CHAPTER 03
ฝ่าพายุ ฝ่าเมฆฝน ฝ่าเวลา
เขาตื่นเพราะแสงลอดเข้าตาม่านชำรุดกวนใจเสมอเมื่อเวลานอนคือตอนกลางวัน แต่สิ่งที่กวนใจได้มากกว่าในตอนนี้คงจะเป็นร่างที่นอนอยู่บนพื้นสิ่งที่หนุนอยู่คือผ้าปูผืนบางกับหมอนใบเล็ก ทั้งห้องมีผ้าห่มเพียงผืนเดียวจึงจำเป็นต้องใช้ร่วมกันเจ้าของห้องพาดครึ่งหนึ่งไว้บนที่นอนในส่วนของตน ส่วนอีกครึ่งกองอยู่ที่พื้น
นิรันดร์นอนมองอยู่พักหนึ่งเขายังไม่คุ้นชินกับการมีคนอื่นอยู่ด้วยกันแบบนี้
“นี่”
ผู้มาเยือนนอนมองเจ้าของห้องที่เดินไปหยิบผ้าขนหนูตายังไม่เปิดดีด้วยซ้ำ เสียงหาวดังไม่ขาดช่วงคล้ายจะเป็นเสียงคำรามมากกว่า
“คุณจะไปไหน”
“อาบน้ำไง”
“หลังจากอาบน้ำ”
นิรันดร์พาดผ้าขนหนูไว้ที่ไหล่ตอบตัดรำคาญ “ไปทำงานอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนอยู่ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นไปนอนบนที่นอนดีๆ อย่างที่เขาบอก สายตาคู่นั้นมีความกังวลนิรันดร์จึงปล่อยให้อีกฝ่ายคิดหาคำตอบจนกว่าเขาจะอาบน้ำเสร็จ
แต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำหมอนั่นก็นอนห่มผ้าหลับเป็นตายอยู่บนที่นอนของเขาเรียบร้อยแล้วใบหน้าผ่อนคลายหาได้มีเรื่องกวนใจเหลือตกค้างจากเมื่อครู่แม้แต่น้อยให้มันได้อย่างนี้
เมื่อรู้ข่าวว่าพายุจะเข้าวันนี้นิรันดร์จึงเลือกที่จะไปทำงานโดยรถเมล์ และคงต้องเดินกลับเพราะเขาเลิกงานก่อนรถเที่ยวแรกจะให้บริการเขาไม่ชอบขับรถมอเตอร์ไซค์ตอนฝนตก ที่สำคัญรถบุโรทั่งนั่นโดนน้ำเมื่อไรเป็นอันสตาร์ทไม่ติดเมื่อนั้น เขาไม่อยากเสียเวลาครึ่งค่อนวันเพื่อซ่อมมันอีกแล้วทุกครั้งที่ฝนตกจึงเลี่ยงใช้มันมาตลอดยังดีที่ห้องเช่ากับร้านไม่ได้อยู่ห่างกันมากจนเดินไม่ไหว ถ้าไม่ใช่เพราะถนนชำรุดรถกับร้านค้าล้นบาทวิถี ข้างทางไม่ปลอดภัย เขาก็อยากจะเดินไปทำงานทุกวัน
มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่ร้านตอนเขาไปถึงชัยชนะผู้เป็นพนักงานพาร์ตไทม์อีกคนกำลังหัวหมุนอยู่กับลูกค้าคนหนึ่ง นิรันดร์กวาดตามองรอบๆยายแก้วไม่ได้อยู่ที่นั่น
“ไปเรียกเจ้าของร้านมาทำงานแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” ลูกค้าหัวแถวตะคอกชายวัยกลางคนท่าทางดุดัน สีหน้ากรุ่นโกรธอย่างเห็นได้ชัด ชัยชนะก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
“ตอนนี้เจ้าของร้านไม่อยู่ครับ”
“ปล่อยให้ลูกน้องไม่ได้เรื่องทำงานคนเดียวอย่างนี่น่ะเหรอเฮงซวยสิ้นดี”
“ขอโทษครับ”
เหตุคุ้นนิรันดร์เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะเป็นงานไหน แต่เมื่อคุณเป็นพนักงานบริการคุณจะกลายเป็นกระโถน
นิรันดร์โยนกระเป๋าเข้าหลังเคาน์เตอร์เริ่มงานก่อนเวลาจนได้ทั้งที่เพียงอยากเข้ามาหาข้าวกินก่อนถึงกะของตัวเองก็เท่านั้น“มีอะไรเหรอครับ”
