CHAPTER 04
แต่สุดท้ายที่มองหาคือทางตัน
ต่อให้ผ่านไปกี่ปี ไพลินก็ไม่สามารถทำใจให้ชินกับบรรยากาศเงียบเชียบของบ้านหลังนี้ได้บ้านที่ใหญ่เกินกว่าพ่อลูกจะอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงสองคนยิ่งดูใหญ่เข้าไปอีกในตอนที่ฝนตกเช่นตอนนี้
เธอไม่ชอบฝนเลย ทุกครั้งที่ฝนตกไพลินจะรู้สึกเหมือนทุกคนบนโลกได้สูญสลายหายไปหมดทิ้งเธอไว้กับความโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องกว้างที่เปิดไฟทิ้งไว้ฝนยังตกกระหน่ำจนไม่อาจข่มตาหลับต่อได้อีก ไพลินคิดว่าจะออกไปทำงานก่อนเวลาอย่างน้อยๆ ที่แห่งนั้นก็มีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน คนที่จะไม่ตัดสินเธอว่าถูกหรือผิดคนที่ไม่สั่งสอนว่าเธอควรทำหรือไม่ควรทำ คนที่มอบพื้นที่แห่งความสบายใจให้กันโดยไร้ซึ่งคำเรียกร้องให้ตอบแทนน่าอัศจรรย์ ไพลินรู้ตัวในทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ว่านิรันดร์กับเธอมีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน
ข้างในของพวกเราร่ำร้องข้างนอกเงียบเหงา เราต่างเว้าแหว่งและโดนโลกโบยตีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ไพลินยืนมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกห้องน้ำหญิงสาวในช่วงวัยที่ควรบานสะพรั่งกลับเหี่ยวเฉาทางใจ เธอรักชีวิตของตัวเองตอนนี้รักร่างกายนี้ รักที่เลือกตัดทิ้งและแต่งเติมบางสิ่งบางอย่างให้มันเธอสามารถรักได้มากกว่านี้อีก วันใดวันหนึ่งที่สลัดความกลัวที่กดทับตัวตนอยู่ออกไปได้เธอจะรักตัวเองได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน
เสียงรถที่ขับเข้ามาทำให้ไพลินประหลาดใจพ่อของเธอไม่กลับบ้านมาตั้งกี่วันแล้วก็จำไม่ได้ แทนที่จะดีใจเธอกลับรู้สึกว่าพื้นที่นี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว จึงต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน
หญิงสาวก้าวเท้าเบาหวิวลงบันไดโค้งไปยังชั้นล่างผ่อนลมหายใจเมื่อท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ต้องเดินผ่านพ่อที่นั่งคุยโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นอยู่ดี
“เขายังไม่ปล่อยตัวดอกเตอร์”
เสียงของพ่อดังก้องไปทั้งห้องนั่งเล่นไพลินไม่ได้ตั้งใจแอบฟังหรอก เชื่อเถอะว่าเธอไม่อยากได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดตลอดเวลานั้นสักนิด
“ต้องรีบตามหาตัวเขาให้เจอลำพังเขาคนเดียวหนีไปเองได้ไม่นาน น่าจะมีคนช่วย...ใช่ ไม่ควรมีใครรู้เรื่องนี้ถ้ารู้ก็ต้องจัดการเสีย”
ไพลินทนฟังได้แค่เท่านั้นคำพูดของพ่อช่างเลือดเย็นเหมือนที่เคยเห็นในหนัง พวกคนที่ใช้อำนาจผิดๆชอบพูดแบบนี้ แต่เชื่อไหมว่าตั้งแต่ที่แม่ตายเธอก็ได้ยินพ่อพูดทำนองนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ไตรติมองลูกสาวที่กำลังเดินผ่านหน้าไปถ้าเป็นปกติคงแสร้งไม่สนใจได้ แต่ความผิดปกติบางอย่างที่เห็นได้ชัดทำให้เขาชะงักกดเสียงบอกปลายสายทันที “แค่นี้ก่อน”
ผู้เป็นลูกรู้ดีว่าหลบเลี่ยงการพบเจอกันในค่ำคืนนี้ไม่ได้อีกต่อไปร่างของพ่อเดินเข้ามาขวางทางเธออยู่ สายตาจ้องมองทรงผม รอยสัก แล้วก็จ้องตา
“นี่อะไร”
“ก็เห็นอยู่”
“พ่อไม่กลับบ้านไม่กี่วันแกทำขนาดนี้เลยเหรอ”
หญิงสาวแค่นหัวเราะมองตอบด้วยสายตากราดเกรี้ยว แต่ขณะเดียวกันนั้นก็ใจสลาย
“ไพลิน!”
