เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#Fictober 2019Synthkid_
08: Dark
  • Warning: 
    ฟิคชันเรื่องนี้มีการกล่าวบางส่วนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ แต่มิใช่การสนับสนุน เพียงแต่เป็นบางส่วนของเนื้อเรื่อง อาจสร้างความไม่สบายใจให้บางคนได้ค่ะ



    POLYGRAPH EYES PART 1:

    หากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเจอต้องพบเจอกับความอัปยศอดสูเช่นนั้น
    และถ้าหากต้องแลกทั้งชีวิต เพื่อพรเพียงข้อเดียว ฉันจะขอให้ "คุณ" ไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน อายุเท่าไหร่ หน้าตา ผิวพรรณ สัญชาติ หรือศาสนาใด ก็ขอให้ไม่ต้องพบเจอ กับสิ่งที่ฉันเคยถูกกระทำ...
    .
    .

    ฤดูร้อนปีนั้น ฉันอายุย่างเข้า 18 ปี พวกผู้ใหญ่ต่างพร่ำบอกว่าช่วงเวลานี้คือเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นช่วงเวลาที่ความสาวความสวยกำลังบานสะพรั่ง สามารถปล่อยตัวปล่อยใจ กระโจนเข้าหาความสนุกได้แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ฉันได้แต่พยักหน้าและยิ้มรับทุกครั้งที่ฟัง หากแต่ในใจอยากจะค้านหัวชนฝา


    ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมการเป็นวัยรุ่นต้องใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง แล้วไอ้ที่บอกว่า ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง นี่พวกเขาลืมเกรด โรงเรียน การบ้าน และการสอบไปแล้วหรือไงกัน? ฉันไม่เคยเชื่อว่าวัยรุ่นทุกคนจำเป็นต้องสนุกสนานเหมือนภาพที่เราเห็นในโฆษณาน้ำอัดลม นั่นเป็นไปไม่ได้-- ฉันเองก็จินตนาการภาพพ่อกับแม่ตัวเองในช่วงวัยเดียวกันไม่ออกเช่นกัน แม้จะเคยเห็นความแสบสันต์ของพวกเขาผ่านภาพถ่ายมาบ้างแล้วก็เถอะ


    จากที่กล่าวมาคุณอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนคิดลบ อันที่จริงก็ใช่ แต่ฉันค่อนข้างมองโลกตามความจริง ถึงฉันจะดูรักความสันโดษ แต่ฉันก็ม่ีคนรัก เธอชื่อ "แนท" เป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย รักความสงบ (เหมือนฉัน) แนทเหมือนจิ๊กซอว์ส่วนที่ขาดหายในชีวิตฉัน 


    ทุกครั้งที่เราใช้เวลาร่วมกัน ทุกสิ่งช่างเรียบง่าย เราอ่านหนังสือ ฟังเพลง และดูหนังเรื่องโปรดด้วยกัน กิจวัตรประจำวันของฉันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปตอนที่แนทเข้ามา ซึ่งฉันชอบแบบนั้น ฉันไม่ชอบให้ใครมาเปลี่ยนแปลงอะไร และแนทไม่เคยทำให้ฉันต้องเปลี่ยน หากจะมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยน ก็คงเป็นการที่ฉันชอบทำทุกอย่างพร้อมเธอ มากกว่าทำคนเดียวไปเสียแล้วนั่นแหละ---


    แต่โชคชะตามักเล่นตลก ไม่สิ... สิ่งที่ฉันเจอมันเกินคำว่าตลกไปเยอะ 


    ถึงฉันจะเกริ่นให้คุณฟังซะยาวด้ว่าเป็นคนรักสงบ แต่ถึงกระนั้นฉันไม่ใช่คนปิดตัวเอง ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ 2 คน พวกเขายอดเยี่ยมที่สุดในโลก คนแรกชื่อ วัล เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย เป็นคนห้าว ๆ แต่ก็อ่อนโยน ถึงเธอจะซัดแอลกอฮฮลล์เข้าปากราวกับเป็นน้ำเปล่า แต่เชื่อฉันเถอะว่าเธอคอแข็งมาก ส่วนอีกคนชื่อปีเตอร์ คนนี้เป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายน่ารัก เนิร์ด และตลกที่สุดในโลก 

    ส่วนฉัน 'วันด้า' ฉายาเจ้าหญิงตลกร้ายประจำกลุ่ม 


    ทุกคืนวันศุกร์ แนทจะทำงานกะดึก เธอทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ 24 ชั่วโมง ฉันนึกชื่นชมในความขยันของเธอทุกครั้ง เพราะคนแบบฉันไม่มีทางออกไปทำงานบริการ ครั้นลองสักครั้งคงได้ใช้ปากค่อนแคะลูกค้าเส่ียจนถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรก 