กระโถนใบใหม่เข้าไปรับหน้าบุ้ยใบ้ให้เด็กหนุ่มหันไปคิดเงินให้ลูกค้าคนอื่นเขาที่ถือเป็นรุ่นพี่จะจัดการเรื่องนี้เอง
“คุณก็เป็นแค่พนักงานไม่ใช่เหรอยายแก่นั่นอยู่ไหน”
“เหมือนน้องเขาจะบอกไปแล้วนะครับว่าเจ้าของร้านไม่อยู่”
“ฟังนะหมอนั่นคิดเงินเกินไปร้อยยี่สิบบาท คุณเห็นไหม”
นิรันดร์ก้มดูใบเสร็จที่อีกฝ่ายยื่นมาให้พร้อมกับกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งเขาพอจะเข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงได้เลยเถิดมาถึงขั้นนี้
“ถ้าผมไม่เห็นก่อนคงโดนโกงไปแล้ว”
“ดื่มไปเยอะเลยเหรอครับ”
“ว่าไงนะ”
“ดูเหมือนคุณจะเมาร้อยยี่สิบบาทก็ค่าบุหรี่นี่ไม่ใช่เหรอ”เขาชี้ไปที่ซองบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ไม่ได้รวมอยู่ในถุงที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นิรันดร์มองใบเสร็จปราดเดียวก็จำได้แล้วว่าของที่ลูกค้าซื้อคืออะไรบ้าง
คนเมาก้มลงมองหลักฐานในกระเป๋าเสื้อจนมุมขนาดหนักแต่กลับไม่อยากยอมรับผิด คนทั้งร้านหันมามองเขาเป็นตาเดียว
คนทั้งร้านเหมือนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกันเหตุการณ์ชุลมุนผ่านพ้นไปเช่นนั้น รอจนลูกค้าออกไปหมดแล้วนิรันดร์จึงเดินไปหารุ่นน้องที่ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
“ผมกลัวแทบแย่”
“ได้ดูไหมว่าไม่ได้คิดเงินผิด”
“ไม่อะพี่เห็นเขาโวยวายผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ชัยชนะพร่ำพูด “
“คนเมาก็งี้แหละ”
“ยังไม่หมดกะของผมเลยพี่”
“เอาเถอะกลับก่อนสักวันจะเป็นไรไป”
เด็กหนุ่มที่ติดหนี้บุญคุณกันอยู่แล้วไม่อยากหนีกลับบ้านก่อนหรอกแต่เพราะคนพูดมีสีหน้าจริงจัง ชัยชนะจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง ยอมไปเปลี่ยนชุดแล้วเลิกงานแต่โดยดีสิ่งที่เขาตอบแทนได้คงเป็นการเดินไปซื้อข้าวจากร้านอาหารตามสั่งร้านข้างๆมาให้เท่านั้นเอง
นิรันดร์หาช่วงที่ลูกค้าซาลงเพื่อกินข้าวมื้อแรกของวันแล้วเขาก็นึกถึงคนที่ห้องขึ้นมา ไม่รู้ป่านนี้จะตื่นหรือยังจะหาข้าวหาปลากินเองได้ไหม เขาอาจจะเป็นห่วงเกินเหตุ แต่จะว่าก็ว่าเถอะ หมอนั่นน่าเป็นห่วงน้อยเสียที่ไหนเงินค่าจ้างที่ตกลงกันไว้คงไม่ได้รวมให้เขาดูแลปรนนิบัติอย่างดีด้วยหรอกใช่ไหม
อากาศเย็นย่างกรายพร้อมกับฝนที่ลงเม็ดอย่างหนักพนักงานกะดึกรู้อยู่แล้วว่าพายุจะเข้าจึงเตรียมตัวรับมือไว้อย่างดีทั้งกะละมังรองน้ำฝนที่หยดลงมาจากฝ้าตรงมุมหนึ่งของร้าน ปูกระดาษลังที่หน้าร้านไว้ให้ลูกค้าได้เช็ดเท้าที่เปียกโชกก่อนเดินเข้ามาและเช็กไฟสำรองเพราะเมื่อไรก็ตามที่ฝนตกหนักไฟมักจะดับ จนทำให้ระบบต่างๆภายในร้านรวน และการเตรียมพร้อมก่อนหน้านี้แล้วนั้นเองที่ทำให้เขานั่งกินข้าวไปพร้อมๆกับมองฝนตกอย่างเลื่อนลอย
นึกขึ้นได้เขาลืมหยิบร่มมา
..............................................................
