CHAPTER 05
อยากทอดทิ้งซึ่งทุกสิ่งแล้ววิ่งหนี
มีเพียงเสียงของไดร์เป่าผมที่ดังอยู่ภายในห้องแคบสามชีวิตไม่ได้พูดคุยกันมาพักใหญ่แล้ว
ใช่สาม หนึ่งคือเกี๊ยวที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น สองคือเจ้าแมวจรที่นอนอยู่บนตักของเกี๊ยวและสาม
“ให้ตาย”
คือนิรันดร์ที่นั่งเป่าผมให้เกี๊ยวอยู่ในตอนนี้
จะว่าไปเรียกว่าสามชีวิตไม่รู้จะได้หรือเปล่า ในเมื่อชายหนุ่มอีกคนไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำเขาถอนหายใจไล่ความฟุ้งซ่าน ปวดหัวเกินกว่าจะคิดอะไรแล้วในตอนนี้
เรื่องชุลมุนเกิดขึ้นตอนนิรันดร์ไปรับเกี๊ยวที่หลบอยู่หลังร้านแต่หมอนั่นกลับอาลัยอาวรณ์เพื่อนยากที่นั่งอยู่ด้วยกันร่วมชั่วโมง นิรันดร์ที่อยากกลับห้องเต็มทีแล้วจึงยอมอนุญาตให้อุ้มมันมาด้วยสุดท้ายก็มาจบอยู่ตรงนี้นี่แหละ
“เป่าผมเองก็ไม่เป็นยังจะเลี้ยงแมว”
เสียงพึมพำดังขึ้นทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่พะว้าพะวงหันไปหาเจ้าของห้องที่ตอนนี้หน้าบูดหน้าบึ้ง “เป่าเป็น”
“อยู่นิ่งๆ”
“ครับ...”
“แห้งอะไรจับดูดิ เปียกพอๆ กับขนไอ้ลูกแมวนั่นแหละ” นิรันดร์โวย “
เกี๊ยวหันกลับไปนั่งนิ่งๆตามเดิม ลูบขนเจ้าก้อนสีดำบนตักเบาๆ ตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่กเหมือนเขาจริงๆ ด้วย
รอจนเสียงเป่าผมเงียบลงเกี๊ยวจึงส่งเสียงถามอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมา
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ม้วนสายไดร์เป่าผมเพื่อเก็บเข้าที่จะตอบกลับอย่างง่ายดาย“ผมแค่ทำตามที่ตกลงกันไว้”
“ทั้งๆที่รู้ความจริงแล้วเหรอ”
“นั่นไม่เกี่ยวกับผมเราคุยกันแค่ว่าให้คุณอยู่ที่นี่ แล้วผมก็จะได้เงิน”
“รันไม่กลัวเหรอ”
นิรันดร์กระแอมเมื่อรู้ตัวว่าเผลอจ้องมองนานไปหน่อย“กลัวอะไร”
“ก็...”
คนฟังชอบใจกับคำตอบนั้นจนหลุดขำ“ใครบอก”
“ผมถูกป้อนข้อมูลมาแบบนั้น”
น่าแปลกที่พอรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรนิรันดร์กลับเข้าใจทั้งคำพูดและพฤติกรรมของเกี๊ยวมากขึ้น
“เหรอครับ”
อีกแล้วสายตาฉายความรู้สึกออกมาอีกแล้ว คงลังเลว่าจะเชื่อเขาได้หรือเปล่าสินะ
“ผมไม่รู้ว่าเขาป้อนข้อมูลอะไรให้คุณบ้างแต่ถ้าเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่มีคำว่าทุกคนหรือทั้งหมดหรอก มีแค่ส่วนมากกับส่วนน้อยพวกเราแตกต่าง”
“เพราะอย่างนี้คุณเลยไม่กลัวผมสินะ”
ข้อสรุปนั้นตรงตามเหตุและผลที่เราคุยกันนิรันดร์รู้สึกประหลาดเหลือเกินที่ต้องมารับรู้ว่ามนุษย์เราสามารถพัฒนาหุ่นยนต์มาได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“คุณไม่เหมือนหุ่นยนต์เลย”
“ทำไมเหรอครับ”
นิรันดร์ยัก
เกี๊ยวนั่งมองคนที่หยิบผ้าห่มมาคลุมกายทิ้งประโยคหนึ่งตกค้างอยู่ในใจไม่คลาย
‘ความรู้สึกน่ะ’
ที่เขาหนีออกมาก็เพราะมีความรู้สึกอย่างที่หุ่นยนต์ไม่ควรมีนี่แหละ
