CHAPTER 06
อย่าได้มีคำสัญญาแสนสุขสันต์
มาดีกลายเป็นเจ้าของห้องแถวไปแล้วมันครอบครองอาณาเขตทั้งหมดตั้งแต่ห้องรับรองชั้นล่างไปจนถึงระเบียงห้องพักแทบทุกห้องลูกบ้านที่ออกมาสูบบุหรี่ตรงระเบียงมักจะเห็นเจ้าแมวสีดำเดินนวยนาดไปมาอยู่บ่อยครั้งดูเหมือนทุกคนจะต้อนรับการมาเยือนของผู้มาดี
นิรันดร์โล่งใจที่เป็นเช่นนั้นตอนแรกเขาก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าการที่เกี๊ยวเอาแมวจรมาเลี้ยงจะเป็นภาระหรือเปล่าที่แน่ๆ คือเขาไม่ช่วยเลี้ยงด้วยหรอกนะเพราะตัวเองไม่ได้รักสัตว์ขนาดนั้นตอนนี้กลายเป็นว่าเจ้ามาดีเป็นอิสระไม่ได้ถูกกักขังอยู่ในห้องคับแคบมันจะไปไหนก็ได้เท่าที่อยากจะไปเหมือนเดิม แต่ถ้าเหนื่อยล้าอยากหาที่หลบภัยเมื่อไรก็มีบ้านให้กลับเมื่อนั้น
ดูเหมือนเกี๊ยวจะชอบอ่านหนังสือเริ่มจากการอ่านทุกอย่างที่สามารถอ่านได้ตั้งแต่ฉลากผลิตภัณฑ์ไปจนถึงหอบเอาหนังสือพิมพ์ที่เจ้าของห้องแถวทิ้งแล้วขึ้นห้องมาอ่านแทบทุกตัวอักษร เป็นการฆ่าเวลาและทุเลาความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ห้องคนเดียวตอนนิรันดร์ไปทำงานที่น่าเป็นห่วงก็คือ เกี๊ยวจดจำสิ่งที่อ่านได้แม่นยำ
“รู้สึกยังไงเหรอการที่ต้องจำทุกอย่างได้ขนาดนั้น”นิรันดร์เคยโพล่งถามหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วพบว่าผู้ร่วมห้องกำลังนอนคว่ำอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พฤติกรรมแนบเนียนเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นทุกวัน
“หมายความว่ายังไงครับ”
“อย่างคนเราไม่ได้จำได้ทุกเรื่องหรอกนะโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่อยากจะจำตั้งแต่แรก”
การคุยกับเกี๊ยวต้องรู้จักยกตัวอย่างหลังจากนั้นจะนำมาซึ่งการถกเถียงที่น่าสนใจเสมอ เกี๊ยวคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบขณะที่นิรันดร์มักจะใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไป
“แล้วถ้าเป็นเรื่องที่อยากจำล่ะครับ”
“บางครั้งเราก็ลืมเรื่องที่อยากจำ”
“แย่เลยนะครับ”
“มีเรื่องแย่กว่านั้นอีก”
“มีอะไรแย่กว่าการลืมเรื่องที่อยากจำอีกเหรอ”
“การจำเรื่องที่อยากลืมน่ะสิ”
“ซับซ้อนจังเลยนะครับ”
“อืม...ซับซ้อนมากเลยถามไงว่าจำได้ทุกอย่างแบบนี้รู้สึกยังไง ถ้าเป็นผมคงทรมานน่าดู”
“ไม่รู้สิครับตอนนี้ผมคงไม่มีเรื่องที่อยากลืมล่ะมั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วดีแล้ว...”
เสียงไดร์เป่าผมดังขึ้นฝ่ายหนึ่งครุ่นคิดถึงเหตุและผลที่แสนซับซ้อนข้อนั้นอีกฝ่ายหนึ่งคิดถึงความทรงจำในสวนสนุก
ความทรงจำที่อยากลืม...
..............................................................