‘หนีไป!’
เสียงนั้นเบาจนแทบกระซิบ แต่ก็เต็มไปด้วยความตระหนกเร่งเร้าเขาไม่ทันได้สังเกตว่าใบหน้าภายใต้หมวกแก๊ปที่กำลังเปิดประตูให้อยู่นั้นคือใครเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้น คาดว่ามาจากคนคนนี้อีกเช่นกันหรือไม่ก็มีใครคนอื่นที่ช่วยเหลือเขาอยู่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งไปตรวจสอบตามจุดต่างๆเขาอาศัยจังหวะนั้นในการวิ่งสุดชีวิต ไปตามทางหนีทีไล่
เส้นทางภายในอาคารทอดยาวไปถึงหน้าลิฟต์ที่จะพาเขาขึ้นไปหาทางออกลิฟต์ที่ตรวจจับลายนิ้วมือเฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้นแต่การปลอมแปลงลายนิ้วมือไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหุ่นยนต์ระดับเอหรอก
ลิฟต์นำเขาขึ้นไปจากโกดังชั้นใต้ดินสู่อาคารร้างที่หากมองจากภายนอกคงไม่มีใครคาดเดาได้ว่าข้างล่างนั่นเป็นศูนย์ลับเฉพาะกิจโครงการยักษ์ใหญ่ของมนุษยชาติ
แม้จะเป็นอาคารร้างแต่ข้างบนก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่จำนวนมากเขาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในเงามืดของราตรีกาล มีเวลาไม่มากนักเมื่อไรก็ตามที่ข้างล่างนั่นรู้ว่าเขาหนีไปจะต้องเกิดการปูพรมตามหา และถ้ายังออกไปจากที่นี่ไม่ได้นั่นหมายถึงความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า
การลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหวและหลบหนีถูกตั้งระบบไว้เป็นพิเศษเพียงเจ้าหน้าที่เผลอไม่กี่วินาทีเขาก็ปีนข้ามกำแพงสูงออกมาถึงถนนด้านนอกได้สำเร็จแล้วเสียงฟ้าคำรามครืนๆ ดังมาจากไกลๆ เป็นสัญญาณว่าฝนห่าใหญ่กำลังจะตกลงมาชายหนุ่มหยิบมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง เอื้อมไปด้านหลังของตัวเองเพื่อกรีดท้ายทอยออกเป็นช่องเล็กๆพอให้สามารถล้วงนิ้วเข้าไปดึงอุปกรณ์ติดตามตัวออกมาโยนทิ้งได้ก่อนจะหลบหนีไปพร้อมกับสายฝนพรำ
ฟ้าร้องเช่นวันนั้นเขานั่งมองฝนจากระเบียงห้องขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงจากการไม่ได้ทำความสะอาดมาสักระยะหนึ่งแล้วหลังจากตื่นนอนเขาก็เดินสำรวจห้องเพื่อความคุ้นเคย ไม่นานก็ไม่เหลืออะไรให้ทำอีกต่อไปการใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งคำสั่งช่างยากเย็นเหลือเกิน
“เกี๊ยว”
‘นี่เกี๊ยวอันสีฟ้าคือแปรงสีฟันของคุณนะ สีเขียวของผม’
ยังจำสีหน้าท่าทางผ่อนคลายของนิรันดร์ได้เป็นอย่างดีเขาทำเพียงพยักหน้าหงึกๆ รับฟัง และจดจำทุกคำพูดได้ขึ้นใจ
‘กลางคืนผมต้องทำงานคุณอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม แถวนี้มีร้านค้าเยอะแยะ คุณออกไปหาซื้อของกินเองได้เลยนะหรือถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็ลงไปใช้โทรศัพท์ข้างล่างถ้าใครถามก็บอกไปว่าเป็นเพื่อนของรันห้องสองศูนย์หนึ่ง’
ชีวิตใหม่ของเขาเริ่มต้นขึ้นแล้วในฐานะชายหนุ่มที่ชื่อเกี๊ยวเพื่อนร่วมห้องของนิรันดร์