นิรันดร์รู้สึกตัวเพราะหายใจไม่ออกไม่ได้หนักหนาถึงขั้นนั้นหรอก ถึงอาการปวดหัวจะยังไม่หายและยังมีไข้อยู่แต่เขาก็ไม่ได้จะตาย ในเมื่อตัวการที่ทำให้หายใจไม่ออกคือเจ้าแมวที่นอนทับอกอยู่ต่างหาก
“อะไรเนี่ย”
นิรันดร์หันมองรอบๆห้อง คะเนจากแดดที่ส่องทะลุม่านเข้ามาน่าจะบ่ายสามยังดีที่มาป่วยเอาวันหยุดงานของเขาพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้หอบร่างพังๆนี่ไปทำงานอีกตามเคย
“เจ้าของแกไปไหนซะล่ะ”
เขาหน้ามืดจนเกือบจะล้มกลางห้องน้ำแต่ก็พยุงตัวได้ทันอย่างฉิวเฉียดจนแทบใจหายใจคว่ำอยู่เหมือนกันดูเหมือนอาการป่วยของเขาจะหนักกว่าที่คิด แผลที่สีข้างก็ปวดแปลบขึ้นมาจนไม่อยากขยับตัว
ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดจากด้านนอกเป็นสัญญาณการกลับมาของคนที่ออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ที่นิรันดร์ไม่ตื่นตกใจก็หมายความว่าเขาคุ้นชินกับการมีใครอีกคนอยู่ด้วยกันแล้วอาการป่วยจะยิ่งหนักหนาขึ้นเมื่อต้องอยู่ลำพัง ตอนนี้เขาจึงรู้สึกเบาใจ
“ไปไหนมา”
“รันไม่สบายเลยไปซื้อยาให้”
นิรันดร์ทำหน้าพอใจ“ไม่เสียแรงที่ให้อยู่ด้วย”
“รันมองไม่เห็นเหรอ”
สาบานได้ว่าไม่ได้หาเรื่องสีหน้าจริงจังของคนที่เทโจ๊กใส่ถ้วยอยู่ทำให้นิรันดร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่รู้ความถ้าเป็นคนอื่นอาจจะมีเรื่องกันไปแล้วสักยกสองยก
“มันเป็นคำถามตามมารยาทน่ะนึกออกไหมแบบว่า ว้าว ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยน้า” เขาอธิบายกึ่งประชดแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ นึกว่าโดนตำหนิ
“ขอโทษครับ”
นิรันดร์ระอา“ช่างเหอะ”
ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเงียบๆนั้นเอง นิรันดร์นึกสงสัยขึ้นมา “
เกี๊ยวส่ายหน้า“ไม่จำเป็นต่อร่างกายครับกินหรือไม่กินก็ไม่ส่งผลอะไร แต่ผมถูกติดตั้งระบบไว้ว่าต้องทำตามพฤติกรรมของมนุษย์รวมถึงการกินด้วย”
นิรันดร์ตั้งใจฟังช่างเป็นเรื่องประหลาดเสียจริง “
“หิวครับแต่หิวของผมกับหิวของรันอาจจะไม่เหมือนกัน”
“ยังไงเหรอ”
“ก็ถ้ารันหิวรันจะรู้สึกทรมานใช่ไหมแต่ผมหิวเพราะร่างกายไม่ได้รับอาหารในระยะเวลาที่กำหนด ระบบก็จะสั่งการว่าต้องกิน นั่นแหละครับความหิวของผม”
นิรันดร์ตักข้าวเข้าปากอีกคำหนึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับสนใจ
เขาตั้งใจอำให้ขำแต่เห็นอีกฝ่ายเอียงคอสงสัย นิรันดร์จึงเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่คุณชื่ออะไร”
ครั้งนี้ไม่เหมือนกันกับครั้งที่แล้วที่เขาเคยถามชื่อไม่ใช่อาการอ้ำอึ้งเพราะมีเรื่องต้องปิดบัง แต่เป็นการส่ายหน้าที่หมายถึง
“ผมยังไม่มีชื่อครับมีแค่รหัสหุ่นยนต์”
นิรันดร์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าดวงตาที่หม่นหมองลงนั้นถูกตั้งค่ามาด้วยหรือเปล่า
“จะให้เรียกรหัสแทนไหม”
“ครับ?”