“หนูต้องไปทำงานแล้ว”
“พ่อบอกให้แกลาออกจากงานแล้วไปเรียนไงทำไมไม่ฟังกันบ้าง แล้วนี่อะไร”ตั้งใจจะชี้ผมที่ตัดจนสั้นกุด แต่ทำออกมาแล้วเหมือนจิกหัวด่าลูกอยู่มองได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ คือต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเข้าข้างตัวเอง “
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกันตั้งแต่ผู้เป็นแม่เสียชีวิตไปสองพ่อลูกก็ไม่เหลือใครให้ยึดโยงได้อีกความตายได้พรากความรักไปด้วยอย่างนั้นเหรอ ไพลินเลือกที่จะนิ่งเฉยแทนที่จะเถียงกลับอย่างที่เคยทำอยู่ดีๆ เธอก็รู้ด้วยตัวเองว่าพ่อไม่มีวันเข้าใจ ไม่แม้แต่จะพยายามทำความเข้าใจและเธอก็ไม่ปรารถนาอะไรในตัวพ่ออีกต่อไปแล้ว
“แม่แกมาเห็นจะรู้สึกยังไง”
เธอรับมือกับทุกคำพูดทำร้ายจิตใจจากพ่อได้ทั้งหมดเพียงแต่ทุกครั้งที่อ้างถึงแม่ น้ำตาก็จะรื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้หญิงสาวกัดฟันกรอด
“แม่คงจะดีใจที่ได้ตายไปจากชีวิตพ่อเสียที”
การปะทะกันนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์สะใจเพียงชั่วครู่ แล้วก็เสียใจไปตลอดชีวิต ไพลินเห็นพ่อมองเธอด้วยสายตาผิดหวัง พ่อไม่พูดอะไรอีกเดินขึ้นห้องไปทั้งอย่างนั้น
เธอรู้ รู้ดีว่านอกจากตัวเธอเองแล้วแม่ยังมีอิทธิพลกับความรู้สึกของพ่อไม่น้อยไปกว่ากัน
ไพลินเช็ดน้ำตาหันหน้ากลับไปทางประตูบ้านอีกครั้ง ทว่าสายตาของเธอกลับเหลือบไปเห็นเอกสารบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะเธอจะไม่สนใจเลยหากกระดาษแผ่นหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาจากกองกระดาษเหล่านั้นไม่มีรูปของใครบางคน
หญิงสาวหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูชัดๆตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าคนในรูปช่างเหมือนกับเพื่อนที่มาหานิรันดร์ที่ร้านไม่มีผิดชายแปลกหน้าคนนั้น แล้วไพลินก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงคุ้นหน้าผู้ชายคนนั้นนักเราเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้เพียงครั้งเดียวแต่ไพลินก็จดจำได้ขึ้นใจ
..............................................................
ไพลินพาชายหนุ่มทั้งสองคนกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งโดยมียายแก้วที่ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจึงรีบลงมาดูนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งถึงได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
“ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมรัน”
“ไม่ไปแผลแค่นี้เอง”นิรันดร์ยกแขนให้ไพลินได้ทำแผลที่สีข้างได้สะดวกดูเหมือนเธอจะใส่น้ำหนักมือแรงขึ้นหลังจากเขายืนกรานแบบนั้น
“ช้ำไปหมดทั้งตัวแล้วลูกเอ๊ย”
นิรันดร์ยิ้มรับรู้สึกดีไม่น้อยที่โดนเรียกขวัญแบบนี้
“เพลง โทร.แจ้งตำรวจแล้วเดี๋ยวคงตามมา” ไพลินพูดขึ้นหลังจากทำแผลให้เรียบร้อยแล้วรอยมีดบาดผิวไม่ลึกนักจึงไม่น่าเป็นห่วง “เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้ว”
