“อีดาว! ตื่นได้แล้ว! มึงจะไปไหมโรงเรียนน่ะ”
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบสะดุ้งตื่นขึ้นจากน้ำเสียงที่คุ้นเคยของผู้เป็นแม่ที่ตะโกนเข้ามาจากข้างนอก บนฟูกแฟบๆ ปรากฎคาบสีเหลืองแลมีฝุ่นตลบ ดาวเหนือ ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างสลึมสลือจนเต็มความสูง มือเล็กยกขึ้นมาขยี้ตาทั้งสองข้างพลางพาตัวเองเดินบนพื้นไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ออกไปจากห้อง
“แม่ แม่ ดาวไม่มีเสื้อนักเรียน”
เด็กน้อยกับกางเกงในตัวหนึ่งค่อยๆ เดินมาหาผู้เป็นแม่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนแคร่ไม้ไผ่อันหนึ่งในบ้านย่านสลัมหลังแคบ กลิ่นเหล้าหึ่งออกมาจากบุพการีที่นอนไม่สนใจเสียงเรียกของเธอ เดือนเพ็ญมักจะกลับบ้านเวลาเช้าตรู่ เมาปลิ้นทุกครั้งที่บอกกับดาวเหนือว่าจะไปเล่นไพ่ ‘ฉันต้องทำมาหากินนะโว้ย ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก’ ดาวเหนือมักจะได้ยินแม่พูดอะไรทำนองนี้ยามที่ใครครหาว่าหล่อนทิ้งลูกทิ้งเต้า
“แม่ แม่..” ดาวเหนือเรียกแม่อีกครั้ง แขนข้างหนึ่งพลางยกขึ้นเขย่าตัว
“อะไรวะ คนจะหลับจะนอน!” เดือนเพ็ญตวาดอย่างหงุดหงิด
“ดาวไม่มีเสื้อนักเรียน..”
“เอ็งก็ใส่ตัวเก่าไปก่อนซีวะ! ไม่มีใครในโรงเรียนวัดเขาสนใจหรอก”
ดาวเหนือทำตามที่แม่บอกอย่างไม่มีทางเลือก แต่งตัวจนเสร็จ กินข้าวใต้ฝาชีกับไข่เจียวของเมื่อคืน ก่อนจะออกจากบ้าน เธอหันไปมองแม่อีกครั้ง
เด็กวัยเจ็ดขวบยังไม่เข้าใจว่าจะอธิบายความรู้สึกนั้นว่าอะไร หากระหว่างที่เท้าเล็กในรองเท้านักเรียนกับถุงเท้าเก่าๆ กำลังก้าวเดินลัดเลาะตามตรอกอย่างคุ้นเคย ผ่านบ้านที่คลุมหลังคาด้วยสังกะสีเก่าๆ คล้ายกันกับบ้านของเธอเป็นแถวยาว ไปสู่วัดประจำชุมชน น้ำใสๆ ก็ไหลอาบแก้มเล็ก
เขาว่ากันว่า เด็กเด็กนั้นบริสุทธิ์ดั่งกระดาษขาว หากตั้งแต่จำความได้ กระดาษของดาวเหนือเริ่มจากสีควัน ฟุ้งฝุ่นเหมือนกับฟูกที่นอน มันไม่เคยแม้แต่จะมีคำว่ายากหรือง่ายสำหรับเธอและเด็กคนอื่นๆ ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตไม่ได้ให้ตัวเลือกมากมายขนาดนั้น ทั้งหมดที่มีและจะสามารถนึกถึง ปิดป้ายใส่ชื่อให้กับความเป็นไปทั้งหมดนี้ได้ คือ ความเป็นไป ปล่อยไปตามโชคชะตาในแต่ละวัน แต่ละวันที่เริ่มจากการเตะฝุ่นบนที่นอน กินอาหารที่พอจะมีอยู่บนโต๊ะ ไปโรงเรียนแลดาวเหนือดูเหมือนจะทำได้ดีที่สุดในห้องที่มีนักเรียนเกือบยี่สิบคน จากนั้นก็กลับบ้าน วันไหนที่ฟ้าสดใสหน่อย ดาวเหนือจะเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ในสลัม หรือบางที มันอาจจะเป็นเพราะการเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ในสลัมที่ทำให้ฟ้าของดาวเหนือสดใส หากวันใดที่ฟ้ามืดหม่น สายฟ้าฟาดลงกลางใจเล็กๆ ของเด็กหญิงคนนี้ คือ วันที่เห็นแม่พาผู้ชายไม่คุ้นหน้าเข้าบ้าน
