เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOST CONTROLminimore
CHAPTER 06
  • CHAPTER 06

    อย่าได้มีคำสัญญาแสนสุขสันต์

     

    มาดีกลายเป็นเจ้าของห้องแถวไปแล้วมันครอบครองอาณาเขตทั้งหมดตั้งแต่ห้องรับรองชั้นล่างไปจนถึงระเบียงห้องพักแทบทุกห้องลูกบ้านที่ออกมาสูบบุหรี่ตรงระเบียงมักจะเห็นเจ้าแมวสีดำเดินนวยนาดไปมาอยู่บ่อยครั้งดูเหมือนทุกคนจะต้อนรับการมาเยือนของผู้มาดี

    นิรันดร์โล่งใจที่เป็นเช่นนั้นตอนแรกเขาก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าการที่เกี๊ยวเอาแมวจรมาเลี้ยงจะเป็นภาระหรือเปล่าที่แน่ๆ คือเขาไม่ช่วยเลี้ยงด้วยหรอกนะเพราะตัวเองไม่ได้รักสัตว์ขนาดนั้นตอนนี้กลายเป็นว่าเจ้ามาดีเป็นอิสระไม่ได้ถูกกักขังอยู่ในห้องคับแคบมันจะไปไหนก็ได้เท่าที่อยากจะไปเหมือนเดิม แต่ถ้าเหนื่อยล้าอยากหาที่หลบภัยเมื่อไรก็มีบ้านให้กลับเมื่อนั้น

    ดูเหมือนเกี๊ยวจะชอบอ่านหนังสือเริ่มจากการอ่านทุกอย่างที่สามารถอ่านได้ตั้งแต่ฉลากผลิตภัณฑ์ไปจนถึงหอบเอาหนังสือพิมพ์ที่เจ้าของห้องแถวทิ้งแล้วขึ้นห้องมาอ่านแทบทุกตัวอักษร เป็นการฆ่าเวลาและทุเลาความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ห้องคนเดียวตอนนิรันดร์ไปทำงานที่น่าเป็นห่วงก็คือ เกี๊ยวจดจำสิ่งที่อ่านได้แม่นยำ

    รู้สึกยังไงเหรอการที่ต้องจำทุกอย่างได้ขนาดนั้นนิรันดร์เคยโพล่งถามหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วพบว่าผู้ร่วมห้องกำลังนอนคว่ำอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พฤติกรรมแนบเนียนเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นทุกวัน

    หมายความว่ายังไงครับ

    อย่างคนเราไม่ได้จำได้ทุกเรื่องหรอกนะโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่อยากจะจำตั้งแต่แรก

    การคุยกับเกี๊ยวต้องรู้จักยกตัวอย่างหลังจากนั้นจะนำมาซึ่งการถกเถียงที่น่าสนใจเสมอ เกี๊ยวคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบขณะที่นิรันดร์มักจะใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไป

    แล้วถ้าเป็นเรื่องที่อยากจำล่ะครับ

    บางครั้งเราก็ลืมเรื่องที่อยากจำ นิรันดร์รำลึกถึงความทรงจำของตัวเองขณะเช็ดผมที่เพิ่งสระเสร็จหมาดๆแสงเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านประตูระเบียงที่เปิดไว้ โดยเฉพาะคนความจำไม่ดีอย่างผมตอนเรียนผมต้องอ่านหนังสือสองรอบถึงจะจำได้เท่าคนอื่นเขา

    แย่เลยนะครับ

    มีเรื่องแย่กว่านั้นอีก นิรันดร์นั่งลงบนที่นอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบไดร์เป่าผมออกมาเกี๊ยวเสียบปลั๊ก แต่ยังไม่เปิดเครื่องเพราะไม่อยากให้เสียงใดก็ตามรบกวนบทสนทนาที่ยังไม่จบดี

    มีอะไรแย่กว่าการลืมเรื่องที่อยากจำอีกเหรอ

    การจำเรื่องที่อยากลืมน่ะสิ

    ซับซ้อนจังเลยนะครับ

    อืม...ซับซ้อนมากเลยถามไงว่าจำได้ทุกอย่างแบบนี้รู้สึกยังไง ถ้าเป็นผมคงทรมานน่าดู

    ไม่รู้สิครับตอนนี้ผมคงไม่มีเรื่องที่อยากลืมล่ะมั้ง

    ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วดีแล้ว...

