CHAPTER 02
คำโป้ปดที่นำมาซึ่งปัญหา
ทำยังไงกับหมอนี่ดี
นิรันดร์คิดวกไปวนมาอยู่อย่างนั้น เขาพาชายหนุ่มแปลกหน้ากลับมาที่ร้านเพราะตัวเองก็ไม่มีที่ให้ไปเช่นกัน ยายแก้วยืนมองคนที่นั่งประจันหน้ากันมาพักหนึ่งแล้วแต่กลับไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมาสักคำ สุดท้ายหล่อนจึงต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนอึดอัดแทน
“เจ็บตรงไหนไหมลูก”
เสียงของแม่มดมีมนตร์ขลัง ทำให้ใครก็ตามรู้สึกปลอดภัย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มที่ก้มหน้างุดเงยหน้าเป็นครั้งแรก เขาจ้องมองคนพูดที่กำลังมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้
“ไม่ครับ” ก่อนสายตาจะเบนไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แขนข้างซ้ายที่เขาจำได้แม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว “นิรันดร์เจ็บมากกว่า”
เป็นความผ่อนคลายที่นิรันดร์ไม่รู้ว่าควรยินดีหรือเปล่า ในเมื่อเขายังไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำได้จึงเป็นการนั่งกอดอกมองอย่างไม่ไว้วางใจ
“ขอโทษครับ”
“เรื่อง?”
“ตอนนั้นผม...ผมผิดเอง”
สายตาคู่นั้นไม่กล้ามองเขาตรงๆ ด้วยซ้ำ นิรันดร์ได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนจะถามออกไปตรงๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไรกันแน่”
ไม่ได้ใส่อารมณ์เลยสักนิด แต่เพราะเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบกึ่งตำหนิ คนที่หัวหดอยู่แล้วก็แทบจะโหม่งโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด แก้วกุดั่นเห็นท่าไม่ดีจึงต้องช่วยเจรจา
“ใจเย็นๆ ก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะ”
“ผมก็ถามเขาดีๆ นะยาย”
“ยายรู้ ยายรู้...” พูดพลางลูบไหล่นิรันดร์เบาๆ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มสงบลง เห็นเขาผงกหัวรับ ยายแก้วจึงยิ้มพอใจ หันไปส่งเสียงคุยกับชายอีกคนเสียงอ่อน “พ่อหนุ่มกินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวยายไปหาข้าวมาให้กินดีไหม”
ถ้าตามมารยาทก็คงต้องบอกปัด แต่อีกฝ่ายกลับตอบคำถามอย่างจริงใจ “ยังครับ” และดูจริงจังเสียด้วยสิ นิรันดร์ขมวดคิ้วมองอย่างสับสนกับท่าที
“ดีเลย เมื่อกี้เจ้ารันกินไปได้ไม่กี่คำก็รีบออกจากร้านไป” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบข้าวกล่องมาวางไว้ให้ชายหนุ่มทั้งสอง อยากจะอยู่ช่วยคุยด้วยอีกแรง แต่ก็ต้องรีบผละไปหาลูกค้าที่เพิ่งกรูกันเข้ามาในร้านก่อน
“ตามสบายนะลูก”
สุดท้ายจึงมาจบที่ตรงนี้ นิรันดร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะนั่งกอดอกมองชายหนุ่มอีกคนก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ว่าไปอดอยากมาจากไหน
