CHAPTER 07
แด่ความเชื่อ แด่ศรัทธา แด่ผู้เป็นนิรันดร์
ไพลินตกอกตกใจไม่น้อยที่เปิดประตูร้านเข้าไปเจอชายหนุ่มสองคนอยู่ด้วยกันยังดีที่เธอบอกพ่อว่าให้รออยู่ในรถก่อน แล้วเธอจะเป็นฝ่ายไปคุยกับนิรันดร์เองว่าสะดวกเจอกันไหมถ้านิรันดร์ตอบว่าไม่ ไตรติต้องกลับไปในทันที นั่นคือข้อตกลงของสองพ่อลูก
“คุณต้องหลบไปก่อน”
“มีอะไร”
“พ่อเพลงอยากคุยกับพี่”
นิรันดร์ขมวดคิ้วมุ่น“หมายความว่ายังไง”
เกี๊ยวหันไปมองรถที่จอดอยู่หน้าร้านชัดๆเพ่งสายตาเข้าไปยังร่างของคนที่อยู่ด้านใน เพียงแวบเดียวที่มองเห็นเขาก็จำได้
“เพลงบอกพ่อไปแล้วว่าถ้าพี่ไม่อยากคุยด้วยให้กลับไป”
“ไม่...ไม่ต้อง”
ร่างสูงกะพริบตาถี่ขึ้นความกลัวชัดเจนกว่าทุกครั้ง ชัดเจนเสียจนนิรันดร์ต้องเอ่ยปลอบ
“บอกให้เขาเข้ามา”
“แน่ใจนะพี่”
แทนที่จะตอบคำถามนั้นนิรันดร์กลับมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าแทน “เพลงคิดว่าพ่อเพลงไว้ใจได้ไหม”
“ไม่ได้”
“งั้นพนันกันไหมพี่ว่าน่าจะพอไว้ใจได้อยู่” สายตาของชายหนุ่มระริกเป็นการเดิมพันที่มีแต่เสียกับเสียเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อของไพลินเลยนอกจากเป็นลุงแก่ๆ หัวโบราณคนหนึ่ง
ไพลินเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้เลยด้วยซ้ำนั่นจึงทำให้เธอเบาใจลง “ใครแพ้เลี้ยงเหล้านะ”
“ได้ดิ”
“ตามนั้น”
ไม่นานก็กลับเข้ามาอีกครั้งโดยมีร่างของชายวัยกลางคนตามหลังมาประตูที่เปิดๆ ปิดๆ ทำให้อากาศชื้นจากข้างนอกลอดเข้ามาเป็นระยะ
นิรันดร์เชิญให้ไตรติไปนั่งที่โต๊ะภายในร้านส่วนไพลินผละออกไปเพื่อให้ทั้งคู่ได้คุยกัน เธอต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเข้ากะพอดีจึงถือโอกาสนี้เข้าไปดูเกี๊ยวที่หลบอยู่ด้านในด้วยเลย
ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่งของชั้นวางของด้วยสีหน้าและท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดไพลินหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของร้านที่แขวนอยู่มาสวมทับชุดเดรสสีดำของตนก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ เกี๊ยวเมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีลูกค้า
เกี๊ยวหันมองหญิงสาวที่ยกขาขึ้นถีบประตูหลังร้านก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาสูบอย่างผ่อนคลาย เธอแค่อยากนั่งเป็นเพื่อนเขา แค่นั้นเอง
“สูบไหม”
“ไม่ครับ”
ไพลินหัวเราะในลำคอ“ดีแล้วขืนติดขึ้นมานี่แย่เลย”
“ก็รู้นี่ครับ”
“นั่นดิ”
แต่เพราะไพลินยัก
“เขาคือพ่อเพลงเอง”
เกี๊ยวก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองเพื่อปิดบังสีหน้า “เหรอครับ”
“คุณรู้จักพ่อแค่ไหน”
“ไม่มากครับเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายควบคุม”
“ก็มากกว่าที่เพลงรู้อยู่ดี”
“เขาใจดีครับใจดีมากๆ แต่ผมถูกสอนมาว่าไม่ให้ไว้ใจใคร”
ได้ฟังดังนั้นไพลินก็ผงกหัวตามอย่างพอใจก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เพิ่งพนันกับนิรันดร์เมื่อครู่ขึ้นมา เธอหรี่ตามองคนข้างๆ
ไม่มีคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนทีแรกนานจนไพลินยกยิ้มชอบใจ “ไม่ต้องตอบก็ได้”
“ผมอยากไว้ใจครับ”
“ไม่อยู่ในตัวเลือกนี่ไว้ใจกับไม่ไว้ใจ เลือกมาสิ”
เกี๊ยวมองหน้าหญิงสาวเต็มตาเธอดูผ่อนคลาย ไม่ได้คาดคั้น แต่ก็เลือกคำถามมาได้โดดเด่นเหลือเกินบทสนทนานี้เหมือนหมัดหนักๆ ที่ต่อยเข้าหน้าตอนทีเผลอเกี๊ยวต้องระมัดระวังตัวบ้างแล้ว
“ไว้ใจครับ”
“น้ำเสียงดูไม่มั่นใจเลยนะ”
“ครับ?”