    เสียงไดร์เป่าผมดังขึ้นฝ่ายหนึ่งครุ่นคิดถึงเหตุและผลที่แสนซับซ้อนข้อนั้นอีกฝ่ายหนึ่งคิดถึงความทรงจำในสวนสนุก

    ความทรงจำที่อยากลืม...

     

    ..............................................................

     

    มีเรื่องหนึ่งกวนใจไพลินมากเหลือเกินถ้าเป็นปกติเธอคงจะเมินเฉยไปได้เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่ครั้งนี้เธอเป็นห่วงนิรันดร์ แน่นอนว่าเธอไว้ใจเกี๊ยว ไว้ใจอย่างที่เคยรู้สึกกับนิรันดร์ตั้งแต่แรกเห็นเพียงแต่ครั้งนี้เธอกลับอยากหาเหตุผลมารองรับความไว้วางใจของตัวเอง

    ผ่านไปพักหนึ่งแล้วสักปีหรือสองปีประมาณนั้นที่เธอเคยเจอคนที่เหมือนเกี๊ยวแทบทุกอย่างแต่ตอนนั้นเป็นในฐานะเพื่อนร่วมงานของพ่อที่มาหาที่บ้านงานของพ่อเป็นความลับเสมอแม้กระทั่งกับลูกสาวของตัวเอง ทุกคนรู้แค่ว่าไตรติเป็นนักธุรกิจแต่ไพลินรู้ดีว่าเบื้องหลังมีมากกว่านั้น

    พ่อทำงานให้องค์กรลับองค์กรหนึ่งเชื่อเถอะว่าเธอรู้แค่นี้ เธอไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องทำงานที่พ่อใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่ในนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรจะว่าไปไม่ใช่ไม่อยากก้าวก่ายหรอก เธอพยายามลบเลือนตัวตนของพ่อไปจากชีวิตต่างหาก

    วันนั้นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำขลับดูดีมีภูมิฐานมาหาพ่อที่บ้านก่อนจะเข้าไปคุยกันในห้องทำงานอยู่พักใหญ่แล้วก็กลับไปไพลินความจำดีเสมอแม้ไม่ได้สนใจจะจดจำ ครั้งนั้นเราไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ พ่อไม่เคยแนะนำเพื่อนร่วมงานให้เธอรู้จักไพลินอาจจะลืมการมีตัวตนของอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้ถ้าไม่กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง

    เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

    หญิงสาวก้าวขาออกจากห้องหลังจากแม่บ้านที่มาทำความสะอาดกลับไปแล้วเดินสำรวจจนทั่วบ้านเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเธอไพลินกลับไปที่ชั้นบนอีกครั้ง ประตูไม้บานใหญ่ของห้องทำงานปิดอย่างสงบเมื่อเจ้าของไม่กลับบ้านมาร่วมหนึ่งสัปดาห์

    ไพลินลองเปิดประตูเข้าไปพบว่ามันไม่ได้ล็อกอยู่แต่อย่างใด ไม่รู้เพราะความไว้วางใจว่าเธอจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือเปล่าถึงปล่อยไว้ทั้งอย่างนี้ห้องทำงานของไตรติขนาดเล็กกว่าที่คาดไว้ชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือกับแฟ้มเอกสารหลายร้อยเล่มโต๊ะทำงานอยู่ด้านในสุดของห้อง ตรงกลางมีชุดโซฟาขนาดใหญ่ไว้สำหรับรับรองแขก

    เงยหน้ามองสำรวจไปรอบๆครึ่งต่อครึ่งของความเป็นไปได้ที่พ่อจะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในนี้แต่ไม่รู้เพราะอะไรไพลินถึงไม่กลัวโดนจับได้เลยสักนิด เธอไม่ได้คิดแผนสำรองไว้ถ้าพ่อถามคงบอกไปว่าแค่อยากลองมาดูห้องทำงานของพ่อไม่ได้เชียวเหรอ

    ไพลินคิดเอาเองว่าเอกสารสำคัญคงไม่ได้ถูกเก็บไว้ในนี้ไม่อย่างนั้นพ่อคงล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนาแต่แรกแล้ว แต่ไหนๆก็เข้ามาได้แล้วจึงไม่อยากเสียเที่ยวต่อให้เป็นข้อมูลที่ไม่สำคัญแต่ถ้าสามารถเชื่อมโยงไปหาความจริงได้เธอก็อยากลองหาดูหญิงสาวเดินไปที่โต๊ะทำงานก่อนเป็นอย่างแรก ข้าวของวางเป็นระเบียบหนึ่งในนั้นคือรูปครอบครัวของเรา

