เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตำนานพิภพใบใหม่ -โดย lowprofile-kizu_amakusa
Chapter 3: Izanagi
  •  ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา วิทยาการของเราก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก... มากซะจนสามารถให้ชีวิตกับเครื่องจักรและคืนชีวิตให้กับสัตว์บางตัวที่ตาย แถมเมื่อไม่นานมานี้เราสร้างสิ่งมีชีวิตสายพันธ์ใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จ....

          พอทำอะไรกันได้ก็แห่ทำกันชนิดไม่ลืมหูลืมตา กะแค่เก้าอี้สาธารณะธรรมดาๆ ยังไปทำให้มันพูดคุยกับเราได้ราวกับว่ามีชีวิต.....

    เพราะอย่างนี้ถึงอดสงสัยไม่ได้ ว่าจริงๆแล้วพวกเรามีชีวิตขึ้นมาได้ยังไงกัน? 

    และนี่มันเรียกว่าชีวิตจริงๆรึเปล่า?


              แผนผังอาคารบ้านเรือนของอูเดอร์นั้นถูกจัดวางในรูปแบบของตาราง  พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสบล็อคหนึ่งจะประกอบด้วยบ้านเรือนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในแบบเดียวกันทั้งหมด ส่วนอาคารยุคโบราณ(2020)ที่สภาพดีจะถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ หากมองลงมาจากที่สูงผ่านกลุ่มเขม่าสีเทาที่ปกคลุมไปทั่วแล้ว อูเดอร์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับช็อคโกแลตราคาถูกขนาดใหญ่ที่กำลังขึ้นรา ทรายมองลงมาจากชั้น215ของไดฮัทซึ เขาอาศัยความเข้มของแสงแดดเทียมในตอนบ่ายทำให้เขม่าสีเทาที่ลอยต่ำนั้นดูจางลง 

    จุดนี้ เวลานี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรวมของเขต 6 ได้อย่างชัดเจน ทรายบันทึกภาพของเมืองด้านล่างทั้งหมดแล้วเปลี่ยนมันเป็นแผนผังด้วยเครื่องโฮโลแกรมขนาดพกพา 


    “ด๊อกเตอร์ ณัฐภูมิ” เสียงทุ้มใหญ่ของเจ้าหน้าที่จากหน่วยวิจัยดังมาแต่ไกล ทรายรีบเก็บเครื่องโฮโลแกรมพลางหันกลับไปหาที่มาของเสียง


    “ท่านประธานรอข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยของคุณอยู่นะ”

    เจ้าของเสียงคือชายผิวดำร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีขาวแบบเดียวกับที่ทรายใส่ เขายืนรอทรายอยู่ที่ประตูทางเข้า ทรายรีบเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่คนนั้น น่าขำที่ความสูงของทรายนั้นอยู่ในระดับเอวของเขาเท่านั้น

    “ศาสตราจารย์ โคเฮน”

    ทรายพูดขึ้นพลางโค้งแสดงความเคารพ


    “ดูเหมือนว่างานวิจัยของคุณจะมีประโยชน์มากต่อการรื้อฟื้นโปรเจค S18

    ท่านประธานถึงกับต้องเรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทุกหน่วยงานเข้าประชุมเลยนะ”

    ทรายไม่ได้ตอบอะไร ความทรงจำเก่าๆผุดขึ้นมาในหัวของโปรเฟสเซอร์โคเฮน เขาเคยคิดว่าลูกศิษย์คนนี้จะมีปัญหาในการลงงานจริง อาจจะเพราะอายุน้อยที่สุดในชั้น แต่กลับมีบุคลิกที่เงียบขรึมเกินวัย ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนกับว่าก้าวร้าว


    “ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะมาได้ไกลขนาดนี้ทั้งๆที่อายุยังน้อย…ไม่ใช่สิ

    เท่าที่ผมรู้ 12ขวบ นี่มันน้อยที่สุดเลยหล่ะ”

    ศาสตราจารย์โคเฮนพูดขึ้นพลางส่งยิ้มให้ทราย ทรายโค้งให้เขาเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ พวกเขาทั้งสองเดินกลับเข้าไปภายในของไดฮัทซึ

    ครู่หนึ่ง ระหว่างที่เดินอยู่บนทางเดินยาว ใบหน้าของทรายกลับเผยรอยยิ้มเล็กๆ

    พร้อมกับคำถาม

    “ประชุมทุกหน่วย?....  รวมถึงพวก U.A.I ด้วยรึเปล่าครับ”