“ก็ในเมื่อคุณคิดว่าพี่รันไว้ใจได้งั้นเพลงขอลงว่าสำหรับคุณแล้วพี่รันไว้ใจไม่ได้”
ประโยคนั้นทำเอาชายหนุ่มหน้าเหวอไม่น้อย“คุณก็ไม่ไว้ใจรันเหรอ”
“ไม่เกี่ยวกับเพลงสิก็บอกอยู่ว่าสำหรับคุณ”
“ผมไม่อยากเล่นพนัน”
หญิงสาวหลุดขำออกมาทันทีเธอว่าบทสนทนาแบบนี้มันบ้ามากพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนโลกส่วนตัวสูงอย่างนิรันดร์ถึงยอมให้คนคนนี้อยู่ด้วย
ทว่าชายหนุ่มกลับมีท่าทีลังเลเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไปไม่รู้ทำไมเขาถึงอยากเดิมพันทุกอย่างเพื่อยืนยันว่าความคิดของตนนั้นถูกต้องแล้ว
เขาสามารถไว้ใจนิรันดร์ได้จริงๆ
“ด้วยอะไรครับ”
เสียงของเกี๊ยวเรียกให้ไพลินหันกลับไปหาเลิกคิ้วรอฟังชายหนุ่มพูดต่อ ดูเหมือนจะอยากเปลี่ยนใจสินะ
“...คุณจะพนันด้วยอะไรครับ”
ไพลินยิ้มกว้าง“ไม่รู้สิคุณอยากเลือกเองไหม”
“แต่ผมไม่เคยพนันกับใครไม่รู้ว่าต้องเลือกอะไร”
“ใครแพ้เลี้ยงเหล้านะคะเพลงเพิ่งพนันกับพี่รันเรื่องพ่อไป จะได้รวบยอดเลยทีเดียว”ได้ยินเสียงประตูหน้าร้านดังขึ้น ลูกค้าเข้ามาแล้ว ไพลินจึงพูดส่งท้ายเพียงว่า “
เกี๊ยวนั่งมองร่างของหญิงสาวลับหายไปได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ใช่คนแรกที่แพ้พนันเธอ
ไม่พูดพร่ำทำเพลงไตรติหยิบภาพถ่ายครึ่งตัวของชายหนุ่มออกมาวางบนโต๊ะ น่าจะเป็นรูปติดบัตรอะไรสักอย่างนิรันดร์มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร
“คุณเคยเจอผู้ชายคนนี้ไหม”
แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้นนิรันดร์กลับส่ายหน้า “ไม่ครับ”
ไตรติผ่อน
“มีคนเคยเจอคุณอยู่กับเขา”
“เหรอ”
ชายวัยกลางคนยังคงใจเย็น“ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะคุณคงนึกไม่ถึงหรอกว่าคนที่คุณช่วยเหลืออยู่เป็นใคร บอกผมมาเถอะว่าเขาอยู่ไหนผมต้องการตัวเขา”
นิรันดร์แย้มยิ้ม“คุณมั่นใจเหรอว่าผมไม่รู้”
ไตรติจ้องมองคนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ครุ่นคิดหาความเป็นไปได้ท่ามกลางความไม่น่าจะเป็นไปได้เหล่านี้ เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่อยู่ดีๆ ก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นคนคนนี้
คนที่ผู้หลบหนีเลือก
คนคนนั้นไม่ได้ต้องการที่ซ่อนที่ปลอดภัยที่สุดหรือคนที่สามารถพาเขาหนีได้ไกลที่สุด แต่เป็นคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วต่างหากคนที่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
ไม่อยากยอมรับเลยแต่ไตรติคิดว่าผู้หลบหนีเลือกถูกแล้ว
“คุณไม่กลัวเหรอ”