“ไม่น่าจะโดนแค่มีดนะ”
“ก็นิดหน่อย”
เห็นชายหนุ่มยัก
ดวงตาที่ปราดมองกันอีกครั้งทำให้เกี๊ยวหัวหดเขาก้มหน้าก้มตา กุมมือของตัวเองที่โดนแทงเมื่อครู่ไว้เมื่อไม่รู้จะเอามันไปไว้ตรงไหนเช่นกันกับร่างกายนี้ เขาเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง รู้เพียงถ้าหาคำอธิบายที่เหมาะสมให้ไม่ได้เขาคงต้องรีบพาตัวเองออกไปจากชีวิตของนิรันดร์
“ไม่ใช่เพื่อน”
เสียงแข็งกร้าวเกี๊ยวเหลือบมองคนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากที่ไม่ได้รู้จักกันดีอยู่แล้ว ก็ดูห่างไกลและเย็นชามากขึ้นกว่าเดิมอีก
เห็นไพลินหรี่ตาเมื่อได้ยินคำตอบนิรันดร์จึงแค่นเสียงพูด “ช่างเขาเถอะไม่เป็นไรหรอก”
หญิงสาวตาขวาง
“ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย”นิรันดร์เบะปากให้ก่อนจะหยิบเสื้อยืดมาสวม แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกขอบคุณแต่นั่นก็ไม่สามารถลบล้างเรื่องที่ว่าชายคนนี้กำลังปิดบังความจริงบางอย่างกับเขาอยู่และยังเป็นความจริงที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆสิ่งที่เขาต้องการมีแค่คำสารภาพที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวเท่านั้น
แก้วกุดั่นที่ยืนฟังอยู่เงียบๆมาพักหนึ่งแล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง
คนที่ได้รับอนุญาตให้พูดเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามาในร้านตอบคุณยายเสียงอ่อน“ไม่ครับ”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“แน่ใจนะลูก”
แวบหนึ่งเขาหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งจ้องเขาอยู่ก่อนแล้วเกี๊ยวก้มหน้างุดแทนคำตอบจนแก้วกุดั่นต้องปลอบใจ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
พร้อมกับมือที่ลูบหัวเหมือนที่ทำกับนิรันดร์เกี๊ยวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขาจะไม่เป็นไร
ตำรวจมาถึงหลังจากนั้นไม่ยากนักกับการทำคดีเพราะมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดที่มองเห็นหน้าคนร้ายอย่างชัดเจนหลังจากพูดคุยสอบถามจนรู้เรื่องรู้ราวพนักงานหนุ่มกับเจ้าของร้านก็พาตำรวจออกไปหน้าร้านซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุภายในร้านเหลือแค่ไพลินกับเกี๊ยวอยู่เพียงลำพัง
“คุณชื่อเกี๊ยวใช่ไหม”
ร่างสูงนั่งนิ่งเงียบมาพักใหญ่ตั้งแต่ที่นิรันดร์บอกว่า ‘
“พี่รันอะปากแข็งไปอย่างนั้นไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอก”
“เหรอครับ”
“ถ้าไม่ได้ไปทำเรื่องผิดร้ายแรงมาน่ะนะ”
ชายหนุ่มคอตกอีกครั้งสิ่งที่เขาทำร้ายแรงไหมนะ
ไพลินยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์มองคนที่นั่งครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา พอเธอไม่ได้ถามอะไรต่อชายหนุ่มก็เหมือนจะอึดอัดจนต้องทำลายความเงียบนั้นแทน
“คุณชื่ออะไรครับ”
“เพลง”
“ครับ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่ตอนเช้ามืด”
“รันลืมร่มครับผมเลยเอามาให้”
“เดินมา?”
“ครับ”
“จากห้องพี่รัน?”