    “ทั้งหมดเลย รวมถึงหน่วยพิเศษนั่นด้วย”

    ทรายดีใจที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นจากศาสตราจารย์โคเฮน วันนี้เขาตั้งใจที่จะเข้าพบคนๆนึงให้ได้อยู่แล้ว และคนคนนั้นก็คือสุดยอดมันสมองที่ตามตัวได้ยากที่สุดของหน่วยพิเศษนั่นพอดี


            ลิฟต์นำพวกเขาทั้งสองขึ้นมาส่งที่ส่วนกลางของชั้น 305 ซึ่งก็คือตรงกลางของห้องประชุมพอดี ภายในของห้องประชุมมีลักษณะเป็นโดมทรงกลม จัดวางแท่นประจำของแต่ละหน่วยงานเป็นเส้นรอบวง นอกเส้นรอบวงมีแท่นประจำ4ทิศ แต่ละทิศคือแท่นประจำตำแหน่งของบุคคลสำคัญ ทิศเหนือของประธานศูนย์วิจัย ตะวันออกของผู้ว่าการโลวเลเวล ตะวันตกของประธานสหพันธ์การค้า และทิศใต้ของประธานาธิปดีแห่งทวีปนิวโอเซีย


               ทรายกับศาสตราจารย์โคเฮน เดินออกมาจากลิฟท์แล้วรีบตรงเข้าไปยืนในแท่นประชุมประจำหน่วย ทรายรู้สึกประหม่าเล็กๆ เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรกของเขา และเขาก็ไม่เคยเจอเหล่าอัจฉริยะจากหน่วยงานอื่นนอกจากแม่ของตนเลย ทรายหันมองไปรอบๆ เมื่อเขาได้เห็นสมาชิกระดับสูงของทุกหน่วย รวมไปถึงแม่ของเขาด้วย ยืนประจำตำแหน่งของตนเองอย่างพร้อมเพรียงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ทุกคนมาที่นี่เพื่อฟังคำอธิบายเกี่ยวกับงานวิจัยของเขา


    ..อย่างน้อยแม่ก็อยู่ที่นี่.. ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจไม่น้อย

    แม่ส่งยิ้มให้เขาพลางกำมือทุบที่อกเบาๆ  ทรายยิ้มตอบแม่นิดหน่อยเท่านั้นเพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะพร้อมแล้ว เขาหันมองไปที่แท่นของประธาน ตอนนี้แท่นสูงในทิศเหนือยังว่างอยู่ และไม่มีแท่นสูงในทิศอื่นๆด้วย คงเพราะนี่เป็นการประชุมภายใน จึงไม่มีแท่นของคนนอก

         ทรายหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ ความจริงการขึ้นบรรยายในที่ประชุมใหญ่ครั้งแรกมันก็น่าตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เขาจะได้เจอกับตำนานที่ยังมีชีวิต 


    “..เด็กเผือกผู้สร้างมนุษย์”

    เขาพูดขึ้นมาลอยๆ คำพูดของเขาทำให้ศาสตราจารย์โคเฮน รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของความประหม่า ซึ่งโคเฮนค่อนข้างมั่นใจทีเดียว ว่าลูกศิษย์ของเขาคนนี้จะก้าวไปยืนอยู่ในระดับตำนานเช่นกันเมื่อเวลามาถึง  

    “แค่ 6 ปี....   ศาสตราจารย์ยูตะ อายุมากกว่าคุณแค่ 6 ปี

    คุณยังมีเวลาไล่ตามเขาอีกนิดหน่อยนะ”

    ดูเหมือนว่าทรายจะไม่ได้ยินที่โคเฮนพูด เขายังคงหลับตาและเงียบอยู่อย่างนั้น ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับทำคิ้วขมวดจนเกือบติดกัน


    “ในห้องนี้ไม่มีใครเป็นคนเผือกเลย!”