“ก็เกี๊ยวมันยังไงอยู่”
“ทำไมรันไม่ชอบเกี๊ยวล่ะครับมันเป็นอาหารที่เรากินด้วยกันไม่ใช่เหรอ ถึงจะบอกว่าตั้งชื่อส่งๆแต่ผมรู้สึกว่ามีความหมายสำหรับเรานะครับ”
นิรันดร์กะพริบตาปริบๆช่างเป็นคนที่พูดอะไรแปลกๆ ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเลยสินะนึกสงสัยแล้วว่าหมอนี่ถูกป้อนข้อมูลอะไรเข้าไปบ้าง
“งั้นเรียกเกี๊ยวเหมือนเดิมนะ”
“ครับผมชอบชื่อนี้”
“โอเคชอบก็ชอบ”
สุดท้ายก็ได้แต่เลยตามเลย
มีคนดูแลรู้สึกอย่างนี้นี่เองนิรันดร์นึกลำพองใจขณะนั่งอยู่เฉยๆให้เกี๊ยวเช็ดตัวให้หลังจากเขากินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ตอนทำแผล หมอนั่นก็ดูเชี่ยวชาญจนนึกอยากขอบคุณคนที่ตั้งระบบให้อยู่ในที
“รันนอนพักเถอะเดี๋ยวผมนั่งเฝ้าตรงนี้ ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกนะครับ”
เจ้าของห้องที่กำลังหยิบเสื้อตัวใหม่มาสวมให้ตัวเองส่ายหน้าน้อยๆ“นั่งเฝ้าแบบนี้ใครจะนอนหลับ”
ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลเมื่อได้ฟังดังนั้น“รันอยู่คนเดียวได้เหรอ”
“ก็อยู่คนเดียวมาได้ตั้งนานไม่เห็นเป็นไร”
เห็นท่าทีของนิรันดร์เกี๊ยวจึงจำใจต้องทำตามเขาอุ้มเจ้าแมวออกไปจากห้อง ก่อนจะปล่อยให้มันเดินด้วยตัวเองเมื่อลงมาถึงห้องรับรองชั้นล่างแล้ว
“อ้าวนึกว่ากลับบ้านไปแล้ว” ดาบที่กวาดใบไม้อยู่หน้าอาคารส่งเสียงทักเมื่อเช้าเขาไม่อยู่ตอนนิรันดร์กลับเข้ามาอีกครั้งจึงไม่รู้ว่าเกี๊ยวก็กลับมาด้วยเช่นกัน
เกี๊ยวไม่อยากโกหกจึงเลือกที่จะไม่ตอบ เขาตั้งใจจะเดินตามแมวไปเรื่อยๆ แต่เจ้าแมวตัวนั้นกลับไปคลอเคลียอยู่ที่เท้าของเจ้าของห้องแถวเสียอย่างนั้น
“แมวคุณเหรอ”
น้ำเสียงที่ดูจริงจังทำเอาเกี๊ยวกังวลใจขึ้นมา“รันบอกว่าคุณไม่น่าจะว่าอะไร”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
เกี๊ยวยืนฟังด้วยความสนใจมีเรื่องราวอีกหลายอย่างของผู้คนบนโลกที่เขาต้องเรียนรู้
“กฎที่คนตั้งกฎเองยังทำไม่ได้น่ะไม่มีความหมายหรอก” ดาบจ้องมองดวงตาใสแจ๋วของเจ้าแมวในอ้อมแขนพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“แล้วตอนนี้แมวของคุณอยู่ไหนเหรอครับ”
“ไปอยู่ดาวแมวแล้ว”
“อะไรคือดาวแมวเหรอครับ”
ดาบหันไปมองคนถามที่ดูจากสีหน้าแล้วไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใดเขานึกเอ็นดูหมอนี่ขึ้นมาเหมือนที่เอ็นดูเจ้ารัน วัยหนุ่มที่กำลังเรียนรู้น่ะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณเสมอเลยสินะแม้แต่นิรันดร์ที่หม่นหมอง ก็กำลังเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้ายนี้เช่นเดียวกัน
“ไม่อยู่แล้วน่ะ”
“ไม่อยู่แล้ว...”