“ผมไม่สนใจเรื่องระดับชาติระดับโลกอะไรหรอกนะแรงงานอย่างผมสนแค่วันนี้จะมีข้าวกินไหม จะมีที่ซุกหัวนอนไหม แค่นั้นแหละขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง”
ไตรติพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ นิรันดร์ได้แต่หวังว่านั่นคือความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นใจ
“คุณค่อยกลับเอาไปคิดอีกทีก็แล้วกันผมแค่มาบอกว่าพวกคุณไม่มีทางหนีได้ตลอดไปหรอก ทำได้แค่ซื้อเวลาเท่านั้น ยังไงเขาก็ต้องถูกจับกลับไปได้อยู่ดีและคุณก็จะซวยไปด้วย ถึงวันนั้นอย่าว่าแต่ข้าวเลยชีวิตของคุณก็อาจจะไม่เหลืออยู่ด้วยซ้ำ”ไตรติเก็บภาพถ่ายเข้ากระเป๋า ก่อนจะยื่นนามบัตรให้แทน “ติดต่อผมได้เสมอ”
พูดพลางหันไปมองลูกสาวที่เดินออกมาจากหลังร้านพอดีไพลินเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าพ่อลุกขึ้นเดินออกไปเสียอย่างนั้นโดยมีนิรันดร์มองส่งพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะหมายความได้ว่ายินดีหญิงสาวรีบวิ่งตามพ่อไป
“ทำไมรีบกลับคุยเสร็จแล้วเหรอ”
เสียงของลูกสาวเรียกให้ชายวัยกลางคนหันกลับไปหา“เขาคุยยากกว่าที่คิด”
ไพลินภาคภูมิใจอย่างไร้สาเหตุ
“...เพราะอย่างนี้ใช่ไหมลูกถึงชอบเขา”
หญิงสาวเลิกคิ้ว“ชอบ?”
ไตรติไม่เข้าใจสายตาผิดหวังของลูกสาวถ้าเป็นความเข้าใจผิดเฉยๆ ไม่เห็นต้องโกรธกันถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจะทะเลาะกันข้างนอกนี่จึงเลือกที่จะเมินเฉย
“พ่อต้องกลับแล้ว”
“เขาจะปลอดภัยไหมพ่อจะบอกให้คนของพ่อมาจับตัวพวกเขาไปหรือเปล่า”ไพลินละทิ้งความอวดดี รีบถามสิ่งที่หวาดกลัวอยู่ออกไปสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อพ่อยิ้มให้
“ไม่ปลอดภัยหรอกแต่อย่างน้อยถ้ามีคนมาจับตัวไป ก็ไม่ใช่เพราะพ่อเป็นคนบอกอย่างแน่นอน”
แล้วก็เดินขึ้นรถไปหญิงสาวยืนมองอยู่หน้าร้านจนรถของพ่อขับออกไปไกลจากสายตา ความเชื่อใจหรือความไว้วางใจหรืออะไรกันที่ทำให้เธอไม่สามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้คนที่เรียกว่าพ่อได้เลยสักครั้ง
เธอเหมือนเกี๊ยวเราต่างไม่มั่นใจว่าคนที่เราเชื่อใจที่สุดนั้นจะไม่มีวันหักหลังเราแต่ลึกสุดใจแล้วเราต่างไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เราต่างหวาดกลัว เราต่างคาดหวังเราต่างเว้าวอน
ข้าวปั้นหมดอายุที่ต้องเอาลงจากชั้นคืออาหารของชายหนุ่มทั้งสองคนในวันนี้ทั้งคู่นั่งกินอยู่ด้วยกันที่พื้นหน้าร้าน เหม่อมองแสงสว่างของวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“รอรถเมล์เที่ยวแรกมาแล้วค่อยนั่งรถกลับกันไหม”
“รันไม่อยากขับรถเหรอ”