นิรันดร์เลื่อนกล่องข้าวของตัวเองไปให้ สายตาขี้สงสัยจ้องมองเขาแทนคำถาม เขาจึงต้องจำใจตอบ “กินสิ”
“คุณไม่กินเหรอ”
“ผมอิ่มแล้ว”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มให้ “ขอบคุณครับ” มารยาทดีเสียด้วย
ตกดึกลูกค้าก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ นิรันดร์เห็นว่าหากถามไถ่ไต่สวนกันตอนนี้คงยังไม่เหมาะ เขาต้องไปทำงานของตัวเองได้แล้ว คุณยายที่อยู่เฝ้าร้านมาตั้งแต่เช้าจะได้ไปพักผ่อนเสียที
“นั่งรออยู่ตรงนี้เงียบๆ นะ ผมต้องไปทำงานก่อน” เขากำชับชายหนุ่มที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ สายตามาดมั่นไร้ซึ่งพิษภัย นิรันดร์เห็นดังนั้นก็พอจะเบาใจลงได้บ้างว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปประจำตำแหน่งตรงเคาน์เตอร์คิดเงินในทันที
คืนวันศุกร์เต็มไปด้วยพนักงานบริษัทที่เพิ่งเลิกงานแล้วพากันมาสังสรรค์ที่ย่านนี้ มีบ้างที่เป็นคนในละแวกหรือลูกค้าประจำ นิรันดร์คิดว่าเขาน่าจะทำยอดได้มากที่สุดในรอบเดือนเลยก็ว่าได้ ซึ่งนั่นหมายความว่างานเขายุ่งเสียยิ่งกว่ายุ่ง พอคนซาลงก็ต้องตรวจสต็อกสินค้ากับเติมของเข้าชั้น ในบรรดาทั้งหมดนี้ งานที่เหนื่อยที่สุดคงจะเป็นการร้องขอแกมบังคับให้ยายแก้วขึ้นห้องไปพักผ่อนได้แล้ว
“หรือพ่อหนุ่มนั่นจะเป็นตัวนำโชค” แก้วกุดั่นกระซิบบอกลูกจ้างเมื่อเปิดดูยอดขาย นิรันดร์หันไปมองคนที่ยังคงนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ที่เดิม
“ตัวปัญหาสิไม่ว่า”
หญิงชราให้อาหารปลาเป็นงานสุดท้าย เห็นกล่องข้าวสองกล่องที่ว่างเปล่าก็ได้แต่ชอบอกชอบใจ “พ่อหนุ่มกินเก่งนะเนี่ย”
“ขึ้นไปนอนได้แล้วครับ”
เป็นเสียงของนิรันดร์ที่พูดประโยคเดิมๆ ขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาพร้อมสายตาจริงจัง แก้วกุดั่นจึงพยักหน้ารับก่อนจะป้องปากกระซิบคุยกับพ่อหนุ่มแปลกหน้าเสียงเบา
“ขอตัวก่อนนะ ไอ้ลูกหมาโมโหขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่”
พูดพลางหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจกันอยู่สองคน แล้วยายแก้วก็เดินขึ้นบันไดไปยังตัวบ้านชั้นบน โดยมีสายตาของนิรันดร์มองตามจนสุดทาง
“คุยอะไรกัน” นิรันดร์ถามเสียงเรียบเมื่อหันกลับมาเห็นชายหนุ่มพยายามกลั้นขำอยู่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา น่าโมโหน้อยเสียที่ไหน
พาเหรดแห่งความโกลาหลสิ้นสุดลงตอนตีหนึ่ง นิรันดร์ลงมือทำความสะอาดร้านอย่างไม่เร่งรีบนัก พอหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนความวุ่นวายที่แท้จริงจะยังไม่สิ้นสุดลง
“ถังขยะอยู่หน้าร้าน” เขาพยักพเยิดไปยังกล่องข้าวบนโต๊ะ คนที่นั่งอยู่เหมือนจะไม่เข้าใจในทีแรก มองกล่องข้าวทีหนึ่ง มองเขาทีหนึ่ง “เอาไปทิ้งสิ” เสียงขุ่น