ตอนยังเป็นเด็ก ไม่รู้จะอธิบายมันว่าอะไร แต่ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนั้น จนกระทั่งดาวเหนืออายุครบสิบห้า ช่วงกำลังจะเรียนจบมัธยมต้น เป็นช่วงที่ดาวเหนือทะเลาะกับผู้เป็นมารดารุนแรงหลายครั้ง เพราะอาการติดเหล้าที่รังแต่จะทำให้สุขภาพที่ระหองระแหงของหล่อนแย่ลงเรื่อยๆ
“ถ้าจะไม่รัก โยนมันทิ้งโยนมันขว้าว รังแต่จะคิดว่าจะตายตอนไหน ก็ไม่ต้องสนใจ แล้วแม่ทำแบบนี้กับหนูทำไม ให้หนูเกิดมาทำไม!” ดาวเหนือตะโกนใส่ผู้เป็นมารดา เสียงสั่นเครือแม้จะพยายามสะกดมันไว้เพียงใด
“แกคิดว่าฉันตั้งใจทำให้เอ็งเกิดมาเรอะ เฮอะ!” ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้อารมณ์เดือนเพ็ญพุ่งขึ้นสูง แม้แต่จะยืนให้ตรงยังยากลำบาก หากเมื่อได้ยินลูกสาวต่อว่า จากเหตุผลที่จะไม่ยอมให้เธอดื่ม เดือนเพ็ญก็โกรธจนเลือกขึ้นหน้า “—ถ้าเอ็งไม่พอใจ เกลียดข้านัก ก็ปล่อยให้ข้าตายๆ ไปซะ! ส่วนเอ็งจะไปตายที่ไหนก็ไป”
‘ทำไมแม่ไม่ฆ่าหนูเสีย ตอนที่แม่ทำได้ ทำไมไม่เอาขี้เถ้ายัดปากมันเสีย’ ดาวเหนือได้แต่คิด หมดแล้วแรงที่จะพูดมันออกไปจากประโยคเมื่อครู่ที่แม่เอ่ยกับเธอ แม้แต่แรงจะร้องไห้ ก็ไม่เหลือ มันคือความสุดจะทนที่มีต่อโชคชะตาของตัวเอง ทางแยกที่มากขึ้น ทำให้เธอไม่สามารถจะปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามสถานการณ์อย่างเดิมได้ และมันยังคงไม่ได้ทำให้เกิดคำว่ายากหรือง่าย สำหรับดาวเหนือ ชีวิตเส็งเคร็งที่เป็นอยู่มีแค่ยากและยากกว่า
ในวันที่ดาวเหนือค้นพบว่าเธอสอบติดโรงเรียนรัฐบาลในระดับชั้นมัธยมปลาย คือวันเดียวกับที่เธอพบว่าเดือนเพ็ญป่วยเป็นโรคตับขั้นรุนแรง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้ก็ต้องมาถึง ดาวเหนือเข่าทรุดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่หมอเดินกลับเข้าไปในนั้น น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่ขาดสาย เธอกัดฟัน กำมือแน่น บังคับไม่ให้ตนสะอื้นจนตัวโยน
เด็กในวัยสิบห้ารู้แล้ว ว่ามันคืออะไร ใจสลาย โกรธและเกลียดโชคชะตาของตัวเองไปพร้อมๆ กัน มันไม่ง่ายอยู่แล้วที่จะเข้าเรียนแม้ว่าจะมีทุนการศึกษาจากการเป็นนักเรียนดีเด่น แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ยังคงต้องอาศัยเงินจากผู้เป็นมารดา และในยามนี้ จะทำอย่างไรเล่า แค่ค่ารักษาแม่ ยังไม่รู้จะหามาจากไหน
“อีดาวเอ้ย ข้าล่ะ สงสารเองจับใจจริงๆ” ป้าน้อย หญิงชราข้างบ้านเอ่ยกับดาวเหนือด้วยใบหน้าสลดหลังจากที่พาแม่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
“แต่ยังไง ฉันก็แนะนำให้เอ็งเรียนหนังสือว่ะ” คม ลูกชายของป้าน้อยอายุมากกว่าดาวเหนือหลายปีเสนอขึ้น “—ข้าขอโทษนะ แต่น้าเดือนเพ็ญแกคงไม่อยู่นาน ไม่คุ้มหรอก ที่แกจะทิ้งอนาคตที่ดีกว่าน่ะ การศึกษา ไม่มีก็กู้ยืมได้ ยิ่งสมองดีๆ อย่างเอ็งแล้ว ไปได้อีกไกล”
