เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดูหนังกันเถอะเราSoraya
Life, Animated | ดิสนีย์นั้นคือชีวิต sidekick ลิขิตให้ชีวิตก้าวไป~~ |


  • [2016, Roger Ross Williams]


    เราเป็นเด็กไทยในอดีตคนหนึ่งที่เชื่อคำสอนจากผู้ใหญ่ว่าการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระ ความไม่หนักแน่นในตัวการ์ตูนของเราทำให้เราพลาดโอกาสรู้จักการ์ตูนสนุก ๆ หลายเรื่อง ขอบข่ายหัวข้อเม้าท์กับชาวบ้านก็แคบลงไป  นึกเสียดายโลกการ์ตูนจับใจก็เมื่อเราถามคนรอบข้างว่าเริ่มวาดรูปเริ่มยังไง ทำไมถึงอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น ฝึกการเลียนเสียงแบบนี้จากไหนและคำตอบที่ได้กลับมาคือ การ์ตูน การ์ตูน และการ์ตูน ความหลงใหลในสิ่งที่ชอบนำไปสู่การลอกเลียนแบบแล้วก็เกิดทักษะ นอกจากเอาไว้เติมช่องคำถามความสามารถพิเศษแล้ว ยังเป็นแขนที่สามสี่ ห้า ช่วยขวานหาโอกาส ประสบการณ์ และกวัก-หยิบรายได้อีกด้วย 

    ใช่ว่าจะหย่าร้างกับการ์ตูนไปเสียทุกเรื่อง ยังคงดูการ์ตูนจากพวกโมเดิร์นไนน์การ์ตูนและพวกการ์ตูนดิสนีย์อยู่ คำพูดว่า “ฉันโตมากับการ์ตูนดิสนีย์” พร้อมดัดเสียงนิด ๆ เป็นมุกตลกเรียกเสียงจิกกัดและการบึนปาก จริงอยู่ที่เคยมีงานวิจัยว่าเอวเอสของเจ้าหญิงอาจทำลายความมั่นใจในตัวเองของเด็กผู้หญิงหากผู้ปกครองไม่แนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด ทว่าสาวกดิสนีย์หลายต่อหลายคนที่ดูดพลังงานบวกของดิสนีย์และคลายออกไปอย่างสร้างสรรค์ก็มีงานมีอาชีพ บ้างได้ทำงานร่วมกับวอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์

    Trailer หนังสารคดีตัวหนึ่งบอกกับคนดูว่าการ์ตูนดิสนีย์ไม่ได้ให้แค่แรงบันดาลใจ หากแต่มีเด็กคนหนึ่งที่ใช้โลกจิตนาการในการ์ตูนเรียนรู้เชื่อมโยงโลกที่ตัวเองอาศัยอยู่

    สารคดีเรื่อง Life Animated ชื่อไทยว่า ขอบคุณนะที่โลกนี้มีการ์ตูน มีที่มาจาก Life, Animated: A Story of Sidekicks, Heroes, and Autism (2014) หนังสือที่ รอน ซัสไกนด์ นักข่าวรางวัลพูลิเซอร์ เป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารหัวดังระดับโลก เขียนเล่าชีวิตของตัวเองและลูกชายออทิสติก ตัวหนังเล่าเรื่องชีวิตของโอเวนซัสไกนด์ เด็กที่โตมากับการ์ตูนดิสนีย์ ในวัย 23 ปีที่กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นสลับกับภาพเรื่องราวของเขาในวัยเด็กผ่านคลิปวิดีโอที่พ่อแม่ถ่ายเก็บไว้และคลิปบางช่วงในการ์ตูนดิสนีย์พร้อมด้วยแอนิชันเรื่องผู้พิทักษ์เหล่าลูกคู่ที่โอเวนเขียนเรื่องขึ้นมาเอง  