เสียงฟ้าร้องดังก้องก่อนที่เสียงสัญญาณเซ็งแซ่จะวกวนอยู่ในหัวเกี๊ยวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง นี่เป็นสัญญาณการติดต่อครั้งแรกหลังหนีมาจากโกดังเขาทำลายเครื่องมือสื่อสารและติดตามตัวไปแล้วเพราะฉะนั้นคนที่ติดต่อมาหาเขาโดยตรงจะเป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากคนที่รู้จักเขาดีที่สุด
คนที่สร้างเขาขึ้นมา
“A2002-04 ได้ยินแล้วตอบด้วย”
หวาดกลัว คงเป็นคำนั้นที่อธิบายความรู้สึกของเขาได้ในตอนนี้พายุใดก็ไม่สามารถพัดพาเขาหนีจากความจริงได้
“ไม่ต้องกลัวผมแค่อยากรู้ว่าคุณปลอดภัยดีไหม ผมติดตั้งระบบสื่อสารฉุกเฉินที่มีแค่ผมเท่านั้นที่รู้ไว้ไม่มีใครติดตามตัวคุณได้จากระบบนี้”
นั่นยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“คุณรู้อยู่แล้วเหรอ”
“ว่า?”
“ว่าผมจะหนี”
ได้ยินเสียงถอนหายใจ
“ไม่มีเวลาอธิบายตอนนี้ผมกำลังถูกควบคุมตัว”
“เพราะผมเหรอ”
“อืม...”
“ขอโทษครับ”
“เอาเถอะรู้ว่าคุณปลอดภัยก็ดีแล้ว มีคนตามคุณอยู่ไหม”
“ไม่ครับเหมือนจะยังไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ไหน”เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น “วันนั้นคุณอยู่ที่ไหนครับ”
“วันไหน”
“วันที่ผมหนี”
“อยู่บ้านคุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ”
ใช่ เขารู้วันนั้นหลังจากเลิกงานชายหนุ่มก็ออกจากโกดังไป แต่เขาอยากถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเมื่อยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าใครกันที่ช่วยเขาไว้
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ”แต่ต่อให้เป็นผู้สร้าง เขาก็ยังไม่อยากให้รู้เรื่องนี้
“แผนของคุณคืออะไร”
“ผมจะซ่อนตัวไปสักพักแล้วค่อยหนีไปเรื่อยๆ ครับ”
“ดีแล้ว ยิ่งอยู่ที่ไหนนานๆจะยิ่งอันตราย เก็บรักษาเงินไว้ให้ดี ถ้าหมดเมื่อไหร่ให้ติดต่อมาหาผมผมจะหาวิธีช่วยคุณ แล้วก็...อย่าไว้ใจใคร”
ชายหนุ่มหลุบตา
“ผมจะติดต่อไปอีกที”
แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป เกี๊ยวเอาแต่จ้องมองสายฝนอยู่เช่นเดิมครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้สร้าง ทีแรกเขาไม่อยากไว้ใจใครหรอกแต่เมื่อได้มาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ความเชื่อใจกลับเป็นสิ่งสำคัญเหลือเกิน
เขาลุกขึ้นทำความสะอาดห้องเท่าที่จะทำได้เพื่อฆ่าเวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนนึกสงสัยขึ้นมาว่ามนุษย์ชอบทำอะไรตอนฝนตกใช่หาวิธีต่อกรกับฝนหรือเปล่า
แล้วสายตาของเขาก็หันไปเห็นร่มสีน้ำเงินคันหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะพลาสติกก่อนนอนนิรันดร์เป็นคนเตรียมเอาไว้เองปากก็บ่นว่าถ้าฝนตกคงต้องเดินกลับห้องอย่างนู้นอย่างนี้มาวันนี้กลับลืมเอาร่มไปเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มยกยิ้มพอใจอย่างน้อยการลืมร่มก็ทำให้เขามีจุดหมายในชีวิตบ้างแล้ว
คืนนี้เขาจะไปรับนิรันดร์
..............................................................
ฝนซาแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก เป็นเพราะฝนอีกเช่นกันที่ทำให้ค่ำคืนนี้มีลูกค้าบางตานิรันดร์ไม่เหลืองานอะไรในร้านให้ทำอีกต่อไป เขาจึงใช้เวลาที่เหลือในการนั่งซ่อมนาฬิกาโบราณเขามีความสามารถพิเศษคือซ่อมอะไรก็ได้ที่พังไปแล้วให้กลับมาใช้งานได้อีกจะเรียกว่าความสามารถพิเศษก็ไม่ถูกนักหรอก เป็นการเก็บของที่คนอื่นทิ้งแล้วมาใช้ต่ออยู่เป็นนิจมากกว่า
นาฬิกาโบราณเรือนนี้เป็นนาฬิกาไขลานที่แขวนบอกเวลาอยู่ภายในร้านมานานโขแล้วอาจจะนานพอๆ กับอายุของร้านเลยก็ว่าได้ ความเก่าแก่ของมันนี่แหละที่ทำให้เขาต้องคอยซ่อมแซมอยู่เสมอครั้นจะเปลี่ยนเรือนใหม่แก้วกุดั่นก็ยืนกรานเสียงแข็ง
เขานั่งซ่อมนาฬิกาอย่างเงียบเหงาโดยมีโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนรายการหนังรอบดึกสนุกเสียจนไม่อาจละสายตาได้ หนึ่งชั่วโมงแล้วที่ประตูร้านปิดอยู่อย่างนั้นกระทั่งล่วงเข้าตีสามประตูก็เปิดออก แต่กลับไม่ใช่ลูกค้า
“ทำไมวันนี้มาเร็ว”
“โดนเฉดหัวออกจากบ้านอะดิ”
“พ่อเห็นแล้วเหรอ”
“อือไม่กลับบ้านตั้งหลายวัน กลับมาเห็นลูกสาวผมสั้นกุดสักเต็มคอคงทำให้อาหารไม่ย่อย”
ชายหนุ่มละมือจากนาฬิกาหันไปมองแผ่นหลังของไพลินที่ทำเหมือนไม่ยี่หระ ทว่านิรันดร์รู้จักเธอมานานพอๆกับที่เข้ามาทำงานที่นี่ไพลินเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวเศรษฐีที่มีหน้ามีตาทางสังคมพยายามสร้างภาพเจ้าหญิงในกรงทองให้เธอตั้งแต่ยังไม่รู้ความแต่ไม่มีอะไรกักขังอิสรภาพไว้ได้ตลอดกาลหรอก วันหนึ่งเธอก็หลบหนีโบยบินไปตามเส้นทางของตัวเอง ตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ห่างเหินกันอยู่แล้วก็แตกร้าวมาจนถึงทุกวันนี้
“คงไม่ได้กำลังสงสารเพลงอยู่ใช่ไหม”
“ช่วยเพลงด่าพ่ออยู่ในใจต่างหาก”
“งั้นดีเลย”
นิรันดร์ยกยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นแล้ว“บางทีพี่ก็ลองจินตนาการดู”
“จินตนาการอะไร”
“ถ้ารวยเหมือนเพลงจะยังมาทำงานที่ร้านแบบนี้ไหม”
ไพลินยักไหล่
“ดูอยู่”
“พี่ดูเรื่องนี้รอบที่เท่าไหร่แล้วเหอะ”
“ก็เขาชอบฉายเรื่องเดิม”
ไพลินเลื่อนกลับมาช่องเดิมเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าดูเธอหันไปมองมือที่กำลังซ่อมนาฬิกาอยู่อย่างชำนาญเป็นครั้งที่เท่าไรของนิรันดร์แล้วก็ไม่รู้กับการซ่อมนาฬิกาเรือนนี้
“แล้วจะเอายังไงต่อ”
“หมายถึง?”