“เขาก็อยู่ด้วยกันจนครบอายุขัยของแมวนั่นแหละถ้าเป็นคนก็เป็นคุณตาแล้ว จากไปโดยที่ไม่มีอะไรน่าเสียดาย แต่ตอนนั้นผมก็เสียใจหนักเอาการ”
แม้จะพูดด้วยรอยยิ้มแต่สายตาอาบคลอไปด้วยหยาดน้ำจางๆเกี๊ยวจ้องมองชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ภายใน คล้ายๆกับตอนที่เห็นแมวตัวนี้ เรียกว่าอะไรนะ ความเห็นอกเห็นใจหรือเปล่า
ความเห็นอกเห็นใจเป็นคำที่ถูกป้อนข้อมูลไว้ในระบบของเขาอยู่แล้ว รู้ซึ่งความหมายรู้ซึ่งวิธีการแสดงออก แต่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าเป็นเช่นนี้ ระคนเศร้าเช่นนี้
“เจ้าตัวนี้ยังไม่มีชื่อเลยช่วยตั้งชื่อให้หน่อยสิครับ”
ดาบเลิกคิ้วมองชายหนุ่มที่อยู่ๆก็บอกแบบนั้น ได้เห็นรอยยิ้มของเกี๊ยวมอบให้กันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ เขาก้มลงมองแมวในอ้อมแขนอีกครั้ง“ยังไม่มีชื่อหรอกเหรอ”
“เป็นแมวจรครับผมกับรันเพิ่งเก็บมาเลี้ยง”
“อย่างนั้นก็ยากหน่อยนะแมวจรส่วนใหญ่จะรักอิสระ ชอบใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ค่อยชินกับการมีคนมาแสดงความเป็นเจ้าของหรอก”
เกี๊ยวคอตกเมื่อได้ยินอย่างนั้นดาบจึงหันไปอธิบายเพิ่ม “ไม่ได้เป็นทุกตัวหรอกลองดูไปก่อน ให้ข้าวให้น้ำให้ที่อยู่เขา เขาอาจจะอยากมีครอบครัวก็ได้”
“เข้าใจยากจังเลยครับ”
“ไม่มีอะไรเข้าใจง่ายหรอก”
“มาดี...”
“เป็นชื่อที่ความหมายดีนี่”
“ผมชอบชื่อนี้ครับ”
แมวจรจัดมีชื่อเป็นสิบๆชื่อ ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเรียกมันด้วยชื่อที่แตกต่างกันออกไปแต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาดีมีชื่อเป็นของตัวเอง
นิรันดร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนสองทุ่มห้องมืดสนิทจนคิดว่าคนที่ออกไปข้างนอกยังไม่กลับ แต่พอเขาขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่งก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ดีขึ้นหรือยังครับ”
นิรันดร์สะดุ้งด้วยความตกใจ“กลับมาแล้วทำไมไม่เปิดไฟ”
“ก็รันนอนอยู่”
ไฟสว่างขึ้นหลังจากนั้นชายหนุ่มที่ลุกไปเปิดไฟเดินมาหานิรันดร์ผู้ยังคงนั่งอยู่บนที่นอนยกปลายนิ้วชี้จรดบนหน้าผากของเขา
“สามสิบเจ็ดจุดสี่ไข้ลดแล้ว”
เขาเชื่อว่านี่คงจะแม่นพอๆกับเครื่องวัดอุณหภูมิเลยทีเดียว มนุษย์ช่างเก่งกาจเหลือเกินที่สร้างเครื่องจักรกลชนิดนี้ขึ้นมาได้เขามัวแต่ทำอะไรอยู่ขณะที่โลกพัฒนามาถึงขนาดนี้แล้ว
นิรันดร์หันมองไปรอบๆมีบางสิ่งบางอย่างหายไป “แมวล่ะ”
“อยู่กับพี่ดาบครับ”
“มาดีเป็นเด็กดี”
“ผมพาลงไปเดินเล่นเจอพี่ดาบเข้าพอดีเลยได้คุยกันเรื่องแมวครับ”
“พี่ดาบแกรักสัตว์มากแล้วสัตว์ทุกตัวก็ดูรักแกด้วย”