“ครับ”
ไพลินทำความเข้าใจหมายความว่าอยู่ห้องเดียวกันน่ะเหรอ
“เข้าใจแล้ว”
เกี๊ยวพยักหน้ารับ
“เลยทำตามที่เขาบอกเหรอ”
ไร้ซึ่งคำตอบ ดวงตาคู่นั้นกะพริบถี่ขึ้นเมื่อกำลังครุ่นคิดหญิงสาวที่จ้องอยู่ยกยิ้มมุมปาก เดินไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยท่าทีเป็นกันเอง เธอไม่ได้อยากคาดคั้นแต่เพียงลองเชิง
“ทำไมคุณต้องทำตามคำสั่งของพี่รันด้วย”
“ไม่ใช่คำสั่ง”
“จะบอกว่าคุณไม่ทำสิ่งที่พี่รันบอกก็ได้เหรอ”
“ใช่ครับแต่ผมเลือกจะทำด้วยความเต็มใจ”
ไพลินยอมเออออไปด้วย
แววตามาดมั่นดับแสงลงอีกแล้วช่างเป็นดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกออกมาได้ชัดเจนเหลือเกิน เกี๊ยวคิดอยู่นาน นานมากแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ
หญิงสาวเบนสายตาไปหาคนที่ยืนอยู่ด้านนอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “
เกี๊ยวรับฟังหันไปมองตามสายตาของไพลินก่อนที่ความสับสนจะจู่โจมเขาไม่แน่ใจนักว่าเจตนาของหญิงสาวคืออะไร แต่เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด
ฝนซาลงแล้วตอนตำรวจกลับไปทุกคนต่างแยกย้าย นิรันดร์ก็ควรจะเก็บข้าวของกลับห้องด้วยเช่นกันเพราะนี่ก็เลยเวลาเลิกงานมานานแล้วขณะกำลังเดินกลับเข้าไปในร้านนั้นเอง สายตาของเขาหันไปเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่บนพื้น
ร่มสีน้ำเงินที่เขาเป็นเจ้าของ
นิรันดร์เดินเข้าไปยังร่มที่กางคว่ำอยู่ทันทีที่เขาหยิบมันขึ้นมาก็เห็นเจ้าแมวจรตัวสีดำหลบอยู่ด้านในมันนอนหมอบด้วยความหนาวเหน็บเมื่อที่หลบภัยถูกยกออกก็ส่งเสียงร้องทักทายผู้มาใหม่อย่างคุ้นเคย
ขณะเดียวกันร่างสูงก็เดินออกมาหาเขา ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่งก่อนที่นิรันดร์จะส่งร่มคืนให้คนที่เอามันมาด้วยเขาอุ้มเจ้าแมวไปวางไว้ในลังหลังร้าน คิดในใจที่ตรงนี้จะปลอดภัยจากพายุฝนและเรื่องร้าย
เกี๊ยวกางร่มให้เจ้าของเมื่อเห็นว่าฝนยังไม่ขาดเม็ดนิรันดร์ไม่ได้เกรี้ยวกราดคาดคั้นอย่างที่คิด กลับกัน เขาดูสงบนิ่งอย่างน่ากังวล
“ผมไม่ใช่มนุษย์”
ด้วยท่าทีนั้นเองที่ทำให้เกี๊ยวไม่สามารถกลืนคำสารภาพลงคอหรือกลบเกลื่อนต่อไปได้อีกเขาเพียงต้องพูดความจริงออกไป ส่วนจะเชื่อหรือไม่ ช่วยเหลือหรือผลักไสก็ให้เป็นการตัดสินใจของนิรันดร์เอง เขาจะยอมรับไว้ทุกสิ่ง
เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ความไม่สมเหตุสมผลนี้ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดดูมีเหตุผลขึ้นอย่างน่าประหลาดการปรากฏตัวอย่างฉุกละหุก ชายปริศนา เงิน การหลบหนี ความช่วยเหลือ บาดแผลนิรันดร์ส่งเสียงสบถ “เหี้ยไรวะเนี่ย”
เกี๊ยวขยับเข้าไปยืนอยู่ในร่มคันเดียวกันจ้องมองนิรันดร์อย่างมาดมั่นเพราะกลัวว่าจะไม่เหลือเวลาให้แม้แต่จะอธิบาย
ฝนหยดกระทบร่มดังเปาะแปะนิรันดร์สบตาชายหนุ่มตรงหน้า ครั้งนี้เองที่นัยน์ตาสีหม่นทอแสงประกายสีฟ้าแจ่มชัด นิรันดร์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับชีวิตเขาหุ่นยนต์ในภาพจำคือเครื่องจักรที่แตกต่างจากคนตรงหน้า รูปร่างหน้าตา ท่าทาง และการแสดงออกที่เหมือนมนุษย์นี้ควรจะเกิดขึ้นแค่ในหนังไม่ใช่เหรอ
ไม่ควรจะมีอยู่จริงเป็นไปไม่ได้ แล้วอย่างนั้นคนตรงหน้าเขาคืออะไรนิรันดร์หลับตาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ชักจะเลยเถิดแล้ว เขาไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้นิรันดร์ไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองได้เข้าไปพัวพันกับความยุ่งเหยิงเกินตัว
“ไปซะ”
ต้องปล่อยไป...
