ่อขึ้นในใจ…ผู้ชายที่รักความเป็นระเบียบอย่างจอห์น วัตสันไม่ได้เคลื่อนย้ายอะไรสักชิ้น ทุกอย่างยังอยู่ที่เดิมตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น…บอกให้รู้ว่าอีก ฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับการจากไปของเขา

    “มานี่”

    เสียง เรียกให้เชอร์ลอคหันตาม…ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะยอมทำตามประโยคคำสั่ง หากสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่นับว่าปกติ และนั่นทำให้ร่างสูงยอมเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่ายบนโซฟาที่เคยเป็นที่นั่งบ่นนอนบ่นของตนโดยดี…ดูออกว่าคนตรงหน้ายัง คงโมโหจนไม่อยากจะมองหน้าเขาอยู่

    “ยื่นแขนซ้ายมาซิ”

    เสียงกรุ่น สั่ง และเขาก็ทำตามคำสั่งโดยไม่โต้แย้งอะไร คนตรงหน้าแกะกระดุมข้อมือของเสื้อเชิร์ตของเขา ม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก ก่อนจะละมือไปค้นอะไรกุกกักในกล่องสีขาวใบเล็กบนตักตัวเองสักพัก

    และท่ามกลางความประหลาดใจของเขา…สัมผัสเย็นๆ ของครีมแก้ช้ำก็แตะลงบนรอยสีเข้มที่แรงเฉี่ยวของแอปเปิ้ลทิ้งไว้

    “จอห์น…?”

    ไม่ มีคำตอบใด…คนตรงหน้ายังคงทำแผลให้เขาแม้หน้าตาเหมือนจะอยากชกเขาเพิ่มสัก หมัดมากกว่า มือคล่องแคล่วพันผ้าพันแผลรอบรอยช้ำก่อนจะพลิกแขนเขาดูเพื่อดูให้แน่ใจว่า ไม่มีแผลตรงไหนอีก แล้วจึงเอื้อมมือมารั้งแขนอีกข้างของเขาเพื่อทำอย่างเดิม

    เชอร์ ลอคอดยิ้มบางๆ กับภาพที่เห็นไม่ได้ ความรู้สึกค่อยๆ เติมเต็มในหัวใจ เขาบรรยายไม่ถูกว่ามันเหมือนอะไร…มันเหมือนกับดอกไม้ที่ผลิบาน แต่ก็อบอุ่นสว่างไสวเหมือนแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยที่พร่างพรายนับพัน

    “ก้มลงมาซิ”

    หลัง จากตรวจดูแขนของเขาจนแน่ใจแล้ว…คุณหมอก็ออกคำสั่งใหม่ ในมือมีสำลีชุบแอลกอฮอล์เตรียมไว้พร้อมสำหรับแผลถลอกเล็กๆ ตรงข้างแก้มเขา เชอร์ลอคยอมทำตามโดยดี นัยน์ตาสีฟ้าเทาซีดจางไม่ยอมละจากเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังทำแผลให้ตน อยู่…สิ่งเดียวชัดเจนในใจยามมองสีหน้าเรียบนิ่งกับนัยน์ตาน้อยใจของอีก ฝ่าย

    เขาคิดถึงคนคนนี้

    แอลกอฮอล์ แสบซ่านบนปากแผล เชอร์ลอคเอี้ยวตัวตามสัญชาตญาณเล็กน้อย…และนั่นก็ดูจะทำให้อีกฝ่ายขยับตัว ตามสัญชาตญาณบ้างเหมือนกัน วัตสันเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้…มืออีกเข้าเอื้อมออกมาแตะที่แก้มเขาเพื่อรั้ง ให้ใบหน้าของเขาไม่ถอยห่างออกไป ความเย็นชาเลือนหายไปจากน้ำเสียงและโดนแทนที่ด้วยกระแสอ่อนโยน

    “แสบนิดเดียวนะ…ทนหน่อย”

    เสียง นุ่มนวลนั้นสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาในความคิด เชอร์ลอคนั่งนิ่งและวัตสันก็ใช้เวลานั้นในการทำแผลต่อจนเสร็จ และเมื่อพลาสเตอร์โดนปิดลงบนผิวแก้ม…มือเรียวของเชอร์ลอคก็เอื้อมออกไป รั้งมืออีกฝ่ายเอาไว้ เสียงทุ้มกล่าวเบาๆ

    “ฉันขอโทษนะ”

    วัต สันหัวเราะเหยียดๆ เล็กน้อย “สำหรับอะไร? ที่นายหลอกฉันว่านายตายไปแล้ว…ที่นายไม่คิดจะบอกอะไรฉันเลย…หรือที่นาย งี่เง่าจนแค่มาให้ทันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้?”