    เป็นรูปของสามชีวิตที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขแม่จับมือของลูกสาววัยสิบขวบไว้แน่นภายใต้อ้อมแขนข้างหนึ่งของผู้เป็นพ่อที่โอบทั้งคู่ไว้ไพลินหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะขึ้นมาดูชัดๆ ม่านน้ำตากำลังทำให้ภาพพร่าเลือน เช่นกันกับความสุขของเธอถ้าไม่มีรูปพวกนี้ เธอคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าตัวเองเคยมีความสุขขนาดนี้เลยเหรอ

    รูปถูกวางกลับที่เดิมยกมือเช็ดน้ำตาทีหนึ่งก่อนที่หญิงสาวจะเบนสายตาไปทางชั้นหนังสือไล่อ่านสันหนังสือคร่าวๆ พบว่าส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีวิศวกรรมหุ่นยนต์ วิทยาการหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์

    เป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกินแต่กลับห่างกันเพียงผนังกั้น ไพลินไม่รู้ว่าพ่อทำงานในตำแหน่งไหน แต่คนอื่นๆมักจะเรียกพ่อว่าผู้ดูแล

    ไพลินเดินไปที่โต๊ะรับแขกเมื่อเห็นว่าใช้เวลาทั้งชีวิตเธอก็ไม่มีทางเข้าใจเอกสารบนชั้นหนังสือนั้นได้หรอกเธอนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดง โต๊ะตรงหน้ามีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่น่าจะอ่านค้างไว้เมื่อไม่นานมานี้ เป็นหนังสือวรรณกรรมที่พ่อของเธอคงจะอ่านเล่น หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับงาน

    เธอเกือบจะวางหนังสือเล่มหนาลงที่เดิมแล้วเมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือที่เธอเคยอ่านมาก่อนเพียงแต่แผ่นกระดาษที่โผล่พ้นออกมาจากหนังสือเล่มนั้นกลับเย้ายวนให้อยากไล้ปลายนิ้วเปิดไปดูเหลือเกิน

    ไม่ใช่แผ่นกระดาษสิ่งที่คั่นหน้าหนังสือไว้เป็นภาพถ่ายภาพหนึ่งต่างหากไพลินขมวดคิ้วมุ่นให้คนในภาพทั้งสามคน คนหนึ่งเป็นไตรติพ่อของเธอคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยที่ฉายประกายโดดเด่นออกมาแม้อยู่ในภาพส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเกี๊ยว ท่าทางเหมือนกำลังคุยงานกันอยู่แล้วโดนจับภาพโดยไม่รู้ตัว

    ใช่จริงด้วย หญิงสาวรำพึง ยิ่งเห็นภาพชัดๆเธอยิ่งมั่นใจว่าชายหนุ่มคนนี้เหมือนเกี๊ยวแทบทุกอย่าง เพียงแต่เธอไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นคนเดียวกันไหมอาจจะฝาแฝดหรือถ้าเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือเกิดเรื่องบางอย่างทำให้เกี๊ยวลบเลือนตัวตนของตัวเองหรือความจำเสื่อม?

    ยิ่งคาดเดาความเป็นไปได้ก็ยิ่งมากขึ้นทุกทีและทุกความเป็นไปได้นั้นชวนให้หวาดหวั่นไม่น้อยเลย ไพลินพลิกภาพดูด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนกำกับไว้

     

    แด่คุณ, ไตรติ ธาริกม์ และรูดี้

    ขออภัยที่ฝีมือการถ่ายภาพของผมยังอ่อนหัด

    ผมล้างภาพชุดนี้มอบเป็นของขวัญให้พวกคุณ

    ผู้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จอันแสนยิ่งใหญ่ของเรา

     

    ก็อดดาร์ดจงเจริญ!

    เทวินจี.

     

    ไพลินเดินออกจากห้องทำงานของพ่อมาด้วยความคิดอันแสนหนักอึ้งจากที่ต้องการจะหาความจริงมาเชื่อมโยงเรื่องของเกี๊ยว กลายเป็นว่าตอนนี้ข้อมูลกลับสะเปะสะปะเกินกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวเองได้เธอสับสนเหลือเกิน

    ทุกอย่างยังเป็นปริศนาองค์กรลับ หุ่นยนต์ ธาริกม์ รูดี้ ก็อดดาร์ด เทวิน จี.นึกไม่ออกเลยว่าเกี๊ยวจะข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร

     

    ..............................................................

