ขอโทษนะที่ใช้เวลานานกว่าจะเขียนจดหมายฉบับนี้ตอบ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้หรอก แต่รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว ระหว่างที่หายไป เราเอาแต่อ่านสองย่อหน้าแรกในจดหมายของลินซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น บอกตามตรงว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร นอกจากว่ามีคำถามที่อยากถาม แต่ก็กลัวว่าถามไปแล้วลินจะโกรธ เพราะคำถามนั้นก็คือ ลินโกรธอะไรเราหรือเปล่า หรืออันที่จริงคือ เราทำอะไรให้ลินโกรธใช่ไหม ตอนที่พูดถึงป้ายหน้าโรงเรียน แต่เพราะว่าตัวหนังสือไม่มีเสียง เราเลยไม่กล้าแน่ใจ ได้แต่คิดวนเวียนอยู่คนเดียวอย่างนั้น แม้แต่เอาไปปรึกษาแม่ก็ยังไม่กล้า เพราะหนึ่ง) จับต้นชนปลายไม่ถูก สอง) นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน จะเรียกว่าความลับก็ไม่เชิง แต่จะให้คนอื่นมาแสดงความเห็นหรือเข้าใจลินผิดไปอีกก็คงไม่ดี ไปๆ มาๆ เลยได้ข้อสรุปว่าเราจนมุม ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากต้องเขียนมาหา ขอโทษอีกทีนะที่ให้รอ (หมายถึงว่าถ้าลินยังรอจดหมายเราอยู่น่ะนะ)
จากที่เราเข้าใจ ถึงไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหม แต่ขออธิบายก่อนว่าบางคนในห้องเราก็ไปแลกแชทของเพื่อนห้องลินจริงๆ ขณะที่บางคนรู้จักหรือเคยเห็นหน้ากันเพราะไปเรียนพิเศษ สำหรับเรา ความสัมพันธ์พวกนั้นทำให้การเขียนจดหมายกลายเป็นเรื่องจั๊กจี้หัวใจอยู่เหมือนกัน เพราะจู่ๆ ตัวหนังสือที่เห็นบนหน้ากระดาษก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา บางทีเราดันลืมซะสนิทว่ามีคนจับปากกาเขียนมันลงไป ดังนั้นถ้าได้เจอกันจริงๆ ก็คงเหมือนโลกสองใบมาชนกัน เหมือนเปิดประตูมิติแล้วเจอร่างดอปเปลอร์แกงเกอร์ ทำตัวไม่ถูกเลยว่าคนในจดหมายกับคนที่อยู่ตรงหน้า คนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริง เรื่องนี้เราอาจจะจินตนาการโอเวอร์ไปเองก็ได้ เพราะว่าเพื่อนกลุ่มเราคนหนึ่งก็คุยกับคู่ของตัวเองตามปกติ ถึงขั้นนัดแนะกันว่าจะส่งจดหมายเมื่อไหร่หรือเขียนอะไรลงไปดี จะได้ทำเขียนบทสรุปได้ง่ายดายขึ้นหน่อย ถึงโดนหาว่าโกงมันก็ไม่สะทกสะท้านสักนิด
ส่วนลินกับเราเป็นคนละอย่าง ถ้าไม่นับป้ายแสดงความยินดีที่รั้วโรงเรียน ระหว่างเราก็มีแค่จดหมายพวกนี้ เราเห็นลินผ่านตัวหนังสือสวยๆ เป็นระเบียบเรียบร้อย และยังเร็วไปด้วยถ้าจะตัดสินว่าใครมีนิสัยใจคอยังไงกันแน่ผ่านจดหมายแค่สองฉบับ เราจะไม่โกหกว่าโดนเพื่อนถามตั้งแต่วันแรกว่าคู่ของเราเป็นใคร เราจะไม่โกหกว่ามีคนรู้จักนลิน ห้อง 5/6 อยู่เหมือนกัน แต่แล้วยังไง เราไม่รู้จักลินเลยสักนิด นั่นเป็นหัวใจของโครงการนี้เลยนี่นา = การโต้ตอบกันของคนแปลกหน้า 99% + เทคโนโลยี 1% (ระบบไปรษณีย์)
เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าเราจะไปตามสืบหรือเที่ยวถามใครเรื่องลิน แบบนั้นมันไม่เป็นธรรมต่ออีกฝ่ายเกินไป ถึงเราจะเป็นพวกแสนรู้และกดสูตรโกงในเกมบ้างเป็นบางครั้ง แต่การเขียนจดหมายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันเอง จะไปขอตัวช่วยอื่นไม่ได้ ตอนลินบอกว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเพราะอยากรู้จักเรา (ใช่ไหมนะ ต้องกลับไปอ่านทวนอีกที) เราเลยยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกันเท่าที่อยากให้รู้จักอย่างสบายใจเถอะ เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่เลย เราต้องเชื่อลินมากกว่าเชื่อใครอยู่แล้ว
ได้เขียนเต็มหน้าแล้วสบายใจขึ้นเยอะ รู้แบบนี้ลงมือทำตั้งนานแล้ว แต่ถ้าเราตีความหรือเข้าใจผิดตรงไหน ลินแย้งได้เลยนะ บางครั้งเราก็เป็นพวกพูดหรือทำอะไรไม่คิดแบบนี้แหละ
เออใช่ พอตอบจดหมายช้าไปขนาดนี้ งานกีฬาสีโรงเรียนลินเลยผ่านไปแล้ว เราขอโทษที่ไม่ได้รีบตอบคำถามในจดหมายฉบับก่อนหน้านะ รู้สึกผิดด้วยที่ไม่ได้ให้กำลังใจหรือคำแนะนำอะไรกับลินที่น่าจะลำบากกับกีฬาสีอยู่แน่ๆ อย่างที่เราเคยบอก ไม่มีอะไรจะสั่นคลอนความสามัคคีในนามความสามัคคีได้เท่ากีฬาสีแล้ว จริงอยู่ที่บางกรณีทะเลาะกันแล้วกลับมาแน่นแฟ้นกว่าเดิม แต่เราคนนึงแล้วที่รู้สึกว่าอะไรที่กระทบกระทั่งกันแล้วไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้อีก ต่อให้ไม่โกรธกันแล้ว แต่ทั้งเขาและเราก็ไม่ใช่คนก่อนหน้านั้นอีกต่อไป พอนึกภาพออกไหม อีกอย่าง จะไม่ให้เราเกรี้ยวกราดได้ยังไงในเมื่อตกอยู่ในสภาพมัดมือชกกันหมด เราไม่มีสิทธิ์บอกว่าไม่เอากีฬาสี เราจะไม่ทำในขณะที่คนอื่นๆ ลงมือทำอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเราควรต่อรองได้ว่าตัวเราอยากทำอะไร จะกำหนดทิศทางของงานไปทางไหน และต้องมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ด้วย ดังนั้นที่ลินถามเรา การที่มติส่วนใหญ่บังคับให้ใครคนหนึ่งต้องเสียสละคนเดียว มันก็คือความเห็นแก่ตัวไม่ต่างกันนั่นแหละ มีคนตั้งมากมายขนาดนั้นก็น่าจะช่วยกันหาทางออก หรือถ้าไม่มีก็เสียสละไปด้วยกันไม่ได้หรือไงเล่า
ไม่รู้เพราะลินเล่าให้ฟังหรือเปล่า แต่ตอนที่ขบวนพาเหรดโรงเรียนนิลเดินมาถึงถนนหน้าโรงเรียนเรา (ชะโงกหน้าลงไปดูจากห้องโฮมรูมที่ชั้นสอง) พอเห็นชุดอลังการของคทากรเอย คนถือป้ายเอย ก็นึกถึงคำว่าไร้แก่นสารอยู่เหมือนกัน ของพวกนี้มันจำเป็นจริงๆ เหรอ เราเองก็เคยเดินถือธงเพราะตัวสูง ว่าแต่ถือไปทำไมวะ ไม่เคยคิดจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย พอวันรุ่งขึ้นก็ปวดแขนและเหมือนจะเป็นไข้เพราะตากแดด ดูเหมือนว่าเราก็ทำๆ ไปจบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ลินไม่ต้องห่วงว่าตัวเองจะเป็นคนขี้ขลาดหรอกนะ เราก็ขี้ขลาดด้วยกันหมดนี่แหละ
