เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LONELY LAND ดินแดนเดียวดายBUNBOOKISH
Chapter 1: คนไม่มีเหตุผล คงไม่มีเหตุผล

  • เหตุผลที่สัตว์เดินทางนั้นแตกต่างจากมนุษย์

    เมื่อลองค้นข้อมูล ผมสนใจการอพยพย้ายถิ่นฐานของสัตว์อย่างนกนางนวลแกลบอาร์กติก

    มันเป็นสัตว์ที่มีการอพยพอันน่าทึ่ง ถิ่นฐานของมันอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือ เมื่อถึงฤดูอพยพมันจะพากันบินไปยังอีกขั้วโลกหนึ่ง เดินทางหลักหมื่นกิโลเมตรด้วยแรงปีกล้วนๆ เพื่อหนีความแร้นแค้นที่เกิดตามฤดูกาล ไม่มีสัตว์ชนิดใดอีกแล้วที่อพยพด้วยการเดินทางอย่างยาวนานและยาวไกลขนาดนี้

    นกส่วนใหญ่จะอพยพย้ายถิ่นในฤดูหนาวที่แหล่งน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง เพื่อไปสู่ดินแดนที่อากาศอบอุ่นกว่า และมีอาหารเพียงพอให้พวกมันมีชีวิตอยู่รอด ก่อนที่จะบินกลับถิ่นเดิมเพื่อจับคู่วางไข่ เพื่อให้กำเนิดชีวิตใหม่

    ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในการอพยพแต่ละครั้ง จะมีนกจำนวนกว่าครึ่งที่ไม่ได้กลับไปยังถิ่นเดิม ด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งจากการโดนล่า เจอโรคระบาด หรือถูกกระแสลมพัดจนหลงฝูงหลงทาง

    รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสรอดนั้นมีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่นกเหล่านั้นก็ออกเดินทาง อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่รอความตายร้อยเปอร์เซ็นต์

    แล้วมนุษย์เราเดินทางด้วยเหตุผลใด ในเมื่อแม้เราอยู่กับที่ ก็ยังหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ

    เมื่อได้นั่งลงครุ่นคิด ผมพบว่าเหตุผลที่สัตว์เดินทางนั้นแตกต่างจากมนุษย์ และเหตุผลที่มนุษย์แต่ละคน
    ออกเดินทางก็แตกต่างกัน
  • สำหรับผม การเดินทางได้สร้างสองสิ่งสำคัญในชีวิตนั่นคือประสบการณ์และความทรงจำ ซึ่งสิ่งแรกทำให้เราแข็งแกร่ง สิ่งหลังทำให้เราอ่อนโยน

    แม้จะรู้ว่าการเดินทางมีข้อดีมากมาย แต่การเดินทางของมนุษย์ก็ต่างจากนก แน่นอนว่าคนเราไม่สามารถบินข้ามทวีปด้วยตัวเองได้ จึงต้องหาเงินมาซื้อตั๋วเครื่องบินและใช้จ่ายระหว่างทาง ยิ่งเดินทางไกล ยิ่งอยู่นานวัน ก็ยิ่งใช้เงินมาก ในแง่หนึ่งการเดินทางจึงเหมือนการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนบางอย่างภายหลัง หากแต่การลงทุนกับประสบการณ์และความทรงจำนั้นไม่เหมือนการลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะคืนผลตอบแทนให้เราวันไหน

    แต่ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่เคยหยิบเอาประสบการณ์บางอย่างระหว่างทางมาต่อยอดเป็นงานสร้างสรรค์เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต หรือเคยนั่งคิดถึงวันที่เดินหลงทางไปเจอสถานที่น่าประทับใจพร้อมกับคนรัก คงรู้สึกไม่ต่างกันว่าการเดินทางแต่ละครั้งได้ตอบแทนเราอย่างคุ้มค่าชนิดทบต้นทบดอก