“ขี้เกียจขับอะหรือจะเดินไปดี”
“รันสอนผมนะทีหลังผมจะขับเอง”
นิรันดร์แค่นหัวเราะในลำคอ“ต้องให้สอนด้วยเหรอนึกว่าทำเป็นหมดทุกอย่างแล้ว”
“มีข้อมูลการขับมอเตอร์ไซค์ติดตั้งให้นะครับแต่ไม่เคยลอง”
อีกแล้วแววตาของนิรันดร์มีประกายประหลาดอีกแล้ว เกี๊ยวหรี่ตาจับผิดเมื่อพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“งั้นก็ลองวันนี้เลย”
นั่นไงเดาผิดที่ไหน
“ไม่ได้ครับมันอันตราย” เกี๊ยวยืนยันเสียงแข็ง แต่คนข้างๆกลับลุกขึ้นดึงแขนเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“ไม่เห็นต้องกลัวเลยยังไงคุณก็ไม่เจ็บอยู่แล้ว” เห็นชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีโอนอ่อนนิรันดร์จึงเสียงอ่อนเสียเอง “ผมอยู่ด้วย ไม่อันตรายหรอก”
“ก็เพราะรันอยู่ด้วยนั่นแหละผมไม่อยากให้คุณเจ็บ”
นิรันดร์ยอมวางมือเมื่อออกแรงดึงแค่ไหนก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้เขาเพียงถอนหายใจ ทำหน้าบึ้งตึง เท่านั้นก็ยกร่างสูงใหญ่ขึ้นได้แล้ว
“ก็ได้ครับ”
แล้วก็เป็นเหมือนทุกเรื่องนิรันดร์แทบจะไม่ต้องสอนอะไรด้วยซ้ำแต่เกี๊ยวก็สามารถขับมอเตอร์ไซค์ได้อย่างคล่องแคล่วด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วเป็นความชาญฉลาดอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้โลกนี้มีหุ่นยนต์แบบเกี๊ยวอีกกี่ตัวกันนะแล้วจุดหมายของการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุดนี้คืออะไร ขณะที่กำลังนั่งเกาะเอวของคนขับอยู่นั้นเองที่นิรันดร์ลองนึกถึงเรื่องที่แลดูห่างไกลจากชีวิตของเขาการอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ การล่มสลายของแรงงาน สงครามระหว่างประเทศการครอบครองข้อมูลทางจักรวาล
“รันคิดอะไรอยู่”
จนกระทั่งเสียงที่ดังฝ่าสายลมดังขึ้นจักรวาลของเขาก็เหลือเพียงหยิบมือเดียว
“เรื่องของคุณ”
“เรื่องของผมเหรอ”
“อืม...”
“แค่นั้นเหรอ”
“เรื่องของเรา”
รถเกือบคว่ำยังดีที่คนขับตั้งสติได้ทัน
“คุณไตรบอกอะไรคุณครับ”
“ไม่ได้บอกอะไรมากหรอกดูเหมือนเขาแค่อยากมาแสดงตัวให้รู้ว่ามีคนจับตามองพวกเราอยู่”
“ข้อตกลงยังเหมือนเดิมนะครับถ้าคุณบอกให้ผมไป ผมก็จะไปทันที”
ไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของคนพูดนั้นหมายความอย่างนั้นจริงไหมนิรันดร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเอาแต่นั่งอยู่เงียบๆแล้วปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
บางทีก็อยากให้จุดหมายของเส้นทางนี้ยืดยาวออกไป
..............................................................