    ยังไม่ทันสิ้นคำพูดทรายก็เดินลงจากแท่นแล้วมุ่งตรงไปยังแท่นของหน่วย U.A.I ทันที

    “ศาสตราจารย์ยูตะ ไม่มาประชุมหรอครับ” ทรายถามขึ้นทันทีเมื่อเดินไปถึง


    ชายจีนวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาว ส่งยิ้มให้ทรายแล้วตอบว่า

    “ครับ ผมด๊อกเตอร์ชาน ถูกส่งมาประชุมแทนโปรเฟสเซอร์ยูตะครับ”

    ทรายรู้สึกผิดหวังอย่างมาก 


    “ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผมณัฐภูมิ physic cold fusion ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    ด๊อกเตอร์ชานพยักหน้ารับพลางพูดตอบ


    “ไม่เป็นไรครับ คุณยังเด็กมากจริงๆ ผม ชาน เวิ่น เทียน

    U.A.I Gatekeeper… department of Daihatsu memory unit ครับ”

    เมื่อพูดจบ ด๊อกเตอร์ชาน โค้งคำนับตอบ แล้วทั้งสองจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกันต่อ


    “คงเป็นเรื่องยากหน่อยนะครับ ที่จะได้พบกับศาสตราจารย์ยูตะ” ด๊อกเตอร์ชานบอก

    ทรายพยักหน้ารับพลางพูดตอบ

    “ผมเคยได้ยินว่าร่างกายของเค้าอ่อนแอมาก แพ้แสงแพ้อากาศอย่างหนัก เพราะเป็นแบบนี้เลยเข้าร่วมประชุมไม่ได้หรอครับ”

    ด๊อกเตอร์ชานทำเหมือนนึกทบทวนอยู่พักหนึ่ง จึงพูดต่อ


    "ผมว่าเค้าดูไม่เหมือนคนป่วยนะ.....เอากันจริงๆผมยังแปลกใจอยู่เลย ที่มีคำสั่งให้ผมเข้าประชุมแทนเค้าเนี่ย”


    ทรายเริ่มสับสน เขาสงสัยว่าหากร่างกายยังแข็งแรง การมาประชุมไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร อีกอย่างถ้ามาประชุมไม่ได้ ทำไมหน่วยงานถึงไม่ส่งผู้ช่วยของศาสตราจารย์ยูตะมา แต่กลับให้เจ้าหน้าที่เฉพาะทางซึ่งปกติไม่น่าจะออกนอกเขตรับผิดชอบได้ด้วยซ้ำมาแทน ทรายยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามต่อ


    “แล้วในเวลาแบบนี้ ใครเป็นคนดูแลระบบความจำของไดฮัทซึครับ”

    “หุ่นยนตร์ชื่อ ซุย ครับ” ดอกเตอร์ชานตอบทันที


    “หุ่นยนตร์?”


    “ไม่ต้องห่วง ผมสามารถแทรกแซงเข้าไปควบคุมซุย ผ่านเจ้านี้ได้ตลอดเวลาครับ”

    ด๊อกเตอร์ชานพูดพลางชูPadควบคุมขนาดเล็กขึ้นให้ดู


           ทรายไม่ได้พูดอะไรตอบ เขาโค้งให้ด๊อกเตอร์ชาน แล้วเดินกลับมาที่แท่นของศาสตราจารย์โคเฮน ระหว่างทางเขาเริ่มรู้สึกแปลกใจมากขึ้นในหลายๆเรื่อง เขาหันไปมองที่แท่นของประธานซึ่งยังว่างอยู่ 


    “แย่ละ!!!” ทรายอุทานออกมาเหมือนกับว่าเขาพึ่งจะนึกอะไรออก


    “ด๊อกเตอร์ชานครับ กรุณารีโมทไปควบคุมซุยได้มั้ยครับ”

    เขาตะโกนดังลั่นพลางรีบวิ่งกลับไปหาด๊อกเตอร์ชาน เสียงพูดคุยปรึกษากันในห้องประชุมค่อยๆดังขึ้น ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องจะรู้สึกแปลกใจเช่นกัน


    “ได้แล้ว นี่คือมุมมองจากสายตาของซุย” ด๊อกเตอร์ชานพูดขึ้นพลางส่งภาพจากpadควบคุมให้ทรายดู ในจอภาพปรากฏเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีสายเคเบิ้ลและสายแพยักษ์จำนวนมากเรียงตัวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ กลางห้องโถงมีเครื่องจักรรูปร่างคล้ายลูกรูบิกขนาดใหญ่หมุนสลับไปมาอย่างรวดเร็ว


    “ทุกอย่างดูปกติดีรึเปล่าครับ... ผมแยกไม่ออกเพราะไม่เคยเข้าไปในหน่วยความจำนี่เลย”

    ทรายพูดขึ้นพลางเลื่อนสัญลักษณ์บนหน้าจอของPadเพื่อควบคุมให้ซุยขยับตัว


    “ซุยไม่ขยับเลยครับ” ทรายหันมาบอกด๊อกเตอร์ชานอีกครั้ง


    “ส่งมาครับ ผมทำเอง”