    ตอนโอเวนอายุ 3 ขวบ เขาเริ่มพูดคำที่ไม่มีความหมาย ชอบเล่นคนเดียวเก็บตัวมากขึ้น เมื่อไปพบกุมารแพทย์เฉพาะทางจึงรู้ว่าคนร้ายที่ลักพาตัวตนของโอเวนไปชื่อภาวะออทิสซึม หรือโรคออทิสติก

    โรคนี้เกิดจากสมองพัฒนาผิดปกติส่งผลต่อการพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการสื่อสาร เช่น พูดช้า พูดภาษาแปลก ๆ ไม่ส่งเสียงเรียก ด้านสังคม ด้านการเข้าสังคม เช่น ไม่แสดงอารมณ์เสียใจหรือดีใจปรับตัวเข้ากับ ผู้อื่นได้ลำบาก ไม่สบตาเวลาพูด ด้านการเล่น  สนใจรายละเอียดมากเกินไป เล่นซ้ำ ๆ เล่นช้า ๆ ชอบเล่นตามลำพัง

    เด็กชายโอเวนถูกลักพาตัวไปไม่นาน ในที่สุดเครื่องมือชื่อสังเกตและใส่ใจก็พาตัวเขากลับมา เมื่อพบว่าโอเวนพูดกับคนรอบตัวโดยเลียนแบบคำพูดจากการ์ตูน จากนั้นทั้งบ้านก็แปลงร่างเป็นตัวการ์ตูนในดิสนีย์คุยกับโอเวนโดยใช้บทพูดจากการ์ตูน

    ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสาเหตุหนึ่งที่เด็กออทิสติกเลียนแบบการ์ตูนเพราะการ์ตูนแสดงออกทางออกทางสีหน้าและอารมณ์เกินจริง แต่มันกลับพอเหมาะและเข้าใจได้ง่ายในคนที่มีภาวะออทิสซึม เนื่องจากในหัวของคนเหล่านี้สับสนอลหม่าน การรับรู้ไวต่อสิ่งเร้ารอบตัวมากกว่าคนปกติหลายเท่าการสื่อสารธรรมดา ๆ จึงจูนไม่ติด   

    สีหน้าและน้ำเสียงสมจริงสุดๆ ของรอนแม้เป็นแค่การสาธิตหน้ากล้องว่าเขาสวมหุ่นมือตัวการ์ตูนยาโก (นกแก้วสีแดง ลูกสมุนขี้เสี้ยมในเรื่อง Aladdin) คุยกับโอเวนอย่างไร ทำให้เราเดาได้ว่าครอบครัวซัสไกนด์จริงจังกับเรื่องที่พวกเขาร่วมหาทางออกมากขนาดไหนและผลลัพธ์ในขณะนี้ก็เป็นไปตามหวัง โอเวนพึ่งพาตัวเองได้ในระดับที่น่าพอใจเขาเป็นผู้นำในวงเสวนาเรื่องการ์ตูนดิสนีย์กับเพื่อน ๆ ในโรงเรียนซึ่งทุกคนเป็นออทิสติก และในวงเสวนามีทั้งเล่นดนตรี มี Q&A ไม่ต่างจากวงเสวนาอื่นเลย

    เด็กหนุ่มผู้หลงใหลการ์ตูนดิสนีย์และเพื่อน ๆ กำลังก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ออกไปอยู่อพาร์ทเมนท์และทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง  โอเวนพูดเสมอว่าไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับปีเตอร์แพนที่ไม่อยากออกไปจาก Neverland  เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อต้องรับผิดชอบตัวเองโอเวนตอบกลับว่ารู้สึกกังวลและเครียด สำหรับเราให้คะแนนเอบวกกับคำตอบนี้ เพราะเขาจริงใจต่อคนถามและที่สำคัญคือเขาเข้าใจตัวเอง ประกอบกับมีพี่ชายที่แสนดีคอยให้คำปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องรักกุ๊กกิ๊ก อย่าลืมว่าโอเวนก็เป็นหนุ่มอเมริกันมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนคนหนึ่ง แฟนสาวของโอเวนชื่อเอมิลี่ทั้งคู่มีการเดท ดูหนัง โอบกอด หอมแก้ม จูบ และการพูดเสียง 2  แน่นอนว่าดิสนีย์ไม่มีตอนแต่งไปของเจ้าหญิงเจ้าชาย ซึ่งนั่นเป็นพาร์ทชีวิตที่ทั้งโอเวนและเอมิลี่ต้องเรียนรู้เองจากประสบการณ์ตรงเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ ทั่วโลก