    สอง สายตาสบประสาน…คู่หนึ่งระริกด้วยคำตัดพ้อ อีกคู่หนึ่งนิ่งงันด้วยความเสียใจ เชอร์ลอคเม้มริมฝีปาก…นึกโกรธตัวเองที่สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องคนตรงหน้า ได้เต็มที่ เพราะถึงจะไม่ได้รับอันตรายทางร่างกายใดๆ…แต่จอห์นยังคงต้องเจ็บปวดจากบาด แผลในใจอยู่ดี

    และเขาก็ไม่มีคำพูดอื่นใดนอกจากนี้

    “ทุกอย่าง…จอห์น…ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ทำให้นายเสียใจ”

    ประโยค เรียบง่าย…หากมีอำนาจพอที่จะพังกำแพงทุกอย่างในใจคนฟัง และนั่นทำให้สิ่งที่เหลือมีแต่เพียงความรู้สึกทั้งหมดที่โดนกักเก็บเอาไว้ ตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายหายไป…วัตสันชักมือของตนออกจากการเกี่ยวกุม หากนั่นก็เพียงที่จะทำให้เขาสามารถทำอย่างที่ใจอยากทำตั้งแต่ที่อารมณ์เย็น ลงแล้วได้

    ร่างกายโผเข้าใกล้ สองแขนยื่นออกไป

    วินาทีเดินเชื่องช้า…เมื่อในที่สุดเขาก็ได้กอดคนที่คิดถึงเหลือเกินหลังการรอคอยที่สิ้นหวังที่ผ่านมา

    – – – – –

    เชอร์ลอค โฮล์มส์พบว่าตัวเองโดนทำให้ประหลาดใจเพราะการกระทำของจอห์น วัตสันอีกครั้ง…หากเขาก็พบว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกต้องการอะไรในวินาทีมาก ไปกว่าการได้โอบร่างอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนเช่นกัน

    เขาเพิ่มแรงกอด…กระซิบแผ่วเบา

    “ฉันกลับมาแล้ว…จอห์น”

    เจ้า ของชื่อไม่ตอบอะไร หัวใจที่เหนื่อยล้าดูจะสงบลงแล้วตอนนี้…ตอนที่เขาได้พิสูจน์ว่าทุกอย่าง ไม่ใช่ความฝัน…ตอนที่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเมื่อแนบแก้มลงชิดแผงอก ตรงหน้า แว่วเสียงอีกฝ่ายพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ ที่กลัวจะโดนทิ้ง

    วัต สันซุกหน้าลงกับบ่าของอีกฝ่าย กระซิบกลับไป…ประโยคที่รู้ดีว่ามันยิ่งทำให้เขาดูเหมือนเด็กเล็กๆ ในความคิดของคนที่โอบตนอยู่มากกว่าเดิม “ห้ามหายไปแบบนี้อีกแล้วนะ…เข้าใจไหม?”

    เสียงหัวเราะขำทุ้มนุ่มที่ได้ยินทำให้เขารู้สึกอุ่นใจเหมือนทุกครั้ง “ไม่อีกแล้วแน่นอน…เชื่อฉันนะ”

    หลาย นาทีผ่านไป…หากวัตสันกลับไม่รู้สึกอยากจะผละจากความอบอุ่นที่โอบล้อมตนไว้ ตอนนี้ไป อ้อมแขน…กลิ่นหอมสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์…เสียงหัวใจเต้นที่ได้ ฟัง…ทุกอย่างทำให้เขารู้สึกเหมือนกับในที่สุดตนก็ได้ตื่นจากฝันร้ายเสียที

    “ชอบกุหลาบฉันไหม?”

    เสียง ถามทำให้วัตสันนิ่งนึก…ในที่สุดภาพช่อกุหลาบแดงที่อีกฝ่ายตั้งใจจะเอามา ให้เขาก็วาบเข้ามา ตามมาด้วยความทรงจำที่ว่าเขาทิ้งมันไว้ที่หน้าแฟลตพร้อมข้าวของที่ใช้ กระหน่ำขว้างใส่ร่างสูง

    “…ไม่รู้สิ” เขาสารภาพเสียงค่อย “ตอนนั้นฉันไม่มีเวลาจะได้ดูดีๆ”

    เชอร์ ลอคอมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ…นึกถึงวินาทีที่ของชำลอยว่อนในอากาศด้วยฝีมือ ของคนในอ้อมกอด “เสียดายจัง…นั่นเป็นความในใจวันวาเลนไทน์ของฉันเลยนะ”

    คำตอบตวัดตามมาด้วยน้ำเสียงกล่าวหารั้นๆ “แต่นายมาสาย”

    “ก็จริง” เขายอมรับ แต่ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบ “แต่อย่างน้อยก็ถือว่าฉันได้บอกนายนะ”

    วัตสันอึ้งจนตัวแข็งไปเล็กน้อยกับความนัยที่ประโยคต้องการจะสื่อ…ก่อนจะรีบบังคับให้ตัวเองตวัดเสียงสะบัดๆ ตอบไป

    “แต่สายก็คือสาย…มันไม่ใช่วาเลนไทน์แล้ว…เพราะงั้นฉันไม่ก็ต้องพูดอะไรซะหน่อย…มันไม่จำเป็น…”

    ถึง ภาษาพูดจะยืนยันว่าไม่บอก…หากภาษากายกลับตอบเป็นอื่นเสียแทนด้วยอ้อมแขน โอบร่างตรงหน้าแน่นขึ้นอย่างลืมตัว เชอร์ลอคไม่พลาดที่จะสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นของคนในอ้อม แขน…รอยยิ้มบางเบาจุดที่มุมปาก

    “อืม…รู้แล้วล่ะ…ฉันรู้แล้ว”

    เสียงกระซิบนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน…คำตอบให้กับความในใจที่ได้ถูกเอ่ยออกมาของคนตรงหน้า

    “…ฉันก็รักนายเหมือนกัน”

    fin.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in