     

    นิรันดร์เดินถือถุงบะหมี่เกี๊ยวเข้าไปในห้องแถวที่เจ้าของยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพียงแต่ตรงนั้นดูจะไม่เหงาแล้วเพราะมีมาดีนอนอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ กัน

    อรุณสวัสดิ์ ดาบได้กลิ่นน้ำซุปหอมฉุยลอยมาก่อนตัวเสียอีก ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เขาใบหน้าที่มักจะเพิกเฉยสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    ไม่ยอมกลับห้องเลยนะ นิรันดร์เดินไปลูบตัวมาดีดูเหมือนพี่ดาบจะอาบน้ำให้มันเรียบร้อยแล้วเนื้อตัวถึงไม่ได้มอมแมมเหมือนก่อนหน้านี้รบกวนพี่ดาบหรือเปล่าเนี่ย

    รบกวนอะไรอยู่กับมาดีมีความสุขจะตาย

    เจ้าแมวเหมียวเงยหน้าขึ้นมามองเห็นว่าเป็นใครก็กลับไปนอนต่ออย่างไม่ไยดี นิรันดร์เบะปากให้กับท่าทีนั้น เดี๋ยวนี้มีแต่คนโอ๋เลยเมินกันเหรอ

    ทักทายกันเท่านั้นนิรันดร์ก็เดินขึ้นห้องไปสิ้นสุดขั้นบันไดตรงระเบียงหน้าห้องของเขามีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่สายตาทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

    มายืนตากลมทำไมตรงนี้ไม่หนาวเหรอ ถามเสร็จก็นึกขึ้นได้ หุ่นยนต์จะหนาวได้อย่างไร

    กลับมาแล้วเหรอครับ เกี๊ยวหันไปหาร่างคุ้นเคยที่เดินเข้ามาหา ยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายชูถุงบะหมี่ให้เขาดู

    ซื้อมาเผื่อกินอะไรยัง

    ถึงจะกินแล้วเขาก็จะตอบว่า ยังครับ

    ทั้งคู่เดินเข้าห้องไปก่อนที่เกี๊ยวจะเป็นคนจัดโต๊ะอาหารนั่งพื้นอีกตามเคยนิรันดร์ไม่ทักท้วงหรอกที่อีกฝ่ายกลายเป็นคนจัดการความเรียบร้อยและความสะอาดของห้องเขามันรักความสบายอยู่แล้ว

    ร้านเดียวกับที่กินเกี๊ยวน้ำด้วยกันวันนั้น

    กำลังอยากกินพอดีเลยครับ ว่าแล้วก็เทบะหมี่เกี๊ยวสองถุงให้ตัวเองกับเทเกี๊ยวน้ำหนึ่งถุงให้นิรันดร์ที่มักจะกินน้อยเสมอเมื่อเป็นมื้อสุดท้ายก่อนเข้านอน

    ปรุงเองนิรันดร์ว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งรอให้เขาปรุงให้เหมือนเช่นครั้งแรกที่กินด้วยกันเกี๊ยวทำหน้ายุ่งทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ดูทำหน้า

    ชอบที่รันปรุงให้

    ไหนบอกกินอะไรก็เหมือนกันหมดต่อมรับรสความอร่อยของหุ่นยนต์มีด้วยเหรอ ถึงจะบ่นแต่นิรันดร์ก็ฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่ถ้วยของคนตรงข้ามให้เพื่อตัดรำคาญ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้รำคาญสักเท่าไรหรอก

    พรุ่งนี้ขอไปทำงานด้วยได้ไหมครับ เกี๊ยวถามระหว่างมื้ออาหาร เขาคิดเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้วแต่ยังไม่กล้าคุยกับนิรันดร์

    อยู่ห้องเบื่อเหรอ

    ครับ คอตก ยอมรับ

    จะดีเหรอ

    ไม่อยากให้ไปเหรอครับ

    เปล่า... นิรันดร์กลืนเกี๊ยวคำสุดท้ายลงคอ แค่กลัวจะเบื่อกว่าเดิมที่ร้านไม่มีอะไรให้ทำเลยนะ คุณจะนั่งรอผมเฉยๆ จนกว่าจะเลิกงานหรือไง