ชายหนุ่มจึงได้ขยับตัว หยิบขยะทั้งหมดไปทิ้งอย่างรวดเร็ว นิรันดร์มองตามไม่ละสายตา ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องรอให้เขาบอก
เมื่อกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ไอ้ลูกหมาของคุณยายเจ้าของร้านก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทีเหมือนไม่สนใจแต่สายตาฉายแววหงุดหงิดอยู่ในที
“จะให้ผมช่วยอะไรก็พูดมา” นิรันดร์ถามตรงประเด็น ระหว่างเขากับผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากพอที่จะช่วยเหลือกันได้ หากไม่เกิดอุบัติเหตุบ้าบอนั่น เราก็คงไม่มีวันได้รู้จักกัน
อีกฝ่ายนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ นิรันดร์เพิ่งสังเกตว่าดวงตาของอีกฝ่ายเป็นสีที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก เทาหม่นเหมือนภาพระบายดินสอเข้มๆ กดลงบนแผ่นกระดาษ เมื่อไฟสะท้อนก็มีประกายสีฟ้าส่องออกมา และตอนนี้ ทะเลดินสอกำลังกลอกไปกลอกมาควานหาคำตอบให้เขาอยู่
“คุณไม่ไว้ใจผมแบบนี้แล้วมาขอให้ผมช่วยทำไม”
อาการอึกอักกลืนหายไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ”
“แล้วทำไมถึงไม่พูดออกมาตรงๆ คุณระแวงกับคำตอบของตัวเองแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
“บางเรื่องคุณไม่ควรรู้”
“นั่นแหละเรียกว่าไม่ไว้ใจ” นิรันดร์สรุป นั่งกอดอกไขว่ห้างอย่างเหนื่อยหน่าย “ที่แน่ๆ คือจะไม่กลับไปโรงพยาบาลใช่ไหม”
“ครับ...”
“ให้พาไปหาตำรวจไหม เขาอาจจะช่วยคุณได้มากกว่าผม”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“คุณคงไม่ได้ทำผิดร้ายแรงจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนหรอกนะ”
นิ่งเงียบ
นิรันดร์จ้องมองความเงียบสงบนั้น เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะคาดคั้นไปมากกว่านี้ “ไม่ต้องบอกก็ได้”ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเติมซองบุหรี่เข้าชั้นแทน
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ชายหนุ่มยืนกรานเสียงหนักแน่น เมื่อดูเหมือนว่าจะโดนขับไสไล่ส่งจากความหวังสุดท้ายในอีกสาม “ผมอยากให้คุณช่วย” สอง “หาที่หลบ” และหนึ่ง
“คุณไปเถอะ อย่างที่เห็น ผมช่วยอะไรใครไม่ได้หรอก”
เสียงนั้นเหมือนรำพึงรำพันมากกว่าจะบอกปัด คนฟังนั่งมองแผ่นหลังของนิรันดร์อย่างมาดมั่น ไม่แน่ใจว่าควรบอกไปหรือเปล่าว่าเขาไม่รู้หรอกว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง ตอนนี้เขาแค่ไม่มีที่ไป
“หรือถ้าคุณจะมาหลอกเอาอะไรจากผม ผมก็ไม่มีให้ทั้งนั้น”
“แค่ไม่นาน”
น้ำเสียงนั้นดูจริงจัง นิรันดร์รอฟังอย่างใจเย็น
“...ขออยู่ด้วยแค่ไม่นาน” ชายหนุ่มเม้มปากหลังจากพูดจบ จ้องมองแผ่นหลังที่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนร่างนั้นจะหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าก้ำกึ่งระหว่างประหลาดใจกับไม่ไว้วางใจ
“ถามจริง?”