    ด๊อกเตอร์ชานรับPadควบคุมจากทราย แล้วพยายามอยู่พักใหญ่ เหงื่อของเขาเริ่มไหลลงจากหน้าผาก


    “ผมจะลองลิงค์ด้วยจิตดูนะครับ” ด๊อกเตอร์ชานกดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่ขมับของเขาก่อนหลับตาลง ...ไม่นานเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก


    “ต้องแจ้งหน่วยปกครองแล้วหล่ะ หุ่นยนตร์ประสิทธิภาพสูงแบบนั้นไม่มีทางชำรุดเองแน่นอน”

    ด๊อกเตอร์ซานรีบโบกมือให้เจ้าหน้าที่ปกครองประจำห้องประชุมกดสัญญาณฉุกเฉิน ทันใดนั้นเอง


    “ฟุบ!”


    เสียงไฟดับดังขึ้นพร้อมกับเสียงอื้ออึงของเจ้าหน้าที่ ทั่วทั้งหอประชุมมืดสนิท

    ทรายกับด๊อกเตอร์ซานหันมามองหน้ากัน แสงสลัวๆจากPadควบคุมเผยให้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเขาทั้งสอง 


    ...ไม่นานนัก

    “คืดดดดด” เสียงคล้ายของหนักเคลื่อนที่ ดังขึ้นช้าๆ

    เจ้าหน้าที่หลายคนรีบหยิบเอาอุปกรณ์ที่ให้แสงสว่างได้ ออกมาส่องหาที่มาของเสียง


    “อะไรกันเนี่ย!!!” เสียงของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดังมาจากฝั่งตรงข้ามของทราย

    ทุกคนในห้องประชุมหันควับไปมองทางเดียวกันทันที 

    “เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่นแน่ๆ” หลายคนพูดขึ้นหลังจากที่ได้เห็นว่าประตูหินอัคนีขนาดใหญ่กำลังเลื่อนขึ้นมาปิดทางเข้าออกของห้องประชุม ทุกคนรู้ว่าประตูหินสีดำจะเลื่อนขึ้นมาปิดทุกช่องทางในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น น่าแปลกที่ไม่มีใครได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยใดๆดังขึ้นก่อนหน้านี้เลย


    “กดปุ่มฉุกเฉินไม่ได้ การสื่อสารถูกตัดหมดเลยครับ!” 

    เสียงเจ้าหน้าที่ของหน่วยปกครองที่อยู่ในห้องประชุมตะโกนออกมาจากความมืด ทรายกับด๊อกเตอร์ซานได้ยินดังนั้น จึงพยายามหาทางควบคุมซุยอีกครั้ง เพราะถ้าทำสำเร็จ ก็อาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แล้วใช้ซุยในการขอความช่วยเหลือได้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน Padควบคุมของด๊อกเตอร์ซานก็แสดงหลอดอัพโหลดประหลาดๆขึ้นที่หน้าจอแล้วค้างไป

    “ทุกท่าน โปรดอยู่ในความสงบ”

    เสียงแหบแห้งดังออกมาจากลำโพงของโถงประชุม พร้อมๆกันกับที่ Padควบคุมอัพโหลดบางอย่างเสร็จพอดี

    “ผมต้องขอโทษทุกท่าน แต่นี่เป็นเรื่องจำเป็น ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังนะครับ”

    สิ้นเสียงพูด เครื่องโฮโลแกรมกลางห้องประชุมก็เปิดการทำงานขึ้นเอง พร้อมกับดึงความสนใจของทุกคนในห้องประชุมไปที่นั่น แสงจากโฮโลแกรมค่อยๆสานต่อกันจนปรากฏเป็นภาพจากสายตาของซุย  


    “ภาพจากpadควบคุมของด๊อกเตอร์ซาน!!!” ทรายหันควับกลับไปมองที่ด๊อกเตอร์ซานทันที

    “ใครกันครับ?” ทรายรีบถาม

    ด็อกเตอร์ซานยังไม่ทันได้พูดอะไร คำตอบก็ดังออกมาจากลำโพง

    “ผมศาสตราจารย์ยูตะ Leader of Ultimate artificial intelligence ครับ”

    ภาพจากสายตาของซุยค่อยๆขยับไปด้านข้างช้าๆเผยให้ทุกคนได้เห็นภาพของท่านประธาน ซึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับว่าไม่มีชีวิต ครูหนึ่งก็ปรากฏชายหนุ่มร่างบางในชุดคลุมสีขาว มีผิวและเส้นผมสีเดียวกับชุดคลุม เดินเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหลังของท่านประธาน

    เสียงอื้ออึงของผู้เข้าร่วมประชุมดังขึ้นไม่หยุด ด๊อกเตอร์ซานตะโกนขึ้นดังลั่น

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน ศาสตราจารย์ยูตะ!”