    ผมช่วยรันทำงานก็ได้ครับ

    ข้อเสนอนั้นทำเอานิรันดร์นึกสนใจจะทำอะไรได้

    ทุกอย่างที่รันบอกให้ทำ

    คนหัวหมอยกขวดน้ำขึ้นดื่มอึกๆกะว่าจะใช้ความอ่อนต่อโลกของหมอนี่หลอกให้ช่วยงานฟรีๆ เสียหน่อยได้ยินแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน

    ขอยายแก้วเอาเองแล้วกัน สุดท้ายเลยต้องเอาเจ้าของร้านมาอ้างทั้งที่ความจริงแล้วนิรันดร์รู้อยู่เต็มอกว่าแก้วกุดั่นไม่มีทางปฏิเสธหรอก แม่มดใจดีกับผู้หลงทางเสมอ

     

    ไม่ได้

    นิรันดร์เกือบหน้าหงายเมื่อยายแก้วตอบกลับมาอย่างนั้นเขาหันไปหาเกี๊ยวในทันที ทั้งคู่มองหน้ากันเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

    ...ทำงานก็ต้องรับค่าจ้างด้วยสิ แก้วกุดั่นยิ้มอ่อนเมื่อแกล้งชายหนุ่มทั้งสองคนได้สำเร็จ ถ้าจะไม่เอาเงินก็อยู่ร้านเป็นเพื่อนรันเฉยๆ ก็ได้”

    นิรันดร์ผ่อน[JK2] ลมหายใจโล่งอกหันไปอธิบายคนที่ยืนเอียงคออยู่ข้างกัน ยายจะจ้างคุณทำงานน่ะหรือถ้าไม่ทำงานก็อยู่ที่ร้านด้วยกันได้

    ทำครับ

    สัญญาจ้างปากเปล่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คืนนั้นนิรันดร์ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่การสอนงานผ่านไปอย่างรวดเร็วเกี๊ยวจดจำทุกอย่างได้ในครั้งเดียว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงตราบใดที่เขายังอยู่ด้วยแบบนี้

    คุณไม่ต้องทำแคชเชียร์นะเจอคนเยอะๆ จะยิ่งอันตรายและที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือความปลอดภัยของนายจ้าง นิรันดร์ให้เกี๊ยวดูแลงานหลังร้านยกของ เติมของ ทำความสะอาด ซึ่งชายหนุ่มก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม

    จะไม่เป็นไรเหรอ เสียงของยายแก้วดังขึ้นหลังจากนิรันดร์คิดเงินให้ลูกค้าคนหนึ่งเรียบร้อยแล้วหญิงชราพยักพเยิดไปยังคนที่กำลังเติมขวดน้ำเปล่าเข้าตู้อยู่

    ไม่ต้องห่วงหรอกเขาทำงานเก่งนะ

    รันก็รู้ว่ายายไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น

    นิรันดร์สบตายายแก้วเขาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้จริงๆ สินะ

    ...ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับรันแบบนี้แต่วันที่รันขับรถชนเขานั่นน่ะ จำได้ไหม

    จำได้

    รันคิดว่าเกี๊ยวคือคนที่มีคนมาถามหาวันนั้นไหม

    ผมว่าใช่

    นั่นแหละที่น่าเป็นห่วง

    นิรันดร์รับฟังพร้อมกับรับเอาความเป็นห่วงของยายแก้วไว้เต็มอก เขารู้ รู้ดีนั่นแหละว่าไม่มีทางหลบซ่อนเกี๊ยวไว้ได้ตลอดไปหรอกแต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ ที่ที่เกี๊ยวจากมาคือที่ไหน และกำลังหนีจากอะไร

    เขาจึงทั้งกลัวและไม่กลัวว่าจะมีคนจับได้ที่กลัวคือเรื่องอาจจะเลวร้ายกว่าที่คิดที่ไม่กลัวคือนั่นอาจจะทำให้เขารู้ความจริงเกี่ยวกับคนคนนี้มากขึ้น

    เสร็จแล้วครับ ร่างสูงเดินเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์พร้อมรอยยิ้มอีกฝ่ายยิ้มตอบ