“จะกลับไปเรียนไหม”
หญิงสาวส่ายหน้าเนือยๆ
“ไหนบอกแค่มาหาความสนุกเฉยๆไง”
“ความผูกพันก็สนุกดีนะ”
วันนี้นิรันดร์อยากขอบคุณฝนที่ทำให้เขาได้มีเวลาทำความรู้จักใครคนหนึ่งมากยิ่งขึ้นทั้งคู่นั่งคุยกันจนกระทั่งชายหนุ่มซ่อมนาฬิกาเสร็จ เขานำมันไปแขวนไว้ตรงตำแหน่งประจำหลังเคาน์เตอร์ไม่รู้เพราะเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหรือเปล่า เข็มวินาทีถึงได้เคลื่อนอย่างเชื่องช้าเวลาดำเนินไปอย่างอืดอาดเหลือเกิน
ไพลินที่เปลี่ยนชุดเตรียมเข้างานเรียบร้อยแล้วเดินออกมาเห็นชายหนุ่มนั่งพึมพำอยู่คนเดียว“ตกหนักเลย”
“จะเดินกลับเหรอ”
“คงงั้นแต่ลืมเอาร่มมา”
“เอาของเพลงไปก่อนดิ”
“ไม่ต้องหรอกรอให้ฝนหยุดดีกว่า”
ไพลินไม่เข้าใจว่าดีกว่าตรงไหนยายแก้วมีร่ม เธอมีร่ม ที่ร้านขายร่ม แต่กลับอยากรอให้ฝนหยุดตกแทนน่ะเหรอช่างเป็นคนที่คาดเดาได้ยากจริงๆ นั่นแหละ
“ถ้ามันไม่หยุดอะ”
“ก็ดีดิ”
“แปลก”
“ช่างเหอะ”
“ว่าแต่เพื่อนพี่คนที่มาร้านเมื่อวานชื่ออะไรนะไม่เห็นเคยพูดถึง”หญิงสาวที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ไม่ได้หันไปมองว่าคนถูกถามชะงักไปด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะบ่ายเบี่ยง
“ไม่ใช่เพื่อนสนิทหรอกรู้จักกันแค่ผ่านๆ”
“แล้วชื่ออะไร”
“เกี๊ยว”
“ชื่อแปลกดี”
นิรันดร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่“มีอะไร”
“เพลงคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก สงสัยจะจำคนผิด”
คำอธิบายนั้นทำให้นิรันดร์ทั้งเบาใจและหนักใจที่เบาใจคือดูเหมือนไพลินจะไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไรในตัวของเกี๊ยวมากนักที่หนักใจคือถ้าไพลินเคยเห็นเกี๊ยวขึ้นมาจริงๆ แล้วตัวตนของชายหนุ่มคนนั้นคือใครกันแน่
“ยังไงก็รีบกลับไปพักเถอะวันนี้พี่เข้างานก่อนเวลาไม่ใช่เหรอ ได้ข่าวว่าเกิดเรื่อง”
นิรันดร์สลัดความคิดยุ่งเหยิงหันกลับไปมองหญิงสาวที่พยายามหาอะไรทำ แต่พบว่าทั้งการเช็กสต็อก จัดสินค้าหรือแม้กระทั่งทำความสะอาดร้าน พนักงานกะก่อนหน้าก็ทำเสร็จหมดแล้ว
“รู้ด้วยเหรอ”
“ไอ้วินบอก”
นิรันดร์เลิกคิ้ว
“ไลน์”
“สนิทกันขนาดนั้นเลย”
ไพลินหันไปมองตาขุ่น
“ของพี่ โทร.เข้าโทร.ออกได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ยายจะซื้อใหม่ให้ก็ไม่เอาโอทีก็ได้ตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ พี่เอาเงินไปเก็บไหนหมด”
นิรันดร์ไม่สนใจเขาเปลี่ยนเรื่องเก่งที่หนึ่ง “
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเธอพอจะรู้เรื่องมาจากชัยชนะบ้างแล้ว “ความจริงพี่น่าจะยอมๆ ไปหมอนั่นเป็นไอ้ขี้เมาลูกค้าประจำไม่ใช่เหรอ”
“ดีเท่าไหร่ที่เป็นพี่ถ้าเป็นเพลงมาเจอคงต่อยมันไปแล้ว”
“ก็จริง”
นิรันดร์ไม่นึกอยากเอาเรื่องไร้สาระมาใส่ใจแต่ตอนนั้นเขาน่าจะฟังสิ่งที่ไพลินพูดแล้วระมัดระวังตัวมากกว่านี้เพราะทันทีที่เขาเดินออกจากร้านเพื่อจะเอาขยะไปทิ้งเท้าข้างหนึ่งก็ถีบเข้ากลางหลังเต็มๆ จนต้องไปนอนอยู่บนพื้นโสโครกกลางฝน