มีเรื่องหนึ่งกวนใจไพลินมากเหลือเกินถ้าเป็นปกติเธอคงจะเมินเฉยไปได้เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่ครั้งนี้เธอเป็นห่วงนิรันดร์ แน่นอนว่าเธอไว้ใจเกี๊ยว ไว้ใจอย่างที่เคยรู้สึกกับนิรันดร์ตั้งแต่แรกเห็นเพียงแต่ครั้งนี้เธอกลับอยากหาเหตุผลมารองรับความไว้วางใจของตัวเอง
ผ่านไปพักหนึ่งแล้วสักปีหรือสองปีประมาณนั้นที่เธอเคยเจอคนที่เหมือนเกี๊ยวแทบทุกอย่างแต่ตอนนั้นเป็นในฐานะเพื่อนร่วมงานของพ่อที่มาหาที่บ้านงานของพ่อเป็นความลับเสมอแม้กระทั่งกับลูกสาวของตัวเอง ทุกคนรู้แค่ว่าไตรติเป็นนักธุรกิจแต่ไพลินรู้ดีว่าเบื้องหลังมีมากกว่านั้น
พ่อทำงานให้องค์กรลับองค์กรหนึ่งเชื่อเถอะว่าเธอรู้แค่นี้ เธอไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องทำงานที่พ่อใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่ในนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรจะว่าไปไม่ใช่ไม่อยากก้าวก่ายหรอก เธอพยายามลบเลือนตัวตนของพ่อไปจากชีวิตต่างหาก
วันนั้นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำขลับดูดีมีภูมิฐานมาหาพ่อที่บ้านก่อนจะเข้าไปคุยกันในห้องทำงานอยู่พักใหญ่แล้วก็กลับไปไพลินความจำดีเสมอแม้ไม่ได้สนใจจะจดจำ ครั้งนั้นเราไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ พ่อไม่เคยแนะนำเพื่อนร่วมงานให้เธอรู้จักไพลินอาจจะลืมการมีตัวตนของอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้ถ้าไม่กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
หญิงสาวก้าวขาออกจากห้องหลังจากแม่บ้านที่มาทำความสะอาดกลับไปแล้วเดินสำรวจจนทั่วบ้านเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่นอกจากเธอไพลินกลับไปที่ชั้นบนอีกครั้ง ประตูไม้บานใหญ่ของห้องทำงานปิดอย่างสงบเมื่อเจ้าของไม่กลับบ้านมาร่วมหนึ่งสัปดาห์
ไพลินลองเปิดประตูเข้าไปพบว่ามันไม่ได้ล็อกอยู่แต่อย่างใด ไม่รู้เพราะความไว้วางใจว่าเธอจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือเปล่าถึงปล่อยไว้ทั้งอย่างนี้ห้องทำงานของไตรติขนาดเล็กกว่าที่คาดไว้ชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือกับแฟ้มเอกสารหลายร้อยเล่มโต๊ะทำงานอยู่ด้านในสุดของห้อง ตรงกลางมีชุดโซฟาขนาดใหญ่ไว้สำหรับรับรองแขก
เงยหน้ามองสำรวจไปรอบๆครึ่งต่อครึ่งของความเป็นไปได้ที่พ่อจะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในนี้แต่ไม่รู้เพราะอะไรไพลินถึงไม่กลัวโดนจับได้เลยสักนิด เธอไม่ได้คิดแผนสำรองไว้ถ้าพ่อถามคงบอกไปว่าแค่อยากลองมาดูห้องทำงานของพ่อไม่ได้เชียวเหรอ
ไพลินคิดเอาเองว่าเอกสารสำคัญคงไม่ได้ถูกเก็บไว้ในนี้ไม่อย่างนั้นพ่อคงล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนาแต่แรกแล้ว แต่ไหนๆก็เข้ามาได้แล้วจึงไม่อยากเสียเที่ยวต่อให้เป็นข้อมูลที่ไม่สำคัญแต่ถ้าสามารถเชื่อมโยงไปหาความจริงได้เธอก็อยากลองหาดูหญิงสาวเดินไปที่โต๊ะทำงานก่อนเป็นอย่างแรก ข้าวของวางเป็นระเบียบหนึ่งในนั้นคือรูปครอบครัวของเรา
