เรื่องย่อ Flapping in the Middle of Nowhere [Vietnam/2014]
Directed by NGUYEN HOANG DIEP (เหงียนฮวางดิป)
ณ กรุงฮานอย ในย่านห้องเช่ารูหนูราคาถูกที่มีรถไฟวิ่งผ่านเลียบชิดอาคารเรื่องราวชีวิตดราม่าของ เฮวียน สาวมหา’ลัย ชั้นปีที่ 2 และหลินสาวประเภทสอง ที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนตาย เกิดขึ้นที่นั่น เฮวียนมีแฟนชื่อ ตุง อายุ 18 ทำอาชีพรับจ้างให้บริษัทที่ทำธุรกิจไฟส่องสว่างสาธารณะซึ่งมีฐานะยากจนไม่ต่างกับเฮวียน ในขณะที่ชีวิตกำลังดำเนินไปเฮวียนก็พบว่าตนตั้งครรภ์ ลำพังเลี้ยงชีวิตตัวเองก็แทบไม่รอด เฮวียนและตุงจึงตกลงกันว่าจะทำแท้ง แต่การทำแท้งในเวียดนามมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตุงจึงต้องหารายได้เพิ่มจากการพนันไก่ชนขณะที่ทั้งคู่รวบรวมเงินพอจ่ายค่าทำแท้งได้แล้ว ตุงก็มีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเขาจึงขโมยเงินก้อนนี้และหนีหายไป
ความจำเป็นที่ต้องใช้เงินบีบบังคับให้เฮวียนตัดสินใจค้าประเวณี และทำให้เธอได้พบ ฮวง หนุ่มใหญ่ ฐานะดีผู้หลงใหลการมีเพศสัมพันธ์กับสตรีมีครรภ์ เฮวียนเริ่มเก็บเงินเพื่อทำแท้งอีกครั้งทว่าเธอกลับลังเล อยากเก็บเด็กไว้ เพราะลูกในท้องของเธอทำให้เธอได้รับความอบอุ่น ได้มีช่วงเวลาดีๆ กับฮวง อย่างที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนA: อาร์มดูหนังเรื่องนี้ประมาณ 4 รอบ ถ้าไม่ใช่เรื่องตัดต่อสิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือประเด็นวัยรุ่นที่สับสนกับชีวิต การตัดสินใจของเขาที่เราไม่เข้าใจ
Q: หนังเรื่องนี้รู้สึกถึงความเป็นเวียดนามชัดเจนมากทำอย่างไรให้หนังไทยเป็นแบบนี้บ้าง
A: เอกลักษณ์หนังเวียดนามมันไม่เกี่ยวกับกล้องหรือสไตล์ ที่ผมฟัง Q&A ของผู้กำกับเรื่องนี้ ซึ่งผู้กำกับเกิดที่ฮานอย เธอบอกว่ามันเป็นภาพเวียดนามที่เธอเห็น อยากนำเสนอสิ่งที่เห็นเป็นความจริงผสมกับความฝัน ผมว่ามันเกิดจากความเข้าใจสถานที่ที่เราถ่ายด้วย เช่น ถ้าเกิดที่สกลนครแล้วทำหนังเกี่ยวกับสกลนครเราจะถ่ายถอดมันออกมาได้ดี เพราะมันเป็นบ้านเรา เป็นสถานที่ที่เราคุ้นชิน ซึ่งความเป็นไทยของบางคนมันไม่ใช่การรำ ถ่ายเดินข้ามสะพานคลองแสนแสบก็ไทยได้
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รางวัล
A: เพราะประเด็นน่าสนใจ มันถ่ายถอดอารมณ์ของผู้หญิงได้คมชัด อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นมีหนังเรื่องอะไรบ้าง เรื่อง Flipping in the Middle of Nowhere ที่พูดประเด็นวัยรุ่น ผู้หญิงท้องไม่พร้อม อาจจะน่าสนใจที่สุดสำหรับกรรมการในตอนนั้น
Q: หน้าที่ของคนตัดต่อคืออะไร
A: ผมคิดว่าคนตัดต่อมีหน้าที่รับผิดชอบการทำงานทุกคนในกองถ่าย หมายความว่า เวลาออกกองนั้นวุ่นวายมาก ขณะถ่ายทำมันจะไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด ซึ่งเรามีหน้าที่ออแกไนซ์ความจริง เราสามารถ shape หนังให้ดีด้วยการตัดต่อ อีกอย่างเวลาดูหนังไม่ควรเห็นคนตัดต่อ นั่นคือ คนดูไม่ควรรู้สึกอารมณ์สะดุดเวลาดูหนังหรือจับได้ว่าหนังฉากนี้มีปัญหาบางอย่าง หน้าที่คนตัดต่อคือการทำให้ฉากแต่ละฉากแตะมือกันเนียนที่สุด
Q: คนตัดต่อทำงานยังไง
A: สำหรับผม พอได้บทมาต้องอ่านรวดเดียวจบ มี 90 หน้าก็อ่าน 90 หน้า เพราะทำแบบนี้มันเหมือนเวลาเราดูหนัง เราจะเห็นภาพทั้งหมด เกิดภาพในหัวเราเองว่าหนังจะเป็นประมาณไหนโดยที่ยังไม่เห็นฟุตเทจ
เสร็จแล้วก็โทรคุยกับผู้กำกับว่าเป็นแบบที่คิดไหม ซึ่งมันก็ใช่บ้างไม่ใช่บ้าง
