When was the last time you did something for the first time?
ครั้งล่าสุดที่คุณได้ลองทำอะไรใหม่ๆ คือเมื่อไหร่
จริงอยู่ว่าคำถามนี้ใช้ถามใครก็ได้ แต่ผมคิดว่ามันมีแรงสั่นสะเทือนมากขึ้นกับคนที่อายุประมาณยี่สิบกลางๆ ขึ้นไป
ด้วยวัยที่หลายๆ ด้านในชีวิตดู ‘เข้ารูปเข้ารอย’ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเริ่มฉายแววโดดเด่น ทำให้เราอาจมีรูปแบบการทำงานที่เป็นระบบ ชีวิตประจำวันที่เป็นแบบแผนจนบางทีก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ มีความตายตัวของมัน การตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเป็นครั้งคราวเลยให้โอกาสผมได้สำรวจตัวเองว่าห่างไกลจากการทำอะไรใหม่ๆ มานานแค่ไหน
การทำอะไรใหม่ๆ อาจฟังดูเหมือนเป็นคำสวยๆ ที่ใช้ในการโฆษณา แต่ผมคิดว่าการที่เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเป็นอะไรที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเรา ไม่เพียงแต่การเติบโตส่วนบุคคล หาสำคัญต่อการเติบโตในระดับสังคมของเราด้วยเพราะถ้าไม่มีคนคิด พูด หรือทำอะไรใหม่ๆ สังคมของเราคงขาดการพัฒนาและหยุดอยู่กับที่
แต่สิ่งใหม่ๆ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และกรอบอ้างอิงของแต่ละบุคคล
สิ่งที่ใหม่สำหรับคนหนึ่งอาจจะไม่ได้ใหม่สำหรับอีกคน
ผมเชื่อว่าการทำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้ผุดขึ้นมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ มันเกิดจากบริบทแวดล้อม โลกทางกายภาพ โลกทางความคิด รวมถึงการพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกไป
การพบเจอสถานที่แปลกใหม่ส่งผลต่อมุมมองของเราได้โดยตรง สิ่งที่ไม่คุ้นเคยจะปรากฏชัดในการรับรู้ของเรา และเมื่อเรากลับมายังจุดตั้งต้น ก็อาจเห็นสิ่งที่เราเคยคุ้นชินในมุมที่ต่างไปจากเดิม
ผมคิดว่านี่คือความหมายของสำนวนไทย
‘เปิดหูเปิดตา’
สิ่งหนึ่งที่ส่งผลกับมุมมองและการรับรู้ในปัจจุบันของผมคือการศึกษาในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
ผมเชื่อว่าแต่ละสาขาวิชาทำให้เราเห็นโลกไปคนละแบบโลกของคนที่เรียนสถาปัตยกรรมอย่างผม คือโลกทางกายภาพที่รับรู้ผ่านทางสายตาเป็นหลัก และความที่สถาปัตยกรรมไม่ได้ตัดขาดระหว่างตัวสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างกับธรรมชาติที่อยู่แวดล้อม การรับรู้ของผู้เรียนสถาปัตยกรรมจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่อาคาร แต่รวมไปถึง ‘ความเป็นจริง’ ทางกายภาพ เช่น เรื่องของระยะ พื้นที่ ปริมาตร ที่ว่าง วัสดุ หรือปฏิกิริยาต่อแสง และที่สำคัญคือการรับรู้ว่ามันมีผลกับเรายังไง เช่น ห้องพักบางที่อาจทำให้เราอึดอัด แต่บางที่กลับทำให้เราสบายใจ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมในธรรมชาติอย่างถ้ำที่เราอาจสัมผัสได้ถึงความโอ่โถง และทางเดินในป่าที่อาจทำให้เรารู้สึกร่มรื่นหรือวังเวง
ก่อนหน้านี้ ผมทำงานในสำนักงานสถาปนิกที่มุ่งเน้นด้านการออกแบบบ้านเป็นเวลาประมาณ
หนึ่งปี จากนั้นลาออกมาตั้งต้นออกแบบนิทรรศการศิลปะ และมีโอกาสไป sit in ในฐานะของผู้ช่วยสอนวิชาศิลปะร่วมสมัย จนค้นพบความสนุกและอยากนำมุมมองที่สะสมมาไปประกอบเข้ากับรูปแบบการสื่อสารที่ไม่จำกัดของศิลปะ ผมจึงลองทำงานศิลปะในแบบของตัวเองขึ้นมา แต่สิ่งที่ผมคิดจะทำยังต้องผ่านการทดลองอีกมาก ทั้งการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาวิธีสร้างผลงานที่ต้องการ และการทดลองทางความคิดที่อยู่ในเนื้อหาของผลงานศิลปะ
การทดลองทั้งสองแบบนี้อยู่บนรากฐานของการสำรวจที่อาจนำไปสู่การค้นพบหรือการสร้างสิ่งใหม่ ซึ่งสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่ได้ทำตามสูตรสำเร็จนั้น มีความเป็นผลงานเชิงทดลอง (experimental)อยู่เสมอ และผมเชื่อว่าคำจำกัดความของศิลปะนั้นกว้างขวางพอที่จะโอบรับสิ่งที่ยังไม่มีนิยามที่ผมต้องการจะสร้างไว้ได้
เทียน คือผู้ร่วมทางในทุกๆ เส้นทางของผม เธอจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เหมือนกัน แต่เป็นสาขาเกี่ยวกับการออกแบบการสื่อสาร ซึ่งมีความกว้างขวางและเฉพาะเจาะจงไปอีกแบบ สิ่งที่เทียนเรียน ครอบคลุมสื่อตั้งแต่สองมิติ (สื่อสิ่ง-พิมพ์ ออกแบบกราฟิก ภาพถ่าย) สามมิติ (ประติมากรรม การจัดดิสเพลย์) สี่มิติที่มีเวลามาเกี่ยวข้อง (ภาพยนตร์) ลูกผสมระหว่างสื่อหลายๆ ชนิด (งานติดตั้งผสมภาพยนตร์ การฉายกราฟิกบนประติมากรรม) ไปจนถึงอะไรก็ตามที่มีการสื่อสาร สามารถนับเป็นสื่อได้หมด เด็กที่เรียนสาขานี้จึงผลิตผลงานได้หลากหลายและดูจะไม่มีข้อจำกัด อย่างเทียนเองก็ทำงานสำหรับจบการศึกษาเป็นงานศิลปะในลักษณะของประติมากรรมและศิลปะจัดวางเกี่ยวกับความทรงจำ
สายตาของเทียนพร้อมจะเห็นสิ่งต่างๆ ในฐานะของภาพส่วนหนึ่งก็เพราะการถ่ายภาพเป็นสิ่งที่เธอคลุกคลีมาตลอดชีวิตการได้รับสืบทอดกล้องฟิล์มจากพ่อ ตลอดจนถึงการบ่มเพาะมุมมองด้วยการศึกษาและการทำงาน เทียนจึงนำการถ่ายภาพเข้ามาหลอมรวมกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ภาพท้องฟ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in