“แล้วอย่ามาเจอกันอีก”
นิรันดร์พูดส่งท้ายก่อนจะเดินออกมาจากร่มคันนั้นและชีวิตของคนคนนั้นโดยไม่สนใจสายฝนหรือทิศทาง หวังว่าเมื่อเดินจนถึงปลายทางเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงความฝัน ไม่มีอุบัติเหตุไม่มีความช่วยเหลือ ไม่มีข้อเสนอ ไม่มีหุ่นยนต์ ไม่มีเกี๊ยว...
“อรุณสวัสดิ์”
แต่เปล่าเลย ต่อให้เดินมาไกลสุดทางทุกอย่างก็คือความจริงความคิดสับสนวุ่นวายไม่ได้ทุเลาเลยแม้แต่น้อยขณะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเจ้าของห้องแถว
ดาบไม่รู้ว่าชายหนุ่มได้ยินประโยคที่เขาทักทายหรือเปล่าในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีเหม่อลอยตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วเขาพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ ชะเง้อไปมองข้างนอกพบว่าฝนยังคงตกอยู่ความสว่างที่หม่นหมองโอบรับเมืองหมองหม่น เช่นกันกับคนตรงหน้านี้
“ตากฝนมาเหรอ”
ไม่แน่ใจว่านิรันดร์พยักหน้ารับหรือคอตกมือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมที่ปรกเปียกเขาเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองเดินตากฝนมาไกลขนาดนี้
“ไม่ได้กลับมาพร้อมเพื่อนเหรอเห็นบอกว่ารันลืมร่มเลยจะออกไปรับ”
ฟังมาถึงตรงนั้นนิรันดร์ก็ได้แต่สบถในใจเขาพยายามลบเลือนตัวตนของหมอนั่นออกไปจากชีวิตแล้วแต่ความจริงก็ยังย้ำเตือนอยู่นั่นว่าเขาหนีไม่พ้นหรอก
“เขากลับบ้านไปแล้ว”
“ครับผม...”
ไม่รู้ว่าเป็นใครไม่รู้ว่าคุยอะไร นิรันดร์ไม่อยากสนใจหรอก แต่ดาบกลับส่งเสียงดังขึ้นขณะพยักพเยิดมาทางเขา“...รันเหรออยู่พอดี”
นิรันดร์ลุกขึ้นไปรับสายก่อนจะพบว่าคนที่ โทร.มาหาเขาไม่ใช่ใครที่ไหน
“ก็นึกว่าหายไปไหนพี่ลืมกระเป๋าไว้ที่ร้านเหรอ”
“อ้อ...”
“ให้เพลงเอาไปให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอกเอาไว้นั่นแหละ”
“เป็นอะไรปะเนี่ย”
“เปล่า”
“เหรอ”
นิรันดร์เม้มปากเหลือบไปมองดาบที่กลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ก่อนจะส่งเสียงถามปลายสายเบาๆ
“ตอนนี้ไม่อยู่นะไม่ได้กลับไปด้วยกันเหรอ”
“เปล่า”
ไปแล้วสินะ...
“พี่ไล่เขาไปเหรอ”
เสียงของไพลินจริงจัง ไม่ได้ฉายแววขี้เล่นอย่างที่ชอบทำนิรันดร์นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง อึดใจเดียวเท่านั้น “เปล่า”
ราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากปลายสายก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาพูดคำเดิมมาสามรอบแล้ว
“เพลงก็ระวังตัวด้วยนะพี่ไปนอนแล้ว ไว้เจอกัน”นิรันดร์ชิงวางสายเพราะกลัวว่าหากคุยกันต่อเขาอาจจะหลุดพูดความจริงกับไพลินก็เป็นได้สิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้เกี๊ยวคงเป็นการรักษาสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
นิรันดร์ขอยาลดไข้จากเจ้าของห้องแถวเมื่อรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตั้งใจจะเดินขึ้นห้องไปพักผ่อนแต่ทันทีที่ประตูห้องเปิดออกก็รู้สึกปวดหัวหนักขึ้นกว่าเก่าห้องที่เคยสกปรกไม่เป็นระเบียบมาตอนนี้กลับกัน เรียบร้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และโดยไม่ต้องสงสัยนี่คงเป็นฝีมือของคนที่เขาเพิ่งไล่ตะเพิดไปแน่ๆ
“แม่ง”
ดาบที่กำลังชงกาแฟสำเร็จรูปให้ตัวเองอยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบเดินลงบันไดมาห่างจากตอนขึ้นไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำชายหนุ่มวิ่งออกไปหารถมอเตอร์ไซค์ของตนที่จอดทิ้งไว้จนเครื่องเย็น ต้องออกแรงสตาร์ทอยู่นานกว่าจะติด
เช้าวันใหม่เปียกปอนยะเยือกเย็นอย่างที่ชวนให้นึกถึงเตียงอุ่นแต่สิ่งที่นิรันดร์ทำกลับเป็นการขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าลมเย็นกับฝนปรอยๆออกไปอย่างนั้นน่ะเหรอ เขาอยากจะบ้าตายที่สำนึกผิดชอบชั่วดีมักจะทำงานผิดที่ผิดทางเขาไม่ได้สงสาร เห็นใจ หรืออะไรทั้งนั้น เขาแค่ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เชื่อเถอะว่าเขารู้ดีรู้ดีที่สุดเลยว่าความรู้สึกของการโดนทิ้งเป็นอย่างไร
และต่อให้หุ่นยนต์จะไร้ซึ่งความรู้สึก
นิรันดร์ก็ไม่อยากเป็นฝ่ายทำเรื่องเลวร้ายนั้นด้วยตัวเอง
‘เดี๋ยวพ่อมานะ’
‘พ่อจ๋า’
พ่อไม่เคยกลับมา...