    ค่ำคืนหนึ่งระหว่างนอนอยู่บนเตียงอันคุ้นเคย ปฏิทินช่วงปลายเดือนธันวาคมคาบเกี่ยวต้นเดือนมกราคมก็ผุดขึ้นมาในหัว ชั่วแวบหนึ่งผมรู้สึกอยากออกเดินทางเพราะไม่อยากสูญวันหยุดที่มีน้อยอยู่แล้วไปอย่างว่างเปล่า ก่อนที่วันรุ่งขึ้นผมจะตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงทันที
  • “ไปทำไมตั้งสิบวัน”

    ผมได้ยินคำถามนี้นับครั้งไม่ถ้วนก่อนออกเดินทาง เมื่อบอกใครต่อใครว่ากำลังจะไปฮ่องกงสิบวัน ไม่รู้ว่าถามเป็นมารยาท อยากรู้คำตอบจริงจัง หรือคิดไม่ออกจริงๆ ว่าสถานที่แห่งนั้นมีอะไรดึงดูดเพียงพอที่จะอยู่นานขนาดนั้น

    “ตอนนั้นไปฮ่องกงสองวัน เดินห้างฯ อย่างเดียว ไม่รู้จะไปไหน” พี่ที่เคารพเคยตัดพ้อกับผมหลังจากกลับมา

    ผมไม่แปลกใจที่ใครต่อใครจะไม่เข้าใจว่า ไปทำไมตั้งสิบวัน เพราะเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไปเยือนฮ่องกงคือไปช้อปปิ้ง หรือหากเป็นนักท่องเที่ยวรุ่นอาม่าก็เดินทางไปเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งความจริงสองสามวันก็น่าจะเพียงพอสำหรับวันจ่ายและวันไหว้แล้ว

    เมื่อได้ยินคำถามที่ว่าก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะส่วนตัวไม่มีคำตอบของคำถามนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่ได้คิด แผนไม่มี นึกรายชื่อสถานที่ปลายทางไม่ออก และเอาเข้าจริงแม้ฮ่องกงจะเป็นประเทศที่ผมไปเยือนบ่อยที่สุดในชีวิตแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในประเทศนี้กว่าใครๆ

    ที่ไปบ่อยไม่ใช่เพราะหลงใหลหรือหลงรักในเสน่ห์ของเมืองที่รายล้อมด้วยน้ำแห่งนี้ แต่เป็นเพราะผมมีญาติอยู่ที่นั่น ไล่ตั้งแต่ป้าหรือที่ผมเรียกว่าอี๊สองคน ทั้งคู่แต่งงานกับชาวฮ่องกง รวมถึงลูกสาวลูกชายของอี๊รวมแล้วหลายชีวิต

    การไปฮ่องกงสำหรับผม ในแง่หนึ่งจึงเหมือนการไปเยี่ยมเยือนญาติๆ ที่อยู่ห่างไกล และเช่นเดียวกัน แทบทุกปี หากไม่มีอะไรผิดพลาด ญาติๆ ก็จะบินมากรุงเทพฯ อย่างน้อยปีละครั้ง ไม่ช่วงสงกรานต์ก็ช่วงเชงเม้งซึ่งเป็นวันรวมญาติของพวกเรา
  • บุคคลในความทรงจำระหว่างการเดินทาง จึงไม่ใช่เพื่อนร่วมทริปหรือมิตรร่วมทัวร์ หากแต่เป็นญาติๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น และเพราะเหตุนี้ ผมจึงไปฮ่องกงโดยไม่ได้วางแผนว่าจะต้องไปทำอะไรที่ไหนบ้าง

    เคยไหม ที่ไปหาใครแล้วไม่มีคำถามว่า “ทำไมเราต้องไปหา”

    แล้วเคยไหม ที่ไปที่ไหนแล้วไม่มีคำถามว่า “ทำไมเราต้องไป”

    สำหรับผม ฮ่องกงเป็นเช่นนั้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in