เป็นรูปของสามชีวิตที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขแม่จับมือของลูกสาววัยสิบขวบไว้แน่นภายใต้อ้อมแขนข้างหนึ่งของผู้เป็นพ่อที่โอบทั้งคู่ไว้ไพลินหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะขึ้นมาดูชัดๆ ม่านน้ำตากำลังทำให้ภาพพร่าเลือน เช่นกันกับความสุขของเธอถ้าไม่มีรูปพวกนี้ เธอคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าตัวเองเคยมีความสุขขนาดนี้เลยเหรอ
รูปถูกวางกลับที่เดิมยกมือเช็ดน้ำตาทีหนึ่งก่อนที่หญิงสาวจะเบนสายตาไปทางชั้นหนังสือไล่อ่านสันหนังสือคร่าวๆ พบว่าส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีวิศวกรรมหุ่นยนต์ วิทยาการหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์
เป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกินแต่กลับห่างกันเพียงผนังกั้น ไพลินไม่รู้ว่าพ่อทำงานในตำแหน่งไหน แต่คนอื่นๆมักจะเรียกพ่อว่าผู้ดูแล
ไพลินเดินไปที่โต๊ะรับแขกเมื่อเห็นว่าใช้เวลาทั้งชีวิตเธอก็ไม่มีทางเข้าใจเอกสารบนชั้นหนังสือนั้นได้หรอกเธอนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดง โต๊ะตรงหน้ามีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่น่าจะอ่านค้างไว้เมื่อไม่นานมานี้ เป็นหนังสือวรรณกรรมที่พ่อของเธอคงจะอ่านเล่น หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับงาน
เธอเกือบจะวางหนังสือเล่มหนาลงที่เดิมแล้วเมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือที่เธอเคยอ่านมาก่อนเพียงแต่แผ่นกระดาษที่โผล่พ้นออกมาจากหนังสือเล่มนั้นกลับเย้ายวนให้อยากไล้ปลายนิ้วเปิดไปดูเหลือเกิน
ไม่ใช่แผ่นกระดาษสิ่งที่คั่นหน้าหนังสือไว้เป็นภาพถ่ายภาพหนึ่งต่างหากไพลินขมวดคิ้วมุ่นให้คนในภาพทั้งสามคน คนหนึ่งเป็นไตรติพ่อของเธอคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยที่ฉายประกายโดดเด่นออกมาแม้อยู่ในภาพส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเกี๊ยว ท่าทางเหมือนกำลังคุยงานกันอยู่แล้วโดนจับภาพโดยไม่รู้ตัว
“ใช่จริงด้วย”
ยิ่งคาดเดาความเป็นไปได้ก็ยิ่งมากขึ้นทุกทีและทุกความเป็นไปได้นั้นชวนให้หวาดหวั่นไม่น้อยเลย ไพลินพลิกภาพดูด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนกำกับไว้
‘แด่คุณ,
ขออภัยที่ฝีมือการถ่ายภาพของผมยังอ่อนหัด
ผมล้างภาพชุดนี้มอบเป็นของขวัญให้พวกคุณ
ผู้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จอันแสนยิ่งใหญ่ของเรา
ก็อดดาร์ดจงเจริญ
เทวินจี.’
ไพลินเดินออกจากห้องทำงานของพ่อมาด้วยความคิดอันแสนหนักอึ้งจากที่ต้องการจะหาความจริงมาเชื่อมโยงเรื่องของเกี๊ยว กลายเป็นว่าตอนนี้ข้อมูลกลับสะเปะสะปะเกินกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวเองได้เธอสับสนเหลือเกิน
ทุกอย่างยังเป็นปริศนาองค์กรลับ หุ่นยนต์ ธาริกม์ รูดี้ ก็อดดาร์ด เทวิน จี.นึกไม่ออกเลยว่าเกี๊ยวจะข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
..............................................................