ปกติพนักงานในร้านจะได้หยุดสัปดาห์ละสองวันแต่นิรันดร์ไม่ค่อยได้ใช้วันหยุดเท่าไรหรอก เขาทำงานทั้งสัปดาห์เพื่อได้เงินพาร์ตไทม์เพิ่มมีแค่เดือนละครั้งเท่านั้นที่จะขอลาหยุดสองวัน เพื่อเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ไปหลายชั่วโมง
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”
วันเดินทางมาถึงเกี๊ยวลุกขึ้นมาเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเดียวกันเพราะไปค้างแค่คืนเดียวทั้งสองคนออกจากห้องตั้งแต่เช้ามืด ด้วยเหตุผลคือนิรันดร์ไม่อยากขับรถมอเตอร์ไซค์กลางแดดเปรี้ยงในช่วงกลางวัน
ลงไปถึงชั้นล่างก็เจอกับเจ้าของห้องแถวกับผู้เช่าจำนวนหนึ่งกำลังตักบาตรกันอยู่ข้างๆ ดาบมีมาดีที่ยืนรออย่างสงบเสงี่ยม ทั้งคู่เดินออกมาที่รถตอนพระกำลังสวดให้พรพอดี
“รันนับถือศาสนาอะไรเหรอครับ”
เพราะเริ่มต้นวันเช่นนั้นบทสนทนาระหว่างทางจึงเป็นเรื่องความเชื่อกับศาสนา เกี๊ยวถามคำถามนี้ขึ้นหลังจากมาถึงจุดพักรถเพื่อแวะกินข้าวเช้าในตอนแปดโมงตรงนิรันดร์ที่เพิ่งสั่งข้าวราดแกงให้เราทั้งคู่เสร็จเงียบไปพักหนึ่ง ครุ่นคิดยกใหญ่กับคำถามที่ไม่เคยมีใครถามเขาอย่างจริงจังมาก่อนคำตอบของเขาจึงไม่ค่อยจะชัดเจนนัก
“ถ้าตามในบัตรประชาชนก็พุทธ”
“แต่ผมไม่เคยเห็นรันสวดมนต์ตักบาตรเลยนะ”
เหมือนโดนหลอกด่า“ผมไม่ใช่ชาวพุทธที่ดีหรอกความจริงก็ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรด้วยซ้ำ แค่เลือกไปสักอย่างเพื่อเข้าสังคมน่ะ”
“ผมถูกติดตั้งไว้ว่าศาสนาคริสต์ครับ”
“นั่นแหละผมก็เป็นเหมือนคุณ เกิดมาในครอบครัวพุทธก็เหมือนถูกตั้งระบบไว้ว่าต้องนับถือศาสนาพุทธทั้งที่ยังไม่รู้จักคำว่าศาสนาเลยด้วยซ้ำพอโตมาได้ศึกษาคำสอนของแต่ละศาสนามากยิ่งขึ้นก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองไม่ได้ศรัทธาในคำสอนไหนเป็นหลัก มันมีแก่นบางอย่างของหลายๆ ที่ที่น่าสนใจนะแต่ก็ถูกกลบไปด้วยอภินิหารความเชื่อที่ดูไม่มีแก่นสารการเมืองการปกครองเพื่อใช้ควบคุมคน เงิน และอำนาจนั่นอีก อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมนะต่อไปคุณก็ลองทำความเข้าใจตามความเชื่อของตัวเองดูก็แล้วกัน”
ฟังมาถึงตอนนี้เกี๊ยวก็นึกสงสัยขึ้นมา “ศาสนาคืออะไรเหรอครับ”
“สิ่งที่รักเทิดทูนบูชาไว้เหนือหัว เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นแนวทางที่ใช้ประคับประคองชีวิตอะไรทำนองนั้นมั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ศาสนาของผมก็คือรันครับ”
นิรันดร์มองหน้าคนพูดที่ไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใดเขาเกือบจะหลุดขำอยู่แล้ว แต่คิดดูอีกทีก็ขำไม่ค่อยออก
เกี๊ยวรับหน้าที่เป็นคนขับจากจุดพักรถเป็นต้นไปนิรันดร์เลยได้มีโอกาสหันมองสองข้างทางมากยิ่งขึ้น ความจริงก็คือเขาชอบนั่งรถมากเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตามชอบที่ได้จดจ่อกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็วชอบที่บางทีสิ่งที่มองเห็นกลับเป็นอดีตอันไกลโพ้นของความทรงจำ จินตนาการถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและรำลึกถึงหนังที่เพิ่งดูจบไปเมื่อคืนก่อน