ว่ากันว่ามนุษย์มีกลไกหลอกล่อกันอยู่หลายวิธี “ผมมีค่าตอบแทน” นี่คือหนึ่งในวิธีนั้น
นิรันดร์พอจะนึกออกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่ เขาไม่เคยเจอคนประหลาดเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ที่เขาจะยอมรับข้อตกลงนั้น เขาควรปฏิเสธ ใช่ แค่ตอบว่าไม่แล้วพาส่งตำรวจ
“เท่าไหร่”
นั่นจะเกิดขึ้นในกรณีที่เขาไม่เห็นแก่เงิน นิรันดร์มีจุดอ่อนอยู่ไม่กี่ข้อ ซึ่งชายปริศนาคนนี้ก็เล่นงานจุดอ่อนของเขาได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
ร่างสูงเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ หยิบถุงกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง ด้านในมีปึกธนบัตรอยู่หลายปึก “ทั้งหมดนี้”
นิรันดร์ตะลึงงัน จำนวนเงินมากเกินกว่าเขาจะคะเนได้ด้วยสายตา แต่ที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าคือการที่หมอนี่ตะลอนไปไหนมาไหนพร้อมเงินสดเป็นปึกๆ แล้วยังเอาออกมาให้เขาดูโจ่งแจ้งอย่างเช่นตอนนี้ต่างหาก
“ใส่ซองไว้เหมือนเดิมเถอะ” เขากดเสียงบอก หันไปมองประตูร้านเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาเห็นเข้า ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็หวาดระแวงไปด้วยอีกคน
ชายหนุ่มเอาเงินเก็บเข้าที่เดิมอย่างว่าง่าย ถึงตอนนั้นนิรันดร์ที่ลังเลอยู่แล้วก็เริ่มเอนเอียงไปตรงกันข้ามกับความตั้งใจแรก
“คุณไม่ได้ขโมยมาแน่นะ ถ้าช่วยคุณผมจะซวยไปด้วยหรือเปล่า”
“เงินนี้ของผม” รีบตอบตามความจริง ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจข้อเสนอ “หาที่ไปได้เมื่อไหร่ผมจะไปทันที”
“เมื่อไหร่ที่ว่าคือนานแค่ไหน”
เงียบไปนาน นานมาก มากๆ “จนกว่าคุณจะไล่ผม”
เป็นคำตอบที่ไม่น่าพอใจ นิรันดร์ขมวดคิ้วมุ่น “นึกไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้คุณจะโดนเอาเปรียบมามากแค่ไหน”
“คุณจะช่วยผมไหม”
นิรันดร์หรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้า เสียงคัดค้านมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่เชื่อเถอะว่าเขารู้ดีแก่ใจว่าสุดท้ายตัวเองจะเลือกทางไหน
“รันจะช่วยผมไหม...” ถามย้ำอีกครั้ง ด้วยเสียงที่อ่อนแทบจะเว้าวอน
“ผมต้องทำอะไรบ้าง” นิรันดร์เลือกทางนี้
รอยยิ้มคือสิ่งที่ได้รับ ดวงตามืดหม่นเป็นประกายระยับ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาไว้วางใจได้หรอก นิรันดร์ไม่รู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือเปล่า แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากขนาดนั้น
ข้อตกลงที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น ดึกสงัด สถานการณ์ประหลาดคืบเคลื่อนเข้ามาในชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว แต่การเจรจาก็จำต้องหยุดลงเมื่อประตูร้านถูกเปิด ไพลินเดินเข้ามาพร้อมรอยสักช่อดอกกุหลาบที่คอ เข้ากันดีกับผมซอยสั้นของเธอ พุ่มกุหลาบสีแดงสดเดินปราดเข้าไปหานิรันดร์ด้วยความตื่นเต้น
“เป็นไง”
นิรันดร์เท้าคางมองอย่างตั้งใจ รอยสักขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านจากไหปลาร้า เลื้อยจรดออกดอกบานสะพรั่งอยู่ที่ซอกคอฝั่งขวาทั้งฝั่ง สีแดงสดจากหมึกและรอยเลือดผสานกันงดงาม
“ตัดผมเพราะจะสักเพิ่มเหรอ”