นิรันดร์เดินถือถุงบะหมี่เกี๊ยวเข้าไปในห้องแถวที่เจ้าของยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพียงแต่ตรงนั้นดูจะไม่เหงาแล้วเพราะมีมาดีนอนอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ กัน
“อรุณสวัสดิ์”
“ไม่ยอมกลับห้องเลยนะ”
“รบกวนอะไรอยู่กับมาดีมีความสุขจะตาย”
เจ้าแมวเหมียวเงยหน้าขึ้นมามองเห็นว่าเป็นใครก็กลับไปนอนต่ออย่างไม่ไยดี นิรันดร์เบะปาก
ทักทายกันเท่านั้นนิรันดร์ก็เดินขึ้นห้องไปสิ้นสุดขั้นบันไดตรงระเบียงหน้าห้องของเขามีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่สายตาทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“มายืนตากลมทำไมตรงนี้ไม่หนาวเหรอ” ถามเสร็จก็นึกขึ้นได้ หุ่นยนต์จะหนาวได้อย่างไร
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
“ซื้อมาเผื่อกินอะไรยัง”
ถึงจะกินแล้วเขาก็จะตอบว่า “ยังครับ”
ทั้งคู่เดินเข้าห้องไปก่อนที่เกี๊ยวจะเป็นคนจัดโต๊ะอาหารนั่งพื้นอีกตามเคยนิรันดร์ไม่ทักท้วงหรอกที่อีกฝ่ายกลายเป็นคนจัดการความเรียบร้อยและความสะอาดของห้องเขามันรักความสบายอยู่แล้ว
“ร้านเดียวกับที่กินเกี๊ยวน้ำด้วยกันวันนั้น”
“กำลังอยากกินพอดีเลยครับ”
“ปรุงเอง”
“ชอบที่รันปรุงให้”
“ไหนบอกกินอะไรก็เหมือนกันหมดต่อมรับรสความอร่อยของหุ่นยนต์มีด้วยเหรอ” ถึงจะบ่นแต่นิรันดร์ก็ฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่ถ้วยของคนตรงข้ามให้เพื่อตัดรำคาญ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้รำคาญสักเท่าไรหรอก
“พรุ่งนี้ขอไปทำงานด้วยได้ไหมครับ”
“อยู่ห้องเบื่อเหรอ”
“ครับ”
“จะดีเหรอ”
“ไม่อยากให้ไปเหรอครับ”
“เปล่า...”
“ผมช่วยรันทำงานก็ได้ครับ”
ข้อเสนอนั้นทำเอานิรันดร์นึกสนใจ“จะทำอะไรได้”
“ทุกอย่างที่รันบอกให้ทำ”
คนหัวหมอยกขวดน้ำขึ้นดื่มอึกๆกะว่าจะใช้ความอ่อนต่อโลกของหมอนี่หลอกให้ช่วยงานฟรีๆ เสียหน่อยได้ยินแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“ขอยายแก้วเอาเองแล้วกัน”
“ไม่ได้”
นิรันดร์เกือบหน้าหงายเมื่อยายแก้วตอบกลับมาอย่างนั้นเขาหันไปหาเกี๊ยวในทันที ทั้งคู่มองหน้ากันเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“...ทำงานก็ต้องรับค่าจ้างด้วยสิ”
นิรันดร์ผ่อน
“ทำครับ”
สัญญาจ้างปากเปล่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คืนนั้นนิรันดร์ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่การสอนงานผ่านไปอย่างรวดเร็วเกี๊ยวจดจำทุกอย่างได้ในครั้งเดียว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงตราบใดที่เขายังอยู่ด้วยแบบนี้
“คุณไม่ต้องทำแคชเชียร์นะเจอคนเยอะๆ จะยิ่งอันตราย”และที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือความปลอดภัยของนายจ้าง นิรันดร์ให้เกี๊ยวดูแลงานหลังร้านยกของ เติมของ ทำความสะอาด ซึ่งชายหนุ่มก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
“จะไม่เป็นไรเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเขาทำงานเก่งนะ”
“รันก็รู้ว่ายายไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
นิรันดร์สบตายายแก้วเขาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้จริงๆ สินะ