มอเตอร์ไซค์ขับเข้าเขตอำเภอหัวหินลมทะเลปะทะใบหน้าต้อนรับการมาเยือน นิรันดร์บอกทางให้เกี๊ยวเป็นระยะพร้อมๆ กับชื่นชมบรรยากาศที่แสนคุ้นเคยรถขับเลียบถนนติดทะเลที่อยู่ห่างออกไปเพียงหาดทรายกั้น ผู้คนกับรถราค่อยๆน้อยลงเมื่อเข้าใกล้บริเวณพื้นที่ส่วนบุคคลแดดเปรี้ยงอยู่กลางหัวพอดีตอนที่มองเห็นรั้วไม้กั้นพื้นที่โดยรอบ เกี๊ยวจอดรถก่อนคนที่มาด้วยกันจะลงไปที่ป้อมยามเพื่อคุยอะไรกับลุงยามครู่หนึ่งแล้วเดินกลับมา ประตูรั้วเปิดออกต้อนรับพวกเขาเกี๊ยวรู้ในตอนนั้นว่านิรันดร์เป็นแขกเจ้าประจำของที่นี่
จากรั้วเป็นสนามหญ้าที่เว้นทางไว้ให้รถผ่านมีอาคารสองชั้นขนาดใหญ่เป็นสำนักงาน รอบๆคือกระท่อมไม้สีขาวรูปแบบเดียวกันเรียงรายหลายหลัง ทุกหลังหันหน้าเข้าหาทะเลไม่ใช่ที่พัก ไม่ใช่รีสอร์ต ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ผู้คนไม่มาเที่ยวกันที่นี่นิรันดร์บอกเกี๊ยวแบบนั้น
พวกเขาจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใต้ต้นหูกวางข้างๆกระท่อมหลังหนึ่ง ขณะถอดหมวกนิรภัยอยู่ก็หันไปเห็นคนสองคนเดินออกมาจากสำนักงานเพื่อตรงมาทางพวกเขาคนหนึ่งเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีทั้งคู่สวมชุดสีขาวซึ่งเป็นเครื่องแบบของที่นี่
“คุณหมอกับคุณพยาบาลน่ะ”
ภายในกระท่อมไม้หลังเล็กมีเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่กลางห้องร่างซูบผอมในชุดผู้ป่วยสีเขียวกำลังนอนอยู่บนนั้น รอบตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยางของเครื่องมือทางการแพทย์นิรันดร์ทักทายพยาบาลประจำตัวที่เพิ่งเช็ดตัวให้คนไข้เสร็จพอดี
ชายหนุ่มผู้เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอกสถานที่แสนงดงามกับธรรมชาติรอบๆ ช่างดูขัดกันกับความป่วยไข้ของผู้คนทุกอย่างในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เว้นเพียงอย่างเดียวนั่นคือร่างที่นอนอยู่บนเตียงที่แสนโรยรา
นิรันดร์พูดคุยกับหมอและพยาบาลอยู่พักใหญ่เกี๊ยวจับใจความได้ว่าคนไข้อาการทรงตัว ไม่มีอะไรต่างจากครั้งก่อนที่มาเยี่ยมเพิ่มผู้ดูแลให้ตามที่ขอเรียบร้อยแล้ว จะมีการตกแต่งที่พักกับสวนใหม่ อยากให้ทำที่จอดรถไว้ให้ไหมทำนองนี้ แล้วเจ้าหน้าที่ของสถานพักฟื้น นิรันดร์เรียกที่นี่ว่าอย่างนั้นก็เดินออกไปเมื่อเขาขออยู่ที่นี่เพียงลำพัง
นิรันดร์เดินไปเปิดหน้าต่างรับลมทะเลหยิบหนังสือจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ วางไว้บนชั้นหนังสือเล็กๆ สำหรับให้คนดูแลอ่านให้ผู้ป่วยฟังเขาเปิดลิ้นชักหยิบผ้าพันคอสีเหลืองอ่อนออกมาคลุมช่วงแขนของร่างผ่ายผอมก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ จับมือแล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ
“แม่ครับ”