“สักเพราะตัดผมต่างหาก” ไพลินหัวเราะชอบใจ เธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ คาดเดาไม่ได้ ไม่มีแผนการตายตัว “แต่เจ็บชะมัด ไม่นึกว่าที่คอจะเจ็บขนาดนี้”
“แล้วเพลงชอบไหม”
“ชอบสิ”
“ชอบก็ดีแล้ว”
“ถ้าพ่อคิดอย่างนั้นคงจะดี” หญิงสาวเสียงอ่อน ก่อนจะหันไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งมองพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
“เพื่อนน่ะ” นิรันดร์พูดขึ้น แนะนำได้เพียงนั้นเพราะเขายังไม่ทันได้ถามอะไรหมอนั่นเพิ่มเติมเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้เลย
“พี่มีเพื่อนด้วยเหรอ” หญิงสาวทำท่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งไม่พูดไม่จาอยู่ข้าง ๆ “หวัดดี”
อีกฝ่ายค้อมหัวรับเล็กน้อย ไพลินไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าแขนของเพื่อนร่วมงานที่มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติไป
“เป็นไรอะ ไปสักมาเหมือนกันเหรอ” แต่ไม่วายพูดหยอกล้อแม้จะเป็นห่วงอยู่ก็ตาม
“รถล้ม” นิรันดร์ตอบเสียงเรียบ ไม่เหลือแรงจะคุยเล่นด้วยอีกต่อไปแล้ว “วันนี้ขอกลับก่อนนะ”
“หือ?” ไพลินเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของคนพูดจึงพยักหน้ารับ ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากไปกว่านั้น เธอเดินไปทักทายปลาทองเป็นอย่างแรกเพื่อตอกหมุดเริ่มงาน
นิรันดร์เดินเข้าหลังร้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาขอกลับก่อนเวลา โดยไม่ต้องสงสัยหรอกว่าเพราะอะไร เขาต้องจัดการปัญหาของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน
“ตามมา” อันดับแรกคือต้องพาตัวปัญหาออกไป “ขึ้นสิ” อันดับต่อมาคือบอกให้นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเขา จะว่าไปนี่ก็ครั้งที่สองแล้วที่รถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ กลายเป็นรถรับส่งผู้โดยสารเพียงหนึ่งเดียว
นิรันดร์ขับออกไปจากซอยมืด ผ่านเสาไฟที่วันนี้ก็ยังไม่มีใครมาซ่อมไปจนถึงถนนใหญ่ ดูกระจกมองหลังเป็นระยะว่าชายหนุ่มอีกคนยังอยู่ดีหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าหมอนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเพราะยังทรงตัวไม่ถนัด ทั้งยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว
“ผมไม่พาคุณไปทิ้งโรงพยาบาลหรอก” เขาตะโกนบอก อีกฝ่ายมองตอบผ่านกระจก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นิรันดร์จอดรถหน้าร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้าประจำ เป็นร้านรถเข็นเล็กๆ ที่มีโต๊ะวางอยู่ริมถนนเพียงสี่โต๊ะ เขามักจะมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ เพราะร้านอยู่ระหว่างทางกลับห้องพอดี
ตอนที่เขาไปถึงร้านจวนจะปิดแล้ว ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีกเลยนอกจากเจ้าของร้านที่เริ่มเก็บข้าวของ แต่เพราะเห็นว่าเป็นลูกค้าประจำจึงไม่อาจปฏิเสธได้
“เกือบจะมาไม่ทันแล้วสิ”
“จะปิดแล้วเหรอครับ” นิรันดร์ตะโกนถามทั้งที่ยังไม่ดับเครื่องดีด้วยซ้ำ
“ใช่จ้า ของหมดแล้ว เหลือแต่เกี๊ยวหมูสับเอาไหม”
“เอาครับ” ลูกค้าหนุ่มตอบรับในทันที ก่อนจะหันไปหาคนซ้อนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม “ลงดิ”