“...ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับรันแบบนี้แต่วันที่รันขับรถชนเขานั่นน่ะ จำได้ไหม”
“จำได้”
“รันคิดว่าเกี๊ยวคือคนที่มีคนมาถามหาวันนั้นไหม”
“ผมว่าใช่”
“นั่นแหละที่น่าเป็นห่วง”
นิรันดร์รับฟังพร้อมกับรับเอาความเป็นห่วงของยายแก้วไว้เต็มอก เขารู้ รู้ดีนั่นแหละว่าไม่มีทางหลบซ่อนเกี๊ยวไว้ได้ตลอดไปหรอกแต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ ที่ที่เกี๊ยวจากมาคือที่ไหน และกำลังหนีจากอะไร
เขาจึงทั้งกลัวและไม่กลัวว่าจะมีคนจับได้ที่กลัวคือเรื่องอาจจะเลวร้ายกว่าที่คิดที่ไม่กลัวคือนั่นอาจจะทำให้เขารู้ความจริงเกี่ยวกับคนคนนี้มากขึ้น
“เสร็จแล้วครับ”
“เก่งมาก ไม่เหลืออะไรให้ทำแล้วมานั่งพักก่อนเถอะ”
นั่นทำให้เกี๊ยวยิ้มกว้างกว่าเก่า
ฝนตกลงมาอีกแล้วเป็นสัญญาณว่าค่ำคืนนี้จะเงียบเหงาอีกตามเคยนิรันดร์ขึ้นไปชั้นบนเพื่อขอยืมหนังสือของแก้วกุดั่นในจำนวนหนังสือมากมายเหล่านั้น เขาแค่หยิบมาเล่มหนึ่งโดยไม่ต้องเลือกเลยด้วยซ้ำ
“ยายหลับแล้วเหรอครับ”
“กำลังจะหลับไม่มีลูกค้าใช่ไหม”
“ไม่มีครับ”
นิรันดร์ยื่นหนังสือให้“เห็นเบื่อๆเลยเอาหนังสือมาให้อ่านน่ะ” ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างๆ กันส่งยิ้มเมื่ออีกฝ่ายรับสลายสิ้นซึ่งความหวังรังรอง ไปสำรวจด้วยความสนใจ พลิกมองทั้งปกหน้าปกหลังอย่างละเอียดเชื่ออย่างสนิทใจว่าไม่มีสักตัวอักษรที่จะหลุดรอดสายตาคู่นั้นไป
ทิ้งลูกอมคาราเมลไว้บนตักของตัวเองนิรันดร์จ้องมอง เขาเป็นคนอนุญาตให้หยิบขนมในร้านมากินได้แต่ต้องลงบัญชีไว้หมอนี่เลือกลูกอมรสคาราเมลสินะ
“รันเคยอ่านเล่มนี้ไหม”
นิรันดร์เงยขึ้นไปมองคนถามส่ายหน้า
“รันชอบอ่านหนังสือไหมครับ”
พยักหน้า“ถ้าว่าง”
“อยากครับ”
เขาถามส่งๆแต่เห็นสีหน้าจริงจังกับสายตาเป็นประกายคู่นั้นแล้วก็อดยิ้มให้ไม่ได้
“สัญญานะครับ”
นิรันดร์ส่ายหน้า“ไม่สัญญาได้ไหม”
คล้ายจะเป็นเสียงรำพึงรำพันของคนที่นั่งกอดเข่าตัวเองแน่นบรรยากาศเงียบเหงารอบข้างฉายชัด ยิ่งรู้จักกันมากเท่าไร เกี๊ยวก็รู้สึกเหมือนห่างไกลจากนิรันดร์มากเท่านั้น
“สิ่งที่ผมเกลียดพอๆกับความจนก็คือคำสัญญานี่แหละ คำพูดของคนน่ะเชื่อถือไม่ได้ที่สุดแล้ว”
‘พ่ออ่านนิทานให้ฟังหน่อยสิครับ’
‘คืนนี้พ่อต้องไปทำงานแล้วเอาเป็นพรุ่งนี้แทนนะลูก เดี๋ยวพ่อซื้อนิทานเล่มใหม่ให้ด้วย’
‘จริงเหรอครับ’
‘จริงสิพ่อสัญญา’
“สัญญาบ้าอะไร”
ฝนกระหน่ำตกหนักเรื่อยๆ เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก
“ผมอ่านให้ฟังนะครับ”
เสียงนั้นดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝนฟ้าร้องครืน นิรันดร์นิ่งเงียบเป็นการอนุญาตนั่งกอดเข่าฟังเสียงทุ้มอ่านออกเสียงทีละหน้าอย่างชัดถ้อยชัดคำซึมซับทุกเรื่องราวของบทบรรยาย ทุกคำพูดของตัวละคร และปล่อยให้ความง่วงกลืนกิน
ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อร่างข้างๆเอียงตัวมาพิงไหล่เขา ก้มลงมองก็เห็นว่าตอนนี้นิรันดร์ได้หลับไปแล้วเหลือเพียงความนิ่งสงบของคนที่พยายามหลบซ่อนความอ่อนแอไม่ให้เขาเห็นตอนนั้นที่เขารู้สึกว่าไม่อยากให้อะไรในโลกมาทำร้ายคนคนนี้ได้อีก
เขาอยากปกป้อง
เขาอยากให้มีความสุข
..............................................................