มนุษย์เลวร้ายได้เพียงนี้โกหกหลอกลวงโป้ปด เกลียดชิงชังชอกช้ำ ทำร้ายทารุณร้าวรานหรือแม้กระทั่งทอดทิ้งซึ่งทุกอย่าง มนุษย์ทิ้งได้ทุกอย่างจริงๆ
ช่างน่าขลาดอายเหลือเกินสิ่งที่หุ่นยนต์ตนนั้นได้เรียนรู้จากมนุษย์อย่างเขานั้นน่าละอายเกินกว่าจะปล่อยไป
“มาทำไมอีก”
“เขาไปไหนแล้ว”
“พี่หมายถึง...เกี๊ยว?”
“อือ”
“อ้าว”
“เหรอ โอเค”
ขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้นเองก็มีบางสิ่งบางอย่างวิ่งผ่านหน้าเขาไปเจ้าแมวสีดำตัวเดิมที่โผล่มาจากไหนไม่รู้หายไปทางหลังร้าน ทางเดิมกับที่เขาอุ้มมันไปนอนหลบฝนก่อนหน้านี้
ไม่หรอก...
ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่นิรันดร์กลับก้าวขาเดินตามเจ้าแมวไปอย่างเชื่องช้าไม่รู้ทำไมเขาถึงกลัวเหลือเกินว่าที่ตรงนั้นจะมีใครบางคนอยู่เพราะนั่นหมายถึงเกี๊ยวไม่ได้หายไปไหนเลย ยังอยู่ที่เดิมกับตอนที่เขาจากมา
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆข้างๆ ลังที่เจ้าแมวจรกระโดดขึ้นไปมีร่างของชายหนุ่มนั่งคุดคู้ร่มที่กางให้ตัวเองอยู่นั้นทำให้นิรันดร์มองเห็นเพียงสองเท้าในรองเท้าผ้าใบนิรันดร์ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเมื่อยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่นี่ทำไมถ้าเกี๊ยวถาม เขาก็ไม่มีเหตุผลให้หรอก
นิรันดร์เลิกร่มสีน้ำเงินของตนขึ้นอีกฝ่ายจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจเหมือนตอนที่เขาเห็นเจ้าแมวจรหลบอยู่ในร่มไม่มีผิด นิรันดร์ พ่นลมหายใจ ทั้งเหนื่อยใจและโล่งอกนี่เขากำลังทำอะไรอยู่
“กลับกันเถอะ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นเกี๊ยวก็ยิ้มกว้างออกมา เขานั่งอยู่ตรงนี้เพราะไม่มีที่อื่นให้ไปตั้งใจว่าจะรอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยวางแผนใหม่ อย่างน้อยๆที่นี่ก็มีเจ้าแมวน่ารักตัวนี้อยู่เป็นเพื่อนเขา
แต่รู้ไหมใบหน้าของนิรันดร์ที่ปรากฏหลังจากร่มถูกดึงขึ้นนั้นเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นไม่มีผิด อาทิตย์ที่ขึ้นพร้อมกับฝนที่หยุดตกพายุผ่านพ้นไปแล้ว แสงของวันใหม่อนุญาตให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกวันหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in