ถ้าสนิทกับผู้กำกับจะช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นแต่ถ้าไม่สนิทก็อาศัยการคุยกันเยอะๆ บางทีไม่ได้คุยเรื่องบทเลย แต่คุยเรื่องทั่วๆ ไป ผู้กำกับอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ เช่น เขาอาจจะเล่าว่าเจออะไรมา อาจจะเล่าว่าทำหนังเรื่องนี้เพราะอะไร หรือออกไปกินข้าวด้วยกัน ความดิบ ความละเมียด รสนิยม มันจะออกมาจากวิธีจับตะเกียบของเขาเอง ผู้กำกับแต่ละคนมีเรื่องที่แคร์ไม่เหมือนกัน บางคนแคร์การแสดงมากกว่าปกติ ไม่แคร์ jump cut ไม่แคร์ว่าจังหวะตัดต้องสวยเป๊ะ คนตัดต่อจะทำงานได้ง่ายขึ้นและวิธีการตัดแนบเป็นเนื้อเดียวกับหนังก็ต่อเมื่อเข้าใจผู้กำกับว่าเขาอยากได้อะไรและชอบวิธีการเล่าแบบไหน เหมือนเราจ้างนักแสดงคนหนึ่งมาเล่นหนังเราก็ต้องรู้จักเขาเป็นคนยังไง
Q: เวลาตัดต่อยึดตาม report ไหม
A: พูดตรงๆ ผมแทบไม่ดู ผมไม่ได้เชื่อว่าเทคที่ดีที่สุดคือที่วงกลมไว้ แต่ก็ต้องจด report นะ เพราะมันจะช่วยในส่วนอื่น ผมก็ดูแหละแต่แค่ไม่เชื่อ ตัดสินใจว่าจะเลือกเทคไหนก็เลือกจากการลองเอามาต่อกันมากกว่า บางทีโมเมนต์ที่ดีของซีนนี้ อาจจะไม่ได้อยู่ในเทค 16 ที่เขาวงก็ได้
Q: คุณเคยกำกับหนังของตัวเองมาแล้ว พอทำหน้าที่ตัดต่อให้คนอื่นก็ต้องลดอีโก้ตัวเองลง จัดการกับอีโก้ตัวเองยังไง
A: เคยสงสัยเหมือนกันว่าคนตัดต่อต้องใส่ตัวตนลงไปแค่ไหน ซึ่งคำตอบที่ได้จากการประสบการณ์ทำงานมา 6-7 ปีแล้วนั้น ตัวตนคนตัดต่อมันต้องมีจุดที่พอดีเพราะหากเราไม่ใส่ตัวตนลงไปเลยก็เหมือนทำงานไปวันๆ จนเราไม่สนุก ผู้กำกับที่เป็นมืออาชีพเขาต้องการคนช่วยคิด ไม่ใช่ทำตามเขาทั้งหมด เพราะบางวิธีตัดผู้กำกับอาจจะไม่เคยนึกถึงหรือไม่กล้าลอง แต่เวลาทำงานผมเคารพความคิดของผู้กำกับนะ เพราะเขาคิดมานานกว่าเรา ใช้เวลาเขียนบทตั้งปีสองปี เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ท้ายที่สุดคนตัดต่อกับผู้กำกับควรมาเจอกันครึ่งทาง งานจะออกมาดีกว่า
แต่ก่อนเวลาถูกสั่งให้แก้ ผมจะรู้สึกว่าแก้ทำไม ก็ตัดดีแล้ว แต่ตอนหลังรู้จักยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้นผมมักคิดว่า ลองดูก่อนอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าไม่ดีก็กลับมาเป็นอันเดิมได้ เพราะไม่ได้ตัดแล้วฟิล์มมันขาดไปเลย
Q: ลำดับเหตุการณ์การมาเป็นผู้ลำดับภาพ
A: หนังที่ทำให้อยากเรียนภาพยนตร์คือเรื่องรักแห่งสยาม ตอนที่ได้ดูรู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าหนังไทยทำแบบนี้ได้ด้วย ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับตอนผมดูหนังเรื่อง Flipping in the Middle of Nowhere เพราะผมชอบเรื่องเกี่ยวกับคน ความจริงที่เรียนภาพยนตร์ก็ไม่ได้อยากทำตัดต่อตั้งแต่แรกแต่ด้วยความที่ผมมาทำมานานมาก ตัดต่องานให้เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม รู้สึกว่าถนัดที่สุดแล้ว สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดและสามารถยึดเป็นอาชีพได้จึงเป็นการตัดต่อนี่แหละ ตอนฝึกงานก็ฝึกตัดต่อ อีกทั้งอาจารย์ คนรอบตัวทุกคนก็เชียร์ว่าเราทำได้
แรกๆ คนอาจจะไม่ได้นึกถึงเรา แต่พอทำไปเรื่อยๆ หลายชิ้นเข้า วิธีการตัดคงมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าเป็นผม ซึ่งคนอื่นจะเห็น แต่เราไม่มีทางเห็นตัวเราเอง
ส่วนการศึกษาวิธีการตัดต่อผมเรียนรู้ได้จากหนังทุกเรื่อง ผมไม่ค่อยเกลียดหนังนะ แต่ละเรื่องมันจะต้องมีอะไรให้เราดูสักอย่างแหละ ถ้าเกลียดคือหนังที่มันมีอะไรเลย ศึกษาวิธีตัดต่อจากงานภาพเคลื่อนไหวหลายๆ ประเภท ไม่ใช่แค่หนัง เอ็มวีเพลงผมก็ใช้ศึกษาด้วย และที่สำคัญก็คือลงมือทำงานเยอะๆ ครับ
###
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in