ไตรตินั่งลงบนโซฟาในห้องทำงานของตนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู ภาพถ่ายที่คั่นไว้ยังอยู่ที่หน้าเดิมไม่มีอะไรผิดปกติ ไพลินรอบคอบเสมอทั้งยังฉลาดเป็นกรดเขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าลูกสาวเข้ามาในห้องทำงานถ้าไม่เห็นจากภาพวงจรปิด
แต่ถึงอย่างนั้นไตรติกลับไม่เค้นถามกับเจ้าตัวเขาเลือกที่จะนิ่งเงียบและทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่หวังว่าจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งรู้มาจากที่ทำงาน
‘นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดครับคนที่กำลังช่วยเหลือเขาอยู่ชื่อนิรันดร์ สัจกร เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อทั่วไปเรากำลังตามสืบเพื่อหาข้อมูลที่ใช้ในการต่อรองกับเขาอยู่คุณเทวินไม่อยากให้ใช้กำลังจับกุม กลัวว่าจะเกิดความเสียหายกับระดับเอครับ’
ภาพที่เจ้าหน้าที่เปิดให้ดูปรากฏชัดเจนบนหน้าจอไตรติจำชายหนุ่มคนนั้นได้ดีเพื่อนร่วมงานของลูกสาวที่เขาเคยเจอเพียงไม่กี่ครั้งตอนที่แวะไปดูความเป็นอยู่ที่ร้านแต่ละครั้งที่พบเจอกันนั้นก็ไม่ค่อยน่าประทับใจนักเขาทะเลาะกับไพลินต่อหน้าเด็กคนนั้นแทบทุกครั้ง
แม้จะจำได้แต่ไตรติก็ไม่ได้บอกว่าคนในภาพที่ให้ความช่วยเหลือผู้หลบหนีอยู่เป็นเพื่อนของลูกสาวและเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เขาจำเป็นต้องตามหาตัวของ
ไตรติเปิดประตูออกจากห้องคำนวณเวลาไว้อย่างดีแล้วว่าจะเป็นตอนที่ไพลินต้องออกไปทำงาน ลูกสาวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาบอกไปว่า“เดี๋ยวพ่อไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก”
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับเพื่อนลูกที่ชื่อรันน่ะตอนนี้เขายังอยู่ร้านไหม”
ไพลินจ้องหน้าผู้เป็นพ่อตาเขม็งสายตาคู่นั้นไม่ได้กราดเกรี้ยวเหมือนยามที่เราคุยกันเองตามปกติพ่อดูจริงจังและนั่นอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังตามหาความจริงอยู่ก็ได้
“คุยอะไร”
“เรื่องงานน่ะ”
“งาน?กับพี่รันน่ะเหรอ”
เห็นว่าลูกสาวคงไม่ยอมกันง่ายๆไตรติจึงถอนหายใจ ยอมบอกออกไปตรงๆ “ดูเหมือนเขาจะไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งเท่าไหร่”
ไพลินตระหนกยอมอ่อนข้อลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น “อันตรายมากเลยเหรอ”
“มาก”
แต่เชื่อเถอะว่าสองพ่อลูกเหมือนกันทุกอย่างหลอกล่อกันอย่างไรก็ทันกัน “
“พ่อแค่อยากไปเตือนเขา”
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าคงหลบเลี่ยงไม่ได้ต่อให้พ่อไม่ไปกับเธอวันนี้ ก็คงหาทางไปเจอนิรันดร์ด้วยตัวเองอยู่ดี
“ก็ได้ค่ะหนูต่อกะจากพี่รันพอดี”
สุดท้ายจึงยอมตอบรับไปก่อนจะขับรถฝ่าฝนไปที่ร้านด้วยกันตอนเช้ามืด