    ยูตะไม่ได้ตอบในทันที เขาก้มลงที่ด้านหลังของท่านประธานพลางขยับแขนคล้ายกระตุกอะไรบางอย่าง มืออีกข้างหนึ่งก็เอื้อมมากดลงที่ขมับของประธานอย่างแรง“กริ๊ก” เสียงแว่วออกจากลำโพงเบาๆ เพียงครู่เดียว หน้าผากและท้ายทอยของท่านประธานก็เปิดออกราวกับว่ามีกลไกอยู่ที่กระโหลก ส่วนริมฝีปากล่างกับคางก็หล่นตุบลงไปที่พื้น ทุกคนในห้องประชุมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นภาพดังกล่าว


    “ทำไมท่านประธานของเราจึงกลายเป็นแอนดรอย”

    ศาสตราจารย์ยูตะพูดขึ้น พลางดึงแผ่นชิฟเล็กๆออกจากแผนวงจรในกระโหลกของประธานแล้วพูดต่อ


    “เมื่อประมาณต้นเดือนที่แล้ว ท่านประธานได้มาพบผมเป็นการส่วนตัว ในฐานะที่ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจักรกลสมรรถนะสูง ท่านได้ขอร้องให้ผมมอบสมองกลเก่าเก็บที่ผมสร้างขึ้นสมัยยังเด็กให้กับลูกชายของท่าน.. ท่านบอกกับผมว่าลูกชายกำลังร่ำเรียนอยู่ปีสุดท้ายในสาขาวิชาเดียวกันกับผม ด้วยความเคารพและเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับรุ่นน้อง ผมจึงให้สมองกลตัวนั้นกับท่านไปโดยไม่ได้ซักถาม”


    ยูตะหยุดพูด เขาเดินตรงมาที่ซุยจนหน้าจอเห็นแต่เสื้อคลุมสีขาวของเขา แล้วขยับตัวไปมาราวกับพยายามใส่อะไรบางอย่างลงไปในซุยพลางพูดต่อ

    “หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมได้รับเกียรติให้กลับเข้าไปบรรยายในชั้นเรียนของนักเรียนปีสุดท้าย ซึ่งไม่มีนักเรียนคนไหนเลยที่เสนอวิจัยเกี่ยวกับสมองกล หลังจากบรรยายจบผมใช้สิทธิในฐานะผู้พัฒนาและดูแลระบบฐานข้อมูล หาข้อมูลทุกแง่มุมเกี่ยวกับลูกชายของท่านประธาน ซึ่งแปลกมากๆ เพราะนอกจากข้อมูลพื้นฐานพวก ชื่อ วันเดือนปีเกิดแล้วก็ไม่มีข้อมูลอื่นใดเลย ข้อมูลเดียวจากฐานข้อมูลอื่น คือบันทึกจากตารางเวลาส่วนตัวของท่านประธาน ว่าได้ไปงานศพของเด็กชายคนนึง ที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปลายปีก่อนด้วยโรค*พีนอคซิค(โรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่หายของที่นี่)”


    ศาตราจารย์ยูตะเดินกลับไปที่ด้านหลังของท่านประธานแล้วยกเก้าอี้มานั่งตรงด้านหน้าของซุย

    “รุ่งขึ้นผมได้ส่งเรื่องขอพบท่านประธาน ซึ่งท่านก็อนุญาติให้เข้าพบ ผมได้ซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนของลูกชายท่าน ซึ่งท่านนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น เมื่อผมเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องโครงการวิจัยต่างๆที่สถาบันเรากำลังทำอยู่ ท่านก็พูดคุยโต้ตอบอย่างออกรสออกชาติเลย และรู้ข้อมูลต่างๆอย่างละเอียดยิบทีเดียว แต่พอพูดจบเราทั้งคู่ก็เงียบกริบ ไม่มีการเริ่มบทสนทนาใดๆ เพราะบรรยากาศตอนนั้นมันทำให้ผมนึกถึงตอนที่คุยอยู่กับอารมณ์ประดิษฐ์ชั้นเลวที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะการณ์ของแอนดรอยกระจอก”