ราวคำสั่ง เพราะทันทีที่นิรันดร์พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวขาลงจากรถ ก่อนจะยืนรอเขาถอดหมวกนิรภัยอยู่อย่างนั้น นิรันดร์คิดว่าเขาอาจจะต้องหาหมวกเพิ่มอีกใบ ไม่ได้เป็นห่วงว่าหมอนี่จะหัวร้างข้างแตกหรอก เขาแค่กลัวจะโดนตำรวจจับต่างหาก
“ไม่กินเหรอ” ส่งเสียงถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตามเขาไปตักน้ำแข็งที่ต้องบริการตัวเอง แล้วเดินตามมานั่งที่โต๊ะโดยไม่พูดไม่จา สีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว ให้ตาย นิรันดร์เกลียดไอ้การที่มองเหมือนเขาถามคำถามแปลกๆ ที่มนุษย์ไม่ถามกัน เขารินน้ำใส่แก้วทั้งสองใบ ตะโกนบอกเจ้าของร้านอีกครั้ง “เอาเหมือนของผมอีกชามหนึ่งครับเจ๊”
ได้ยินเสียงเจ้าของร้านขานรับ นิรันดร์ก็กลับมาสนใจคนตรงหน้าแทน ริมถนนตอนตีสี่ยังคงคึกคัก ตลาดฝั่งตรงข้ามก็เริ่มตั้งแผงกันแล้ว วันของหลายๆ คนเริ่มต้นขึ้น ขณะที่วันของนิรันดร์กำลังจะสิ้นสุดลง
“ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”
ไม่น่าเชื่อว่าเขาเพิ่งถามสิ่งที่ควรจะถามเอาตอนนี้
“ผม...”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่อ้ำอึ้ง แต่สายตาคู่ที่มองตอบเขาอยู่นั้นว่างเปล่า
“...ผมไม่รู้”
แต่พอเป็นคนคนนี้ ความประหลาดใจของนิรันดร์ก็เกินขีดจำกัดจนต้องทำเป็นเพิกเฉยเพื่อกลบเกลื่อน เขายกแก้วน้ำขึ้นมาดูดไปอึกใหญ่
“คุณความจำเสื่อมเหรอ”
“เปล่า”
“ไม่อยากบอกชื่อจริงสินะ” เขาได้ข้อสรุปพอดีกับที่เกี๊ยวน้ำสองชามมาเสิร์ฟ ดูจากการที่เอาแต่นั่งจ้องอาหารจนไอร้อนปะทะใบหน้าแล้วนิรันดร์พอจะเดาออกว่าคงไม่เคยกินมาก่อน ตอนนี้เขาลงความเห็นไปที่หมอนี่เป็นลูกเศรษฐีหนีออกจากบ้านมาเจอโลกกว้างอะไรทำนองนั้น
นิรันดร์หยิบช้อนกับตะเกียบใส่ในชามทั้งสองใบ ตอนนี้เขากลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่รู้จักโตหรอกเหรอเนี่ย แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาทำเพื่อเงิน
“แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”
ไม่มีคำตอบจากคนที่มองเขาตักเครื่องปรุงใส่ชามไม่ละสายตา
นิรันดร์ตาขวาง “จะให้ปรุงให้ด้วยเหรอ”
คนตรงหน้ากะพริบตาปริบๆ นิรันดร์อยากจะด่ากราดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถึงด่าไปก็คงทำหน้าหงอยใส่กันอีก เขาเลยสลับชามที่ปรุงแล้วไปให้คนตรงข้าม แล้วก็ลงมือปรุงอีกชามหนึ่งให้ตัวเองแทน
“คลุกด้วยนะ” อาจจะฟังเหมือนประชด แต่เชื่อเถอะว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าถ้าไม่บอกคงจะกินไปทั้งอย่างนั้นจริง ๆ “เป่าด้วย มันร้อน”
หมอนี่กินเก่ง คนที่พามาพอใจในการแบ่งปันอาหารจานโปรดกับใครสักคน เสียงข่าวพยากรณ์อากาศจากวิทยุที่เจ้าของร้านเปิดทิ้งไว้ดังแทรกเข้ามา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น
“ฝนจะตกหนักสินะ” นิรันดร์พึมพำกับตัวเอง แบ่งครึ่งเกี๊ยวหมูสับตัวโตค่อยๆ กินอย่างเชื่องช้า ส่วนอีกคนตักกินทั้งตัวในทีเดียว อยู่ๆ นิรันดร์ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “นึกออกแล้ว”
คนที่กำลังเคี้ยวหนุบหนับเลิกคิ้ว จ้องมองสีหน้าที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจากคนคนนี้ ไม่เชิงดีใจ ก้ำกึ่งระหว่างตื่นเต้นกับขำขัน
“เกี๊ยว” รอยยิ้มจางๆ ของคนพูดทำให้คนฟังฉงน
“ครับ?”