“มาดีก็ชอบพี่ดาบมากเหมือนกันครับนั่งเล่นอยู่ข้างล่างไม่ยอมขึ้นมา พี่ดาบเลยบอกจะดูให้”
นิรันดร์เดินไปหยิบผ้าขนหนูเห็นผ้าตากอยู่ที่ระเบียงจึงส่งเสียงถาม “คุณซักผ้าเหรอ”
“ขอโทษครับ”
แต่คำตอบนั้นกลับทำให้นิรันดร์งุนงงกว่าเก่า“ขอโทษอะไร”
“รันอาจจะไม่ชอบที่ผมยุ่งกับของของรัน”
“คิดมากขนาดนั้นยังจะทำเหรอ”
“ผมแค่อยากช่วย”
เห็นอีกฝ่ายคอตกนิรันดร์จึงอธิบาย “คนขี้เกียจอย่างผมไม่ถือสาหรอกแต่ระวังเรื่องนี้ไว้ก็ดีแล้ว คนอื่นเขาอาจจะไม่ชอบจริงๆ นั่นแหละ”
ได้ฟังดังนั้นก็โล่งใจคนตัวโตยิ้มกว้างตาเป็นประกายทันที “ตอนผมอยู่ห้องคนเดียวผมไม่มีอะไรทำครับเลยพยายามทำตัวมีประโยชน์”
เจ้าของห้องออกจะชอบใจแต่ความจริงแล้วเกี๊ยวเป็นคนจ้างเขาให้ดูแลไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงดูกลับกันอย่างไรชอบกลเขารู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่แม้โดยไม่เจตนานิรันดร์จ้องมองชายหนุ่มที่ตอนนี้ยังสวมเสื้อผ้าของเขาอยู่มีอย่างหนึ่งที่เขาสามารถทำให้เกี๊ยวได้
“อาบน้ำเสร็จแล้วออกไปข้างนอกกัน”
“ไปไหนครับ”
“คุณคงไม่คิดจะใส่กางเกงสั้นเต่อแบบนั้นตลอดไปหรอกใช่ไหม”
นิรันดร์คงจะคิดมากไปเองเพราะก่อนออกจากห้องเขาช่วยพรางตัวเกี๊ยวด้วยหมวกกับหน้ากากอนามัยถึงเขาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของการหลบหนีในครั้งนี้เท่าไร แต่ก็จะพยายามทำงานส่วนของตนให้ดีที่สุดและหวังว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ขอให้เขาแค่คิดมากไปเองจริงๆ
“คุณต้องระวังตัวด้วยนะอย่าคุยกับคนแปลกหน้า อย่าห่างจากผม”นิรันดร์บอกหลังจากขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงห้างสรรพสินค้าละแวกที่ทำงานเรียบร้อยแล้วถึงจะพรางตัวอยู่แต่ส่วนสูงที่เกินมาตรฐานของเกี๊ยวก็ค่อนข้างโดดเด่นอยู่ดี
“ครับ”
“อย่าซื้อเยอะนะเพราะมันจะหักจากเงินที่ผมต้องได้อะดิ”นิรันดร์พูดทีเล่นทีจริงขณะทาบเสื้อตัวหนึ่งให้ชายหนุ่มที่ไม่ยอมเลือกเองเสียที “
“ไม่รู้ครับรันเลือกให้ผมเลยได้ไหม”
นิรันดร์ส่ายหน้า
เกี๊ยวยืนมองเสื้อทั้งสองตัวอยู่พักใหญ่ก่อนจะมองเสื้อที่นิรันดร์สวมอยู่ซึ่งเป็นสีดำ “ชอบสีดำครับ”
“ใช้ได้ผมว่าสีดำก็สวยกว่า”นิรันดร์พออกพอใจกับคำตอบจึงแขวนเสื้อตัวสีขาวไว้ที่เดิม ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นกับการมาที่นี่จะเป็นเขามากกว่าก็ปกตินิรันดร์ไม่ได้มาเดินเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเท่าไร หรือถ้ามีโอกาสเขาก็มักจะพายายแก้วมาซื้อสินค้าที่จะเอาไปขายที่ร้านมากกว่า
ทั้งคู่เลือกเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาห้างปิดพอดีนิรันดร์ที่ยังไม่อยากกลับไปนอนแกร่วอยู่ห้องเลือกที่จะขับรถพาชายหนุ่มไปที่ทำงานของเขาแทน