    ในวัยที่ต้องอยู่ได้ด้วยตนเองในสังคมซับซ้อนมากกว่าโลกดิสนีย์  ณ ที่ประชุมเมืองปารีส โอเวนบอกกับคนทั้งโลกหรืออย่างน้อยก็ในฝรั่งเศสที่ไม่มีประสบการณ์อยู่ร่วมกับคนออทิสติกว่า  คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าคนออทิสติกไม่อยากอยู่ร่วมกับคนอื่น นั่นผิดถนัด เพราะความจริงพวกเขามีความต้องการเหมือนกับคนทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้วิธีพูด วิธีสานสัมพันธ์กับคนอื่นเท่านั้นเอง

    .

    .

    ‘มองโลกตามความเป็นจริง’  เหมือนดังคำขวัญประจำบ้านซัสไกนด์

    ถ้าอยากให้ลูกได้รับการยอมรับและการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจากสังคมต้องเริ่มจากที่บ้าน แรกเมื่อพ่อแม่ของโอเวนรู้ว่าลูกชายเป็นเด็กออทิสติก สิ่งที่เห็นจากในหนัง พวกเขาไม่ได้มุ่งหาวิธีรักษา ทว่าหาแนวทางให้โอเวนพึ่งพาตัวเองได้  และเมื่อโอเวนก้าวสู่วัยผู้ใหญ่คำพูดที่ยืนยันว่าในสายตาของพ่อแม่ โอเวนคือคนปกติ นั่นคือ "เขาย่อมผิดพลาดล้มลุกคลุกฝุ่น เหมือนดังคนเป็นพ่อแม่และผู้ใหญ่ทุกคนต้องเจอ"

    วอลเทอร์ในฐานะที่ตนเป็นพี่ชายก็ยอมรับว่าตัวเองก็มีความกดดันที่ในอนาคตต้องเป็นเสาหลักของบ้านดูแลทั้งพ่อแม่และน้องชาย ซึ่งเขาเข้าใจมัน ในตอนนี้กำลังเรียนรู้และเติบโตไปพร้อม ๆ กับน้องชายของเขา

    ส่วนโอเวน เข้าใจว่าบางจังหวะในชีวิตตัวเองก็ไม่ได้แฮปปี้เหมือนฉากจบดาษดื่นของการ์ตูนดิสนีย์ บางทีชีวิตก็เป็นเหมือนเรื่องคนค่อมแห่งนอร์ธเทอดาม (The Hunchback of Notre Dame) และที่เห็นจากหนังเราเชื่อมั่นว่าหากโอเวนล้มลุกคลุกฝุ่น ลักษณะนิสัยร่าเริงมีพลังใจล้นเหลือ ที่เขาซึมซับมาจากพวกลูกคู่ในดิสนีย์จะช่วยให้เขาลุกขึ้นยืน ใช้มือปัดฝุ่นตามกางเกง และก้าวต่อไปได้อย่างแน่นอน

     .

    โลกของโอเวนช่วงหนึ่งที่หนังครอปมาให้ทำให้คนดูมีแรงแสดงบทบาทของตัวเองบนโลกใบนี้ต่อไป

    ขอบคุณโอเว่นในความหนักแน่นกับการ์ตูนที่เขารักและช่วย Bold คำว่า การ์ตูนมีสาระ ให้หนาขึ้นมา

     .

    อาจจะฟังดูหลอน ๆ นิดหน่อย แต่จากนี้เมื่อดูดิสนีย์คงนึกถึงโอเวนและครอบครัวซัสไกนด์



    [5/5] 

    เข้าฉายในไทยเมื่อ : 23 กุมภาพันธ์ 2560 

    ###

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in