“ชื่อคุณไง ผมเรียกคุณว่าเกี๊ยวนะ”
คนตรงหน้าเอียงคอครุ่นคิด เคี้ยวหยับๆ ก่อนจะเอียงคอใหม่ นิรันดร์เห็นว่าไม่น่าจะได้คำตอบจึงถือวิสาสะตัดสินใจด้วยตัวเอง
“ตกลงตามนั้น”
“เกี๊ยว...” ทวนคำ
“น่ารักดีนะ ไม่เหมือนใคร” เขาพออกพอใจกับความคิดของตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับขมวดคิ้วมุ่น นิรันดร์ชักจะรำคาญใจ “ไม่ชอบก็คิดชื่อเองแล้วกัน”
ได้ยินดังนั้นคิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายลง สีหน้างุนงงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างเอาอกเอาใจเต็มที่ ไม่ชอบเลยตอนคนคนนี้อารมณ์เสีย
“ชอบครับ”
นั่นจึงทำให้นิรันดร์ยิ้มออก แม้เพียงเล็กน้อยเกินกว่าจะสังเกตเห็นจากริมฝีปากเรียบตรงนั้นได้ แต่เกี๊ยวรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายหายหงุดหงิดแล้ว
เขาถึงว่า อย่าเที่ยวไปตั้งชื่อให้ใครเพราะมันจะถือว่าคนคนนั้นเป็นเจ้าของ
จากร้านบะหมี่ขับเข้าไปอีกไม่ไกลก็ถึงห้องเช่าของนิรันดร์ รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หน้าห้องแถวสองชั้นเก่าๆ ที่รายล้อมไปด้วยตึกสูง แม้จะทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลาแต่เจ้าของก็ดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
นิรันดร์เดินนำผู้มาใหม่เข้าไปด้านใน ชั้นล่างมีห้องรับรองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่เหม็นหึ่ง เจ้าของห้องแถวที่เป็นชายวัยปลายสี่สิบในเสื้อกล้ามนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงนั้น ชายคนนี้นี่เองที่เป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันเก่าของเขา
“อรุณสวัสดิ์” เสียงทักทายดังมาพร้อมกับการพ่นควันบุหรี่ เป็นประโยคเดิมๆ ดังเช่นทุกวันที่พบเจอกันเวลานี้ เพียงแต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป “แล้วนั่นใคร” เท่าที่จำได้ ผู้เช่าคนนี้ไม่เคยพาคนอื่นกลับมาด้วยเลยสักครั้ง
“เพื่อนผมเองพี่ดาบ จะมาขออยู่ด้วยกันสักเดือนสองเดือนได้ใช่ไหม”
ชายร่างเล็กผมฟูฟ่องพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับ สีหน้าของคนนอนเต็มอิ่มเพื่อตื่นเช้าต้อนรับวันใหม่แช่มชื่นเสมอ ดาบใจดี แต่บรรยากาศรอบกายกลับดูเงียบเหงาชอบกล “ได้สิ ถ้าเป็นเพื่อนรันก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอบคุณนะพี่”
“เห็นว่าวันนี้พายุจะเข้า ก่อนออกจากห้องอย่าลืมปิดระเบียงด้วยนะ”
ดาบเป็นเหมือนนักข่าวประจำตัวของนิรันดร์ บางทีการตื่นเช้ามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์แกล้มบุหรี่ทุกวันอาจจะทำให้หายเหงาได้นิดหน่อย