    เก่งมาก ไม่เหลืออะไรให้ทำแล้วมานั่งพักก่อนเถอะ

    นั่นทำให้เกี๊ยวยิ้มกว้างกว่าเก่า

    ฝนตกลงมาอีกแล้วเป็นสัญญาณว่าค่ำคืนนี้จะเงียบเหงาอีกตามเคยนิรันดร์ขึ้นไปชั้นบนเพื่อขอยืมหนังสือของแก้วกุดั่นในจำนวนหนังสือมากมายเหล่านั้น เขาแค่หยิบมาเล่มหนึ่งโดยไม่ต้องเลือกเลยด้วยซ้ำ

    ยายหลับแล้วเหรอครับ คนที่นั่งอยู่บนพื้นด้านในเคาน์เตอร์ส่งเสียงทักทันทีที่เห็นหน้ากันเกี๊ยวกำลังนั่งอ่านฉลากลูกอมอยู่พอดี

    กำลังจะหลับไม่มีลูกค้าใช่ไหม

    ไม่มีครับ

    นิรันดร์ยื่นหนังสือให้เห็นเบื่อๆเลยเอาหนังสือมาให้อ่านน่ะ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างๆ กันส่งยิ้มเมื่ออีกฝ่ายรับสลายสิ้นซึ่งความหวังรังรอง ไปสำรวจด้วยความสนใจ พลิกมองทั้งปกหน้าปกหลังอย่างละเอียดเชื่ออย่างสนิทใจว่าไม่มีสักตัวอักษรที่จะหลุดรอดสายตาคู่นั้นไป

    ทิ้งลูกอมคาราเมลไว้บนตักของตัวเองนิรันดร์จ้องมอง เขาเป็นคนอนุญาตให้หยิบขนมในร้านมากินได้แต่ต้องลงบัญชีไว้หมอนี่เลือกลูกอมรสคาราเมลสินะ

    รันเคยอ่านเล่มนี้ไหม

    นิรันดร์เงยขึ้นไปมองคนถามส่ายหน้า

    รันชอบอ่านหนังสือไหมครับ

    พยักหน้าถ้าว่าง ทิ้งตัวพิงเคาน์เตอร์ สายตาเหม่อมองไปตรงหน้า อ่านของยายนี่แหละแต่ถ้ามีเวลาจะไปอ่านที่ห้องสมุด อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ อยากไปไหม

    อยากครับ

    เขาถามส่งๆแต่เห็นสีหน้าจริงจังกับสายตาเป็นประกายคู่นั้นแล้วก็อดยิ้มให้ไม่ได้ ไว้จะพาไป

    สัญญานะครับ

    นิรันดร์ส่ายหน้าไม่สัญญาได้ไหม

    คล้ายจะเป็นเสียงรำพึงรำพันของคนที่นั่งกอดเข่าตัวเองแน่นบรรยากาศเงียบเหงารอบข้างฉายชัด ยิ่งรู้จักกันมากเท่าไร เกี๊ยวก็รู้สึกเหมือนห่างไกลจากนิรันดร์มากเท่านั้น

    สิ่งที่ผมเกลียดพอๆกับความจนก็คือคำสัญญานี่แหละ คำพูดของคนน่ะเชื่อถือไม่ได้ที่สุดแล้ว

    พ่ออ่านนิทานให้ฟังหน่อยสิครับ

    คืนนี้พ่อต้องไปทำงานแล้วเอาเป็นพรุ่งนี้แทนนะลูก เดี๋ยวพ่อซื้อนิทานเล่มใหม่ให้ด้วย

    จริงเหรอครับ

    จริงสิพ่อสัญญา

    สัญญาบ้าอะไร นิรันดร์แค่นเสียงพูด อดีตหวนคืน เขาซุกซ่อนมันไว้จากคนข้างๆโดยการก้มหน้าลง หน้าผากจรดหัวเข่า กอดตัวเองไว้แน่นเหมือนที่เคยทำ

    ฝนกระหน่ำตกหนักเรื่อยๆ เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก

    ผมอ่านให้ฟังนะครับ

    เสียงนั้นดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝนฟ้าร้องครืน นิรันดร์นิ่งเงียบเป็นการอนุญาตนั่งกอดเข่าฟังเสียงทุ้มอ่านออกเสียงทีละหน้าอย่างชัดถ้อยชัดคำซึมซับทุกเรื่องราวของบทบรรยาย ทุกคำพูดของตัวละคร และปล่อยให้ความง่วงกลืนกิน

    ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อร่างข้างๆเอียงตัวมาพิงไหล่เขา ก้มลงมองก็เห็นว่าตอนนี้นิรันดร์ได้หลับไปแล้วเหลือเพียงความนิ่งสงบของคนที่พยายามหลบซ่อนความอ่อนแอไม่ให้เขาเห็นตอนนั้นที่เขารู้สึกว่าไม่อยากให้อะไรในโลกมาทำร้ายคนคนนี้ได้อีก

    เขาอยากปกป้อง

    เขาอยากให้มีความสุข

     

    ..............................................................