“พี่รันเป็นไงบ้าง”ชัยชนะที่อยู่กะตอนนั้นส่งเสียงทักตั้งแต่ประตูร้านเปิดออกนิรันดร์เห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของเด็กหนุ่มก็ยักคิ้วให้
“สบายมากให้ทำงานแทนยังได้”
“เพราะผมคนเดียวเลย”
“พอๆถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้พี่กลับนะ”
“ไม่พูดแล้วๆ”
เด็กหนุ่มทำท่าปิดปากแน่นจนนิรันดร์หลุดขำอย่างน้อยๆ เรื่องวุ่นวายนี่ก็ทำให้เขาสนิทกับเด็กใหม่มากขึ้นแหละนะ
“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่ร้านเหรอ”
“ยายอยู่หลังร้าน”
ทันทีที่ชัยชนะพูดจบลูกค้าก็เดินเข้ามาในร้านพอดีนิรันดร์พาเกี๊ยวเดินเลี่ยงออกไปเจอเข้ากับแก้วกุดั่นที่ออกมาจากหลังร้าน เขาคาดไว้แล้วว่าถ้าได้เห็นหน้ากันในวันนี้ยายแก้วจะพูดว่าอะไร
“วันหยุดแล้วทำไมยังมาที่นี่อีก”
เชื่อเถอะว่าคนที่ทำให้แม่มดใจดีหน้ายุ่งบ่อยที่สุดก็คือเขานี่แหละ“พาเกี๊ยวไปซื้อของเลยแวะมาอะว่าจะหาอะไรกินที่นี่เลย”
นั่นยิ่งทำให้แก้วกุดั่นถอนหายใจหนัก“แทนที่จะพากันไปหาอะไรดีๆกิน อาหารแช่แข็งกับบะหมี่กึ่งฯ พวกนี้มันมีประโยชน์ที่ไหน”
“เจ้าของร้านเล่นพูดแบบนี้จะขายของยังไงได้”
“ไข้ขึ้นหนักเลยแต่ก็นอนไปเยอะ ผมทำแผลให้แล้ว ให้กินยาแล้วด้วยครับ”
พร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ดีแล้วไอ้ลูกหมาขี้ดื้อ ต้องดูดีๆ”
“รันไม่ดื้อครับ”
“ไม่จริงหรอก”
“จริงครับ”
ก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น
มื้อดึกดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแก้วกุดั่นเดินไปให้อาหารปลาทองลูกรัก ตู้ปลาสี่เหลี่ยมที่พวกเขาสลับกันดูแลประหนึ่งของล้ำค่าสะอาดเอี่ยมและงดงามอยู่เสมอแม้จะมีที่มาต่างกัน แต่ทุกคนที่ทำงานอยู่ในร้านมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือชอบหยุดดูปลาอยู่นิ่งๆชมครีบกับหางที่ว่ายวนพลิ้วไสวอยู่ในน้ำประหนึ่งชมการร่ายรำ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนถูกกักขัง
พวกเขาทุกคนอยู่ในสถานะที่ไม่ต่างจากปลาทอง
‘เราต่างมีอิสระในตู้ปลาเหมือนกันเลยนะครับ’
นิรันดร์เคยพูดอย่างนั้นครั้งหนึ่งตอนที่ยืนมองตู้ปลาอยู่ข้างกัน แก้วกุดั่นยังจำประโยคนั้นได้ขึ้นใจความแก่เฒ่าคือการหลงลืมเรื่องบางเรื่องได้ง่ายดายขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องบางเรื่องได้แม่นยำ
หญิงชราหันไปมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันอุ่นใจที่ความโดดเดี่ยวของเด็กคนนั้นดูเลือนรางลงแล้ว แต่พร้อมกันนั้นก็หนักใจ
จำได้ดีเลย
คนที่ถามหาลูกอมคาราเมลคนนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in