    ศาตราจารย์ยูตะพูดจบก็หยิบไมโครชิพสมองกลขนาดเท่านาฬิกาข้อมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วพูดต่อ

    “การสร้างหุ่นยนตร์ที่เหมือนกับมนุษย์มากนั้นเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎหมายของเรา ย้อนกลับไป หากตอนนั้นผมไม่ได้เป็นผู้เยาว์อยู่ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาร่วมงานกับทุกท่านแล้ว ไมโครชิพที่ทุกท่านได้เห็นอยู่นี้ ผมนำออกมาจากกระโหลกของท่านประธาน ถ้าท่านสังเกตุให้ดีจะมีสัญลักษณ์ของหน่วยวิจัยสีเงินติดอยู่บนชิพด้วย” 

    ยูตะชูแผ่นไมโครชิพขึ้นมาแล้วหันด้านที่มีตราสัญลักษณ์ให้ทุกคนได้เห็น เมื่อได้เห็นดังนั้นทรายถึงกับอึ้งไป เขานึกย้อนไปถึงคืนที่น่าหวาดผวาคืนนั้น ตราของหน่วยพยาบาลสีเงินที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเขาจำมันได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่เขากำลังจมดิ่งลงไปในความคิดของตนเองนั้น ศาสตาจารย์โคเฮนก็พูดเสริมขึ้นมาพอดี

    “เป็นสีของหน่วยงานบนไฮด์เลเวล พวกเค้าใช้สัญลักษณ์แบบเดียวกันกับพวกเรา

    แต่จะใช้สีเงิน ซึ่งเป็นสีประจำตัวขององค์ราชินีแทน”

    เสียงฮือดังอื้ออึงไปทั่วทั้งห้องประชุม


    “ผมจึงต้องตัดสินใจทำเรื่องอุกอาจแบบนี้”

    คำพูดของศาสตราจารย์ยูตะทำให้ทรายถึงกับอึ้งไป นี่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแน่ๆ ศาสตราจารย์ยูตะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ลูกรูบิกที่หมุนไปมาอยู่กลางห้องโถงของหน่วยความจำ เขาใส่รหัสบางอย่างลงในแท่นควบคุมพลางพูดต่อ


    “ทั้งห้องประชุมใหญ่ และศูนย์ความจำเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของไดฮัทซึ มันมีระบบป้องกันภัยที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ว่าได้ หากระบบป้องกันภัยเปิดทำงานแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถเข้า-ออกจากที่นี่ได้ แต่นั่นมันนานมาแล้ว ทุกท่าน...นี่คือการประชุมครั้งสุดท้ายของพวกเราครับ”


    กึก กึก!”

    เสียงจากลูกรูบิกตรงหน้าของศาสตราจารย์ยูตะดังขึ้น มันค่อยๆหยุดหมุนพร้อมกับยิงลำแสงออกมาสานกันจนกลายเป็นภาพโฮโลแกรมขึ้นด้านบน

    “อย่างที่ทุกท่านทราบดี ว่าแผ่นดินที่เรายืนอยู่ตอนนี้ ถูกสร้างขึ้นทับเกาะญี่ปุ่นเดิมที่จมลงใต้ทะเลเมื่อ สองร้อยปีก่อน”

    ศาสตราจารย์ยูตะพูดขึ้นพร้อมๆกันกับที่ทุกคนในห้องได้เห็นภาพของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ยุคเก่า กำลังใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่สร้างสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำขนาดเล็กขึ้นเพื่อซับแรงปะทะของสึนามิระดับสิบที่ชายฝั่งมิยาซากิ

    “ในยุคนั้นมีมนุษยชาติเพียงหยิบมือเดียวที่รอดพ้นจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่มาได้

    เพราะเทคโนโลยีเอกภาวะของกลุ่มชวาร์สชิลด์”

    ยูตะบรรยายต่อพร้อมกับที่ภาพเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นถึงการสร้างพลังงานสีดำบางอย่างโดยเครื่องบินขนาดยักษ์เพื่อแก้ไขภาวะเรือนกระจกและพยายามกู้คืนชั้นบรรยากาศโลก

    “ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่สูญพันธ์ แต่ธรรมชาติและผืนแผ่นดินหลายๆแห่งก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ผู้คนหลายเชื้อชาติจำต้องย้ายเข้ามาอยู่บนแผ่นดินใหม่ที่ประชาคมโลกช่วยกันสร้างขึ้น