     

    ไตรตินั่งลงบนโซฟาในห้องทำงานของตนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู ภาพถ่ายที่คั่นไว้ยังอยู่ที่หน้าเดิมไม่มีอะไรผิดปกติ ไพลินรอบคอบเสมอทั้งยังฉลาดเป็นกรดเขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าลูกสาวเข้ามาในห้องทำงานถ้าไม่เห็นจากภาพวงจรปิด

    แต่ถึงอย่างนั้นไตรติกลับไม่เค้นถามกับเจ้าตัวเขาเลือกที่จะนิ่งเงียบและทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่หวังว่าจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งรู้มาจากที่ทำงาน

    นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดครับคนที่กำลังช่วยเหลือเขาอยู่ชื่อนิรันดร์ สัจกร เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อทั่วไปเรากำลังตามสืบเพื่อหาข้อมูลที่ใช้ในการต่อรองกับเขาอยู่คุณเทวินไม่อยากให้ใช้กำลังจับกุม กลัวว่าจะเกิดความเสียหายกับระดับเอครับ

    ภาพที่เจ้าหน้าที่เปิดให้ดูปรากฏชัดเจนบนหน้าจอไตรติจำชายหนุ่มคนนั้นได้ดีเพื่อนร่วมงานของลูกสาวที่เขาเคยเจอเพียงไม่กี่ครั้งตอนที่แวะไปดูความเป็นอยู่ที่ร้านแต่ละครั้งที่พบเจอกันนั้นก็ไม่ค่อยน่าประทับใจนักเขาทะเลาะกับไพลินต่อหน้าเด็กคนนั้นแทบทุกครั้ง

    แม้จะจำได้แต่ไตรติก็ไม่ได้บอกว่าคนในภาพที่ให้ความช่วยเหลือผู้หลบหนีอยู่เป็นเพื่อนของลูกสาวและเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เขาจำเป็นต้องตามหาตัวของ A2002-04 ให้เจอก่อนองค์กร

    ไตรติเปิดประตูออกจากห้องคำนวณเวลาไว้อย่างดีแล้วว่าจะเป็นตอนที่ไพลินต้องออกไปทำงาน ลูกสาวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาบอกไปว่าเดี๋ยวพ่อไปส่ง

    ไม่ต้องหรอก

    พ่อมีเรื่องจะคุยกับเพื่อนลูกที่ชื่อรันน่ะตอนนี้เขายังอยู่ร้านไหม

    ไพลินจ้องหน้าผู้เป็นพ่อตาเขม็งสายตาคู่นั้นไม่ได้กราดเกรี้ยวเหมือนยามที่เราคุยกันเองตามปกติพ่อดูจริงจังและนั่นอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังตามหาความจริงอยู่ก็ได้

    คุยอะไร

    เรื่องงานน่ะ

    งาน?กับพี่รันน่ะเหรอ

    เห็นว่าลูกสาวคงไม่ยอมกันง่ายๆไตรติจึงถอนหายใจ ยอมบอกออกไปตรงๆ ดูเหมือนเขาจะไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งเท่าไหร่

    ไพลินตระหนกยอมอ่อนข้อลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น อันตรายมากเลยเหรอ

    มาก ไตรติเห็นว่าสายตาของลูกสาวนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง จึงได้จังหวะถาม ช่วงนี้เขาพาใครไปที่ร้านบ้างไหม”

    แต่เชื่อเถอะว่าสองพ่อลูกเหมือนกันทุกอย่างหลอกล่อกันอย่างไรก็ทันกัน ไม่นะ

    พ่อแค่อยากไปเตือนเขา

    หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าคงหลบเลี่ยงไม่ได้ต่อให้พ่อไม่ไปกับเธอวันนี้ ก็คงหาทางไปเจอนิรันดร์ด้วยตัวเองอยู่ดี