“แล้วพี่จะให้ข้าทิ้งแม่ให้นอนรอวันตายที่บ้านรึ” ดาวเหนือบอกเสียงเรียบ “—‘อนาคตที่ดีกว่า’ มันยาวนานเกินไปสำหรับชีวิตของฉัน”
“แต่เอ็งอย่าบอกนะเว้ย ว่าจะเข้าไปเป็นเด็กในสังกัดอิแม่เล้าเจ๊แดงนั่นน่ะ” เจ๊แดงที่คมพูดถึง คือ แม่เล้าเจ้าของ ‘นางงามตู้กระจก’ ที่บ่อยครั้ง มักจะแต่งตัวสีฉูดฉาด ย่างกรายเข้ามาในสลัมเพื่อหาเด็กหญิงที่บ้างก็เต็มใจ บ้างก็จำต้องถูกขายออกไปเพราะพ่อแม่หมดปัญญาเลี้ยง
“อืม ฉันมาคิดดูแล้ว จะให้ฉันไปขายตัว ฉันคงทำไม่ไหว” ดาวเหนือหยุดคิด “—เจ๊แกบอกว่า งานเต้นเปลื้องผ้าก็เงินดีไม่เลว ฉันคงพอทำได้”
“อิเจ๊ระยำ! นี่มันชั่วจริงๆ! แนะนำแต่ละอย่างรังแต่จะทำให้ชีวิตเอ็งตกต่ำนะ อีดาว!” คมสบถโกรธหลังจากฟังการตัดสินใจของน้องสาวที่วิ่งไล่กันมาตั้งแต่เด็ก
“ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตฉันไถไปกับพื้นตลอดเวลาอยู่แล้วรึ” ดาวเหนือถอนหายใจ “พี่คมไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันมีหน้าที่หาข้าวหาปลาเลี้ยงตัวแลแม่ไปเรื่อยจนกว่าจะหมดหน้าที่ก็เท่านั้น”
หลังจากนั้นหกเดือน ดาวเหนือเสียแม่ไป และมันคงจะเป็นความสูญเสียครั้งสุดท้ายตราบใดที่เธอยังไม่สูญเสียตัวเอง
ดาวเหนือยังคงทำงานกับเจ๊แดงต่อไป อาจเพราะทุกอย่างมันลงตัวแบบนี้ การกลับไปเรียนเพื่อออกมาหาตัวเองอีกครั้งไม่น่าฟัง หลังจากนั้นราวๆ สามปี เจ๊แดงได้ทำการปิดปรับปรุง ‘นางงามตู้กระจกเสียใหม่’ และกลับมาในชื่อของ ‘Goddess in Glass’ หรือ ‘เทพธิดากระจกแก้ว’
ดาวเหนือในวันสิบแปดย่างสิบเก้า—กระดาษสีฝุ่นขณะนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยสีฉูดฉาดหลากหลาย—สวยสะพรั่ง จนกระทั่งเจ๊แดงแลเพื่อนร่วมงานหลายคนเอ่ยปากทั้งต่อหน้าอย่างชื่นชมแลลับหลังอย่างอิจฉาริษยาว่า ดาวเหนือส่องสว่างที่สุดในที่แห่งนี้ โดยปราศจากการร่วมประเวณีใด ดาวเหนืออยู่ในกระจก เสื้อผ้าน้อยชิ้น ให้ความเพลิดเพลินยามเคลื่อนไหวร่างกายแก่ผู้ชมเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีนักลงทุนมากหน้าหลายตาเสนอเงินซื้อดาวเหนือกลับไปส่องแสงที่ห้องนอนของพวกเขา แต่คนพวกนั้นมีพวกนั้นมีไม่มากพอ แค่เงินกับตัณหาราคะไม่เคยพอสำหรับเธอ
ต่อมา เพราะสถานะทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดาวเหนือย้ายออกจากสลัมทันที เหตุผลหนึ่งคือมันยากลำบากที่จะอยู่ที่นั่นโดยไม่คิดถึงแม่ อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ตัวคนเดียวและมีเงินมากพอสำหรับใครอีกคน ดาวเหนือได้ส่งเสีย แสง เด็กชายข้างบ้านที่สนิทชิดเชื้อ ให้ได้เรียนต่อมัธยมปลาย มันคือการสานต่อโอกาสที่เธอไม่เคยได้รับ และไม่ใช่เพียงแค่เติมเต็มชีวิตที่ขาดของแสง แต่เป็นการเติมเต็มช่องโหว่ขนาดใหญ่ในตัวของเธอด้วย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in