สายตาคู่นั้นทั้งอ่อนโยนและเศร้าโศกในเวลาเดียวกันเกี๊ยวยืนมองอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโดยหวังว่านิรันดร์จะไม่รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนเกินแม้จะไม่เคยตั้งคำถาม แต่วันนี้เขาเข้าใจแล้วว่านิรันดร์เอาแต่ทำงานงกๆไปเพื่ออะไร ดูเหมือนค่ากินค่าอยู่ที่สุขสบายกับเงินเก็บจะถูกเจียดมารวมไว้ตรงนี้หมดแล้ว
“วันนี้รันพาเพื่อนมาด้วยแม่ต้องชอบเขาแน่ๆ”
แม้ประโยคนั้นจะพูดกับผู้เป็นแม่แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง เกี๊ยวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่นิรันดร์นั่งอยู่จ้องมองใบหน้าที่มีส่วนคล้ายกันกับผู้เป็นลูกที่เขาคุ้นเคย
“สวัสดีครับ”
“แม่ดีใจใช่ไหมในที่สุดรันก็มีเพื่อนแล้ว”
ราวกับได้รับการแต่งตั้งเป็นการเลื่อนขั้นที่น่าพึงพอใจ วันนี้เราไม่ใช่คนไกลห่างกันอีกต่อไปแล้วไม่ใช่คนที่ตกกระไดพลอยโจนต้องมาอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้นแต่เป็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง เกี๊ยวรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
“เขาใจดีเหมือนแม่เลยแล้วก็ดูแลรันเก่งมากๆ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เกี๊ยวอยากนั่งฟังนิรันดร์พูดกับแม่ทั้งวันเลยด้วยซ้ำแต่เขารู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายต้องการเวลาส่วนตัวมากกว่า และนิรันดร์ก็ดูจะเห็นด้วยเมื่อเขาขออนุญาตไปเดินเล่นข้างนอกย้ำเพียงว่าอย่าเดินออกไปไกลนักนะ
ชายหนุ่มเดินออกมาจากกระท่อมตรงไปยังชายหาดพื้นทรายสะอาดกับน้ำทะเลใสโอบกอดเขาพร้อมร่มเงาแมกไม้เขาดีใจที่วันนี้แดดไม่จ้าเท่าไรนัก นิรันดร์มักจะหงุดหงิดเวลาอากาศร้อนหรือเย็นจนเกินไปแม้จะอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาแต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากคนคนนี้ไม่มีที่สิ้นสุดโดยเฉพาะสิ่งที่ได้รู้ในวันนี้ ในเมื่อที่ผ่านมานิรันดร์ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ใครฟัง
ชายหาดบริเวณนี้เป็นชายหาดส่วนตัวของสถานพักฟื้นไม่มีใครคนอื่นเลยนอกจากชายหนุ่มที่เพิ่งเคยมาทะเลเป็นครั้งแรก แน่ล่ะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นครั้งแรกสำหรับเขาแม้จะเคยเห็นจากข้อมูลที่ถูกป้อนไว้ แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆกลับต่างออกไป เกี๊ยวนั่งลงบนหาดทราย หลับตาสูดรับกลิ่นทะเล บันทึกไว้ในระบบที่มนุษย์เรียกว่าความทรงจำสองขาที่ยื่นออกไปรู้สึกได้ถึงความเย็นและเปียกชื้นยามคลื่นซัด ทั้งอบอุ่น ทั้งเย็นฉ่ำ
เขาจะได้กลับมาที่นี่อีกไหมนะเวลาที่ล่วงเลยออกไปของเขาจะยาวนานเท่าไรกัน แม้จะรู้มาตลอดว่าเขาไม่มีทางหนีได้ตลอดไปหรอกแต่วินาทีนี้กลับรู้สึกว่าคุ้มค่าเหลือเกินที่ได้ออกมา
ต่อให้ต้องกลับไปเพื่อถูกกักขังหรือไม่ก็ทำลายเขาก็คงไม่เสียใจหรอก
สิ่งเดียวที่เขาเพียงอยากร้องขอก็คืออยากให้ช่วงเวลาที่ได้เป็นอิสระนี้ยืดยาวออกไป
เนิ่นนานต่อไป
นานนับนิรันดร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in