        ปีค.ศ. 2080 การก่อสร้างไฮด์เลเวลได้เริ่มขึ้น เพราะเกาะขนาดใหญ่ที่เราสร้างทับประเทศญี่ปุ่นในตอนแรกนั้นมีพื้นที่ไม่มากพอที่จะรองรับคน และกักเก็บสารพิษอัดแท่ง ซึ่งเป็นผลลัพท์ของเทคโนโลยีที่ช่วยเราไว้

       การก่อสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ.2120 สหประชาชาติลงมติให้มีการย้ายประชากรส่วนใหญ่ขึ้นไปอาศัยอยู่บนไฮด์เลเวล เหลือเพียงเหล่าอาสาสมัคร ที่เป็นคนของกลุ่มชวาร์สชิลด์ ประกอบไปด้วย นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และแพทย์อาสา อยู่ควบคุมและค้นคว้าวิจัยในการหาทางแปรรูปและทำลายแท่งกักเก็บสารพิษที่เกิดจากโครงการฟื้นฟูโลกทั้งหมด และนั่นคือชาวโลว์เลเวลกลุ่มแรก บรรพบุรุษของเราทุกคนที่นี่...”

    พูดจบ ศาสตราจารย์ยูตะก็เดินไปลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าซุยแล้วพูดต่อ


    “แล้วมันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง? หลายท่านคงสงสัย ขอให้ ด๊อกเตอร์ ณัฐภูมิ พูดถึงงานวิจัยของคุณให้เราทุกคนได้ฟังพร้อมกันครับ”


    ทรายหลับตาแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆเข้ากับงานวิจัยของเขา แต่ไม่ว่าจะคิดไปในแง่มุมไหน มันก็ยังไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกันซักเท่าไหร่....

    “แค่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจก็พอ” ศาสตราจารย์โคเฮนพูดขึ้นพลางตบบ่าเขาเบาๆ ทรายยิ้มให้อาจารย์ของตน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วพูดขึ้น


    “เมื่อ2ปีก่อน...หลังจากที่กองวิจัยสามารถแยกสาร CFE ออกจากแท่งกักเก็บสารพิษได้สำเร็จ

    ผมได้ทำการทดลองยิงนิวเคลียสของคาร์โรฟลูออโรคาร์บอน-อี ด้วยนิวตรอน

    และได้พบว่า นิวทริโน่บางชนิด ทำปฎิกริยากันเอง

    ให้ผลลัพธ์เป็นการยกกำลังความเร็วแสง ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแตกตัวแบบลูกโซ่ทีให้พลังงานมากกว่านิวเคลียร์หนึ่งร้อยล้านเท่า...ซึ่งตอนนั้นผมทำการทดลองที่อุณหภูมิติดลบ50องศาc…”  

    ยังไม่ทันสิ้นสุดคำพูด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอื้ออึงขึ้นทั่วทั้งหอประชุม บางคนถึงกับอุทานออกมาดังลั่นจนทรายได้ยินชัดเจน

    “ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาได้ตายกันหมดแน่ๆ"

    "ผมไม่เห็นด้วยกับการให้ใบอนุญาตกับนักวิจัยอายุน้อยขนาดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว…”


            ทรายไม่สนใจเสียงวิจารณ์เหล่านั้น สมองของเขาค่อยๆคิดทบทวน และลำดับเวลาของงานวิจัยไปเรื่อยๆ “จากวันแรกของการทดลอง ผมใช้เวลา2ปี บันทึกงานวิจัยอย่างละเอียด ผลการทดลองทั้งหมดบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างพลังงานทดแทนในรูปแบบใหม่ ที่สามารถใช้ไปได้อีกหลายพันปี---”



    “ปึง!!!”


    เสียงดังสนั่นก้องมาจากด้านนอกของประตู ซึ่งคงจะเป็นเสียงเครื่องจักรของทีมกู้ภัยจากหน่วยปกครอง  “ปึงๆๆ!” 

    เสียงดังผ่านลำโพง ออกมาจากประตูของหน่วยความจำอีกหลายครั้ง

    “คงเหลือเวลาอีกไม่มาก” ศาสตราจารย์ยูตะพูดลอยๆ ก่อนจะตะโกนขึ้น


    “โรคทางพันธุกรรมของพวกเราถูกเรียกว่า พีนอคซิคและจริงๆแล้วมันไม่ใช่โรค แต่มันคือการกลายพันธุ์โดยความจงใจของผู้นำในยุคก่อนๆ พวกเค้าสร้างยีนที่จะคัดสรรค์ชีวิตของลูกหลาน ว่าใครพร้อมจะเติบโตขึ้นเป็นอัจฉริยะโดยแลกกับโรคร้ายที่รักษาไม่หาย หรือใครที่จะเติบโตไปเป็นผู้แข็งแกร่ง เพื่อรักษาวิทยาการที่พ่อแม่พี่น้องได้คิดค้นขึ้น!”