ครึ่งทางแล้วแต่บนรถยังเงียบเชียบไม่มีบทสนทนาใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพลงเปิดคลอมีเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคารถเป็นระยะเท่านั้น
ไพลินที่นั่งอยู่ข้างคนขับทนความอึดอัดนั้นไม่ได้ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเลือกที่จะเมินเฉยแต่ตอนนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่ไพลินอยากรู้ความจริง
“พ่อทำงานอะไรกันแน่”
เสียงของลูกสาวทำเอาไตรติชะงักสายตาที่จ้องมองถนนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเขาพยายามที่จะปิดบังเรื่องนี้มาทั้งชีวิต สบายใจที่อย่างน้อยไพลินก็ไม่เคยเข้ามาตั้งคำถามแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ห่างเหินกัน
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติเรื่องนี้ควรปกปิดเป็นความลับอย่างถึงที่สุดโดยเฉพาะจากคนที่ตัวเองรักแต่ครั้งนี้ไตรติรู้แล้วว่าไม่อาจทำอย่างนั้นได้อีก หากผู้หลบหนีโดนจับกุมได้ชะตาชีวิตของเขาก็สิ้นสุดลงเมื่อนั้น
รถจอดติดไฟแดงเป็นวินาทีเดียวกับที่ไตรติเลือกที่จะพูดออกไป
“พ่อทำงานให้องค์กรพัฒนาหุ่นยนต์”
“เลยบอกหนูไม่ได้เหรอ”
“บอกใครก็ไม่ได้”
“แล้วทำไมตอนนี้พ่อถึงบอก”
ชายวัยกลางคนหลุบตาลงต่ำอย่างผู้จนตรอก “เผื่อพ่อเป็นอะไรขึ้นมาลูกจะได้รู้ว่าเป็นเพราะใคร”
ไพลินสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะลมหายใจหอบถี่ ความหวาดกลัวตีตื้นกัดกินเธอเหมือนตอนนั้น ตอนที่แม่จากไป
เธอถึงรู้ตัวว่านอกจากพ่อแล้วเธอก็ไม่เหลือใครอีก
“ตอนนี้ในองค์กรเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยความจริงก็ไม่นิดหรอก และคนที่เพื่อนของเพลงช่วยอยู่ ก็เป็นคนสำคัญของเรื่องนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”
“เขาเคยมาที่บ้านใช่ไหม”
“ครั้งหนึ่ง...แต่ไม่ใช่เขาหรอก”
หญิงสาวนั่งเงียบงันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรก็ไม่รู้กระทั่งรถขับออกไปอีกครั้ง ความหนักอึ้งบางอย่างยังคงอยู่ไพลินก้มหน้ามองมือของตัวเองที่บีบกันแน่นบนตัก แต่เพราะเป็นไพลินการพยายามทำเป็นเมินเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อเรื่องราวใดๆก็ตามคือความสามารถพิเศษของเธอ
“ตำแหน่งอะไรเหรอ”
ไตรติไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด เขาจึงตอบออกไป
“โกดังที่หุ่นยนต์อยู่เหรอ”
“พวกเราเรียกกันว่าโกดังแต่ความจริงแล้วคือศูนย์วิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์”
“แล้ว...”
มาถึงตอนนี้กลับยิ่งมั่นใจแล้ว
“แล้วคนที่พ่อบอกว่าพี่รันช่วยอยู่น่ะเขาเป็นคนในองค์กรเหรอ”
เหมือนเป็นการเดิมพันด้วยความไว้วางใจความเงียบดำรงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนไตรติจะตอบกลับมา
“เขาเป็นหุ่นยนต์น่ะ”
การคาดเดาของเธอถูกต้องแล้วสินะ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in