จะว่าไป พอจบกีฬาสีได้ไม่ทันไรก็ถึงงานลอยกระทงเลย เทอมสองนี่มีกิจกรรมเต็มไปหมด เป็นสวรรค์สำหรับคนอย่างเราเหลือเกิน วันนี้เราไปประกวดทำกระทงมาด้วยแหละ ลงแข่งประเภทสร้างสรรค์ด้วยการเอาแตงโมที่กินกับพ่อเมื่อคืนมาทำเป็นฐาน ออกมาเป็นรูปเรือสุดว้าว วางบนโต๊ะกรรมการปุ๊บก็เด่นที่สุดทันที! แต่ไม่ชนะหรอกนะ เพราะว่าจม ฮ่าๆ จริงๆ ทำพอเป็นพิธีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนเด็กๆ เราสนุกเวลาได้ไปลอยกระทงที่งานวัดริมแม่น้ำนะ แต่โตมาแล้วรู้ว่ามันสร้างขยะเยอะแค่ไหนก็ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน เรามักคิดว่าประเพณีเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือแตะต้องไม่ได้เลย ทั้งที่วิธีคิดแบบนั้นมันฝืนธรรมชาติและกาลเวลามากๆ เรื่องนี้ก็เหมือนทำตามกันมาจนลืมวัตถุประสงค์อีกแล้วแฮะ เพราะงี้เมื่อตอนเย็นเราเลยไปเดินเที่ยวงาน ซื้อขนมโตเกียวกับสายไหม จากนั้นก็ไปยืนพนมมือขอขมาพระแม่คงคาเฉยๆ ริมตลิ่ง เพื่อนหาว่าเราตลก ทั้งที่เราจริงจังสุดชีวิตแล้ว
ส่วนโรงเรียนลินก็เล่นใหญ่เหมือนเคย เห็นแผนกประถมจัดขบวนหนูน้อยนพมาศเดินไปลอยกระทงด้วย เหมือนเพิ่งอ่านบทความเมื่อไม่กี่วันก่อนว่านางนพมาศเป็นแค่ตำนาน รู้สึกแฟนตาซีจัง
ไม่รู้ว่าลินออกไปลอยกระทงที่ไหนไหม ถ้าเกิดไปล่ะก็ อ่านย่อหน้าข้างบนของเราแล้วอย่าโกรธกันนะ เราแสดงความเห็นที่ปกติไม่ได้ใจกล้าจะพูดออกไปดังๆ หรอก คงจะดีถ้าเราจะพูดอะไรอย่างใจคิดได้ผ่านจดหมายพวกนี้ มันก็เป็นข้อดีของการไม่เห็นหน้าหรือเจอกันทุกวันใช่ไหม ทั้งหมดที่เรามีก็แค่ตัวหนังสือ ไม่ให้ใครที่ไหนมาอ่านทั้งนั้นนอกจากเราสองคน
เพราะไม่ได้เขียนนาน เราเลยตั้งใจเขียนยาวหน่อยเป็นการไถ่โทษ และเพราะมีอะไรในหัวเยอะแยะเต็มไปหมด เราหวังว่าลินจะพอเข้าใจสิ่งที่เราคิดบ้าง แต่ถ้าไม่ เราไม่รู้ว่ามีสิทธิ์จะขอไหม แต่ขอให้ลินเขียนมาหาเรา ถามเราได้ทุกเรื่องเลย หรือถ้าจะปล่อยให้เรารอหลายอาทิตย์เป็นการแก้แค้นกันก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เรามีโอกาสได้เห็นจดหมายลินในตู้หน้าบ้านอีกหน
ไม่ใช่เพราะกลัวไม่ได้คะแนน แต่เพราะเราอยากรู้จักนลินต่างหาก
ป.ล. วันเพ็ญเดือนสิบสอง พระจันทร์ดวงกลมโตสุดๆ สว่างจนไม่ต้องเปิดไฟหน้าบ้านเลย อยากชวนให้ออกไปดู แต่ไม่รู้ว่าบ้านลินอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ในเมืองแล้วจะเห็นชัดไหม
ป.ป.ล. ลืมไปว่ากว่าจะได้จดหมาย พระจันทร์ก็คงไม่สวยเท่าวันนี้แล้ว เสียดายจัง
บางทีเผลอนึกว่า ถ้าหากเราเป็นคุณแม่ของน้องคนใดคนหนึ่ง ที่เผลอได้มาอ่านเข้า หรือถ้ามีการให้คุณครูตรวจจดหมายจริงๆ เราคงเป็นคนแก่ที่นั่งอ่านไปยิ้มมไป เห้อ ช่างน่ารักจริงๆ เด็กนิลลินทั้งคู่
พิมพ์มาถึงตรงนี้ อยากจะบอกว่าเห็นด้วยมากๆ เลยค่ะเรื่องกระทง อยากสืบสานวัฒนธรรมตรงนี้ด้วยวิธีอื่นแบบไม่ทำร้ายโลกมากๆ
'ไม่ใช่เพราะกลัวไม่ได้คะแนน แต่เพราะเราอยากรู้จักนลินต่างหาก จะรอนะ' ตรงนี้คือยิ้มแก้มปริ ;ww; แงงง มีความสุขกับเรื่องนี้มากๆ ขอบคุณที่เขียนขึ้นมาจริงๆ ค่ะ ??
ดูเหมือนนิลจะย้ำประเด็นนึงไว้ชัดมากเลยนะคะ ดูจากการย้ำแล้ว นานๆทีจะเจอเพื่อนใจดีที่ยอมเขียนจดหมายตอบเราแบบจริงจัง มันคงรู้สึกแย่แน่ถ้าทำให้เขารู้สึกไม่ดี
สารภาพว่าเราเองก็แอบกลัวเหมือนกันว่าเราจะเผลอด่วนตัดสินใครจากจดหมาย2ฉบับหรือเปล่า ขออยู่ทีมตามจดหมายเรื่อยๆนะคะ เพราะอยากรู้จักทั้งตัวนิลและตัวลินเหมือนกัน