    ก็ได้ค่ะหนูต่อกะจากพี่รันพอดี

    สุดท้ายจึงยอมตอบรับไปก่อนจะขับรถฝ่าฝนไปที่ร้านด้วยกันตอนเช้ามืด

    ครึ่งทางแล้วแต่บนรถยังเงียบเชียบไม่มีบทสนทนาใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพลงเปิดคลอมีเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคารถเป็นระยะเท่านั้น

    ไพลินที่นั่งอยู่ข้างคนขับทนความอึดอัดนั้นไม่ได้ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเลือกที่จะเมินเฉยแต่ตอนนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่ไพลินอยากรู้ความจริง

    พ่อทำงานอะไรกันแน่

    เสียงของลูกสาวทำเอาไตรติชะงักสายตาที่จ้องมองถนนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเขาพยายามที่จะปิดบังเรื่องนี้มาทั้งชีวิต สบายใจที่อย่างน้อยไพลินก็ไม่เคยเข้ามาตั้งคำถามแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ห่างเหินกัน

    ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติเรื่องนี้ควรปกปิดเป็นความลับอย่างถึงที่สุดโดยเฉพาะจากคนที่ตัวเองรักแต่ครั้งนี้ไตรติรู้แล้วว่าไม่อาจทำอย่างนั้นได้อีก หากผู้หลบหนีโดนจับกุมได้ชะตาชีวิตของเขาก็สิ้นสุดลงเมื่อนั้น

    รถจอดติดไฟแดงเป็นวินาทีเดียวกับที่ไตรติเลือกที่จะพูดออกไป

    พ่อทำงานให้องค์กรพัฒนาหุ่นยนต์ หันไปมองหน้าลูกสาวที่รอฟังอย่างตั้งใจ สายตาไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าไรนักนั่นทำให้เขารู้สึกไว้วางใจ เป็นองค์กรลับน่ะ

    เลยบอกหนูไม่ได้เหรอ

    บอกใครก็ไม่ได้

    แล้วทำไมตอนนี้พ่อถึงบอก

    ชายวัยกลางคนหลุบตาลงต่ำอย่างผู้จนตรอก เผื่อพ่อเป็นอะไรขึ้นมาลูกจะได้รู้ว่าเป็นเพราะใคร

    ไพลินสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะลมหายใจหอบถี่ ความหวาดกลัวตีตื้นกัดกินเธอเหมือนตอนนั้น ตอนที่แม่จากไป

    เธอถึงรู้ตัวว่านอกจากพ่อแล้วเธอก็ไม่เหลือใครอีก

    ตอนนี้ในองค์กรเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยความจริงก็ไม่นิดหรอก และคนที่เพื่อนของเพลงช่วยอยู่ ก็เป็นคนสำคัญของเรื่องนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

    เขาเคยมาที่บ้านใช่ไหม

    ครั้งหนึ่ง...แต่ไม่ใช่เขาหรอก

    หญิงสาวนั่งเงียบงันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรก็ไม่รู้กระทั่งรถขับออกไปอีกครั้ง ความหนักอึ้งบางอย่างยังคงอยู่ไพลินก้มหน้ามองมือของตัวเองที่บีบกันแน่นบนตัก แต่เพราะเป็นไพลินการพยายามทำเป็นเมินเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อเรื่องราวใดๆก็ตามคือความสามารถพิเศษของเธอ

    ตำแหน่งอะไรเหรอ

    ไตรติไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด เขาจึงตอบออกไป คนดูแลโกดังน่ะ

    โกดังที่หุ่นยนต์อยู่เหรอ

    พวกเราเรียกกันว่าโกดังแต่ความจริงแล้วคือศูนย์วิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์

    แล้ว... หญิงสาวจ้องมองทางตรงหน้า ฝนตกเหมือนคืนนั้นที่พายุเข้าแล้วเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านตอนที่เกี๊ยวไปช่วยนิรันดร์ไว้ ไพลินนึกว่ามองผิดไปเองว่าเกี๊ยวโดนแทงเพราะเจ้าตัวไม่ได้มีบาดแผลแต่อย่างใด

    มาถึงตอนนี้กลับยิ่งมั่นใจแล้ว

    แล้วคนที่พ่อบอกว่าพี่รันช่วยอยู่น่ะเขาเป็นคนในองค์กรเหรอ

    เหมือนเป็นการเดิมพันด้วยความไว้วางใจความเงียบดำรงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนไตรติจะตอบกลับมา

    เขาเป็นหุ่นยนต์น่ะ

    การคาดเดาของเธอถูกต้องแล้วสินะ...

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in