           เสี้ยววินาทีนั้นเอง ภาพของป้ายูเอะที่ร่างกายกระตุกอย่างแรงพร้อมๆกับเลือดที่พุ่งออกมาราวกับว่าอวัยวะภายในกำลังจะระเบิด ก็ผุดขึ้นมาในหัวของทราย เขาถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น ดีที่ศาสตราจารย์โคเฮนที่ยืนอยู่ข้างกันประคองตัวเขาเอาไว้

    “เป็นอะไรไป ณัฐภูมิ!”

    ศาสตราจารย์โคเฮนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทรายนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดตอบเบาๆ


    “หรือ..พวกเค้าใช้งานวิจัยของผม...เร่งให้คนที่แข็งแรงของพวกเราตาย....”

    ศาสตราจารย์โคเฮนถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาตกใจมากที่ได้ยินทรายพูดแบบนั้น


    “ได้ยังไงกัน... นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ เข้มแข็งไว้ ลุกขึ้น คุณต้องเล่าให้พวกเราฟัง”

    ศาสตราจารย์โคเฮนพูดพร้อมกับพยุงตัวทรายขึ้น ทรายหลับตาแล้วทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ว่าหากเรื่องเป็นอย่างที่เขาคิด คงเหลือเวลาให้อธิบายอีกไม่มาก ศาสตราจารย์ยูตะที่ดูรีบร้อนกว่าใครคงเข้าใจเรื่องนี้ดี ทรายลืมตาขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงพูดขึ้นเสียงดัง


    “เดือนก่อน ท่านประธานได้สั่งการให้หน่วย รายงานความคืบหน้าทั้งหมดเกี่ยวกับงานวิจัย ซึ่งหากท่านประธานเป็นแอนดรอยที่ถูกสร้างขึ้น งานวิจัยของผมคงตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่เพราะพวกเรายังไม่มีสมการส่วนสุดท้าย ผมกับศาสตราจารย์โคเฮนพึ่งจะถอดมันได้เมื่อไม่กี่วันก่อน.. และสมการที่ว่านี้ คงเป็นสาเหตุที่ท่านประธานเรียกประชุม พวกเขาคงต้องการสมการส่วนที่เหลือ” สิ้นสุดคำพูดของทราย เสียง “ปึงงงงงง” ก็ดังลั่นเข้ามาจากด้านนอก อะไรบางอย่างกำลังพยายามทำลายประตูหิน ทุกคนในห้องประชุมรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน จึงรีบหาที่หลบเศษเพดานชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เริ่มหล่นลงมาจากด้านบน 


    ทันใดนั้นเอง ศาสตราจารย์ยูตะที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอยู่ตลอดตั้งแต่ทรายเริ่มอธิบาย ก็ตะโกนขึ้นท่ามกลางเสียงปึงปังที่ก้องมาจากด้านนอก

    “เพราะมันถูกเอาไปใช้กับคน มันจึงต้องการสมการควบคุม! รักษาชีวิตคุณใว้ และอย่าถูกจับเด็ดขาด!”


    ทรายมองเห็นว่าศาสตราจารย์ยูตะกำลังพยายามตะโกนบอกอะไรซักอย่างต่อ แต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงเครื่องจักรที่ดังก้องไปหมด เศษหินและเพดานก็หล่นลงมาเป็นจำนวนมาก ต้องหาที่หลบแล้ว เขาคิดพลางหันซ้ายหันขวา ทันใดนั้นเอง เสียงของเครื่องจักรทั้งหมดก็หยุดลง เหลือเพียงเสียงตะโกนของศาสตราจารย์ยูตะที่ยังดังอยู่  


    “นั่นไม่ใช่หน่วยกู้ภัย!” 


    สิ้นเสียงตะโกน... “ตูม!!” ประตูหินขนาดใหญ่ของห้องประชุมระเบิดออกเป็นชิ้นๆ 

    แรงระเบิดทำให้ทรายกระเด็นจากแท่นไปกระแทกกับพื้นอย่างจัง ร่างกายที่อ่อนแอของเขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว หูทั้งสองข้างดับสนิท


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in