เกี๊ยวหันมองรอบๆ โถงเล็ก โทรศัพท์กลางวางอยู่ข้างบาร์ชงกาแฟ ชุดโต๊ะไม้รับรองแขกหนึ่งชุด ตู้กดน้ำ กองหนังสือพิมพ์ สถานที่เก่าแก่ที่ไม่ได้เกิดจากการตกแต่ง แต่เป็นการเคลื่อนผ่านของคืนวัน เขายืนฟังนิรันดร์คุยกับเจ้าของห้องแถวจนบอกลากัน ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายขึ้นบันไดไป
“เห็นห้องผมคุณอาจจะเปลี่ยนใจ” ไม่เชิงขู่ แต่ก็ไม่ได้ล้อเล่น นิรันดร์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบลูกกุญแจออกมาไขประตู ระบบความปลอดภัยในห้องเขามีเพียงเท่านั้น
นิรันดร์เดินพาผู้มาใหม่เข้าไปในห้อง เปิดไฟจนสว่างจ้า ห้องของเขาที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูคับแคบเข้าไปอีกเมื่อมีชายร่างสูงใหญ่อยู่ด้วย เกี๊ยวเอาแต่ยืนมองไปรอบๆ อยู่อย่างนั้น จากประตูห้องเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงที่นอนแล้ว ข้างๆ คือห้องน้ำ ด้านหลังเป็นระเบียงเล็กแคบที่มีพื้นที่พอให้ตากผ้าได้ไม่กี่ตัว ส่วนภายในห้องมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะพลาสติกตั้งพื้น พัดลม ที่นอนและชุดเครื่องนอน กับข้าวของเล็กๆ น้อยๆ อีกจำนวนหนึ่ง
“ถ้าจะไปตอนนี้ยังทันนะ” นิรันดร์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เปิดพัดลมไล่กลิ่นอับ ยืนเกาหัวแกรกๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่ออกไปเท่านั้น แต่ยังไม่คุยกับเขาอีก หมอนั่นเดินไปนั่งลงข้างที่นอนที่มีพื้นที่อยู่น้อยนิด ก่อนจะหยิบซองกระดาษออกมาจากกระเป๋า ใช่ ซองที่มีเงินอยู่เป็นล้านนั่นแหละ นิรันดร์หน้ายุ่ง “ทำอะไร”
“ผมต้องจ่ายค่าห้อง”
คำตอบนั้นทำเอาเจ้าของห้องได้แต่ถอนหายใจ เขาเดินไปนั่งตรงหน้าคนที่กำลังหยิบเงินออกมาวางบนพื้นที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีด้วยซ้ำ ดูเหมือนในซองจะมีเอกสารอื่นที่สำคัญเพราะเกี๊ยวไม่ยอมหยิบมันออกมาและหลบเลี่ยงไม่ให้เขาเห็น
“ไหนบอกจะจ้างผมทั้งหมดนั่น” นิรันดร์แกล้งถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนับเงิน นึกว่าจะเล่นลิ้น แต่ที่ไหนได้กลับตอบอย่างจริงจัง
“ผมต้องนับก่อนว่ามีเงินครบหรือเปล่า”
คนฟังพยักหน้ารับ นั่งเท้าคางมองอยู่พักหนึ่งก็เริ่มเบื่อจึงชวนคุย “ถ้าคุณให้ผมทั้งหมดนี่คุณจะเอาอะไรใช้”
มือที่กำลังถือปึกธนบัตรอยู่ชะงัก ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ “จริงด้วย”
นิรันดร์อยากร้องไห้ “เก็บไว้ที่คุณก่อนเถอะ จะไปเมื่อไหร่ค่อยแบ่งมาให้ผม” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจอะไรแล้ว
ราตรีประหลาดผ่านพ้นไปเช่นนั้น ความยุ่งเหยิงทั้งหมดสิ้นสุดลงพร้อมกับแสงแรกของวัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in