ทันทีที่ตั้งตัวได้เขาก็หันขวับไปเห็นใบหน้าของลูกค้าคนเดิมที่มีเรื่องด้วยเมื่อเย็นวานสิ่งที่ต่างออกไปคงเป็นกลิ่นเหล้าเหม็นรุนแรงกว่าเก่าบ่งบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายที่มากขึ้น ข้างๆ ยังมีชายอีกสองคนที่น่าจะเมาพอกันยืนมองพร้อมรอยยิ้มหยัน
“ยั้งมือหน่อยนะเพื่อน”
“ไม่ต้องห่วงแค่จะสั่งสอนให้มันจำขึ้นใจว่าลูกค้าคือพระเจ้า”
ถ้าไม่ติดว่าต้องหลบหมัดจากพระเจ้านิรันดร์คงจะหลุดขำด้วยความสมเพชไปแล้วเขาลุกขึ้นยืนได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะเตะไปที่หน้าแข้งของมันเสียเต็มแรง นอกจากจะทำให้ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงจัดด้วยความโกรธเพื่อนอีกสองคนเห็นท่าไม่ดีก็รุมกันเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแลกหมัดกันไปมาหลายต่อหลายรอบ ถึงจะหลบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ด้วยจำนวนคนแล้วเขาไม่มีทางสู้ได้เลย
“หมาหมู่นี่หว่า”
“มึงจะได้รู้ว่าหมามันกัดไม่เลือกหน้า”
พระเจ้าดูละครหลังข่าวมากไปจริงๆนั่นแหละ
มีดพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วนิรันดร์เบี่ยงตัวออกแต่เพราะโดนจับไว้อยู่จึงหลบได้ไม่ถนัดเขาโดนมีดเฉี่ยวบริเวณสีข้าง เจ็บแปลบจนต้องงอตัวจึงไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังยกมีดเตรียมจ้วงเข้าที่กลางลำตัวของเขาอีกครั้ง
ฉึก
วินาทีโกลาหลเสียงตะโกนเรียกตำรวจดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างของเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระเสียงโวยวายของพวกมันสามคนบอกกันเองว่าให้หนี ก่อนจะวิ่งหายไปจากซอยมืดฝนยังคงกระหน่ำหนักเหมือนไม่เคยตกมาก่อน
นิรันดร์งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขานิ่งงันไปครู่หนึ่งเมื่อเจ้าของแผ่นหลังที่อยู่ประชิดตัวกันหันหน้ามาหาสายตาที่เคยเต็มไปด้วยความตระหนกกำลังมองเขาอย่างเป็นห่วง
“รันเจ็บไหม”
ทว่าสิ่งที่ทำให้นิรันดร์งุนงงไม่ใช่เหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่เพิ่งผ่านมาหรอกแต่เป็นการที่หมอนี่โผล่มาอยู่ตรงหน้าแทนที่จะรออยู่ที่ห้องต่างหาก ไหนจะคว้าคมมีดไว้อย่างไม่เกรงกลัว
ที่สำคัญ
“มือ...”
นิรันดร์ขมวดคิ้วมุ่นไม่สามารถหาอะไรมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ความตื่นตระหนกและสงสัยนั้นเองที่ทำให้เขาดึงมีดเล่มนั้นออกมาอย่างแรงรั้งมือของเกี๊ยวที่พยายามดึงมือของตัวเองกลับไว้มั่นจ้องมองกระทั่งเห็นว่าบาดแผลบริเวณนั้นไม่มีเลือดออกจริงๆ
นอกจากนั้นผิวหนังที่โดนแทงก็ค่อยๆ สมานกันจนกลายเป็นปกติ ไม่เหลือบาดแผลทิ้งไว้แต่อย่างใด...
นิรันดร์ผละมือออกมาในทันทีด้วยความตกใจตาเบิกโพลงมองเกี๊ยวที่มีสีหน้าซีดเผือดเมื่อโดนจับได้ไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าไพลินที่เป็นคนตะโกนเรียกตำรวจเมื่อครู่วิ่งเข้ามายืนอยู่ข้างกันแล้ว
“คุณเป็นใครกันแน่”
เสียงของนิรันดร์ดังแข่งกับเสียงฝนละอองน้ำสาดกระเซ็นโดนร่างที่ยืนอยู่ใต้ชายคาร้านขายของชำ เกี๊ยวได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
ท้ายที่สุดพายุฝนได้ชะล้างตัวตน เผยให้เห็นความลับที่พยายามซุกซ่อนไว้แต่ไม่สำเร็จ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in