    ในช่วงเวลาที่แนทไม่อยู่ ฉัน วัล และปีเตอร์ เรามักจะออกไปเดินเล่นด้วยกัน เมืองที่ฉันอยู่ค่อนข้างสงบ ปลอดภัย และไม่เคยติดโผสุ่มเสี่ยงต่ออาชญากรรม เราสามคนมักออกไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินบนเนินเขาหลังโรงเรียนกันยามค่ำ ก่อนจะออกไปสนุกกับปาร์ตี้กันในยามราตรี 

    โอเค คุณอาจจะเริ่มขมวดคิ้ว เพราะฉันยังอายุไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เฮ้! มีคนไม่รู้ตั้งกี่คนที่ดื่มแอลกอฮอลล์ก่อนยังไม่ถึงวัย และคลับที่นี่มันก็ดันต้อนรับคนอายุไม่ถึงเสียด้วย ฉันไม่ได้มีเจตนาเข้าไปทำอะไร นอกจากสนุกกับเพื่อนตัวเองก็เท่านั้น คุณจะให้ฉันเปิดเพลงแดนซ์จนสุดวอลลุ่มแล้วเต้นอยู่ที่บ้านหรือไงกัน เพื่อนบ้านต้องไม่ยินดีด้วยเป็นแน่

    คืนนี้ก็เช่นกัน พวกเรากำลังเต้นอย่างเมามันท่ามกลางแสงสีและผู้คน แต่ฉันไม่เคยเข้าไปพูดคุย แม้จะมีผู้คนเข้ามาพูดคุยบ้าง ฉันเอง ไม่แม้แต่จะปล่อยให้พวกเขาแตะเนื้อต้องตัว ไม่ว่าชายหรือหญิง อย่างที่บอกฉันมีแฟนแล้ว ฉันรู้ว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร เชื่อสิ

    แต่ใครจะไปรู้... คุณรู้ไหม ฉันเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 17 ย่าง 18 ที่คิดลบที่สุดในโลก แต่ฉันก็ยังทำพลาดมหันต์ และที่ฉันได้มาพูดกับพวกคุณอยู่ตรงนี้ มันก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ไม่สิ เพราะผู้ชายคนนั้น... ถึงตรงนี้ถ้าคุณไม่อยากฟัง ขอให้รู้ว่าฉันเข้าใจ และยินดีอย่างยิ่งหากคุณจะลุกออกไป แต่ถ้าหากคุณยังอยากฟังต่อ ขอให้คุณสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เอนหลังให้ผ่อนคลาย เพราะของจริงกำลังจะเริ่มนับตั้งแต่ตรงนี้

    ฉันจะไม่บอกคุณว่าเขาชื่ออะไร เพราะไม่อยากให้คุณเอาหน้าผู้ชายที่ไหนมาใส่ แล้วพาลรู้สึกไม่ดี เอาเป็นว่าฉันจะเรียกเขาว่า 'นายนั่น' ในคืนวันศุกร์อันเป็นปกติสุขของฉันกับเพื่อน นายนั่นเข้ามาทักพวกเราทั้งสามคน และบังเอิญมาก ฉันรู้จักเขา ใช่... เขาเป็นเพื่อนสมัยประถมของฉันเอง จริง ๆ เราเคยจับคู่กันตอนเรียนตีแบดมินตันด้วยซ้ำ ใครจะรู้?

    พอฉันเห็นว่าเป็นเขา ณ ตอนนั้นฉันดีใจมาก ว๊าว! นายไปอยู่ไหนมา มาที่นี่ได้อย่างไร ฉันถามสารทุกข์สุกดิบเขาเต็มที่ รอยยิ้มของเขาในตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับวันที่ฉันให้เขายืมดินสอสีเลย วันนั้นนายนั่นมากับเพื่อน แต่เขาไม่ยอมกลับไปที่โต๊ะตัวเองเลย เขามาอยู่กับพวกเรา เราชนแก้วกัน ฉันดื่ม เขาดื่ม พวกเราสนุกกันมาก 

    คุณจำที่ฉันพูดได้ไหม วัล เพื่อนฉัน เธอเป็นคนขอแข็งมากอย่างที่ฉันบอกไป แต่ให้ตายสิ ช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง วัลเมามาก เมาในระดับที่... อืม... คิดว่าตัวเองเป็นบิลลาทริก เลสแตรงจ์ แล้วชี้นิ้วเสกคำสาปกรีดแทงใส่ทุกคน จริง ๆ ฉันควรจะสงสัยใช่ไหมว่าอะไรทำให้เพื่อนฉันเมาขนาดนั้น? เปล่าเลย เพราะตอนนั้นฉันก็เมาเหมือนกัน หึ

    กลายเป็นว่าทั้งฉันทั้งวัล เมาจนแทบจำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ฉันพอจะจำท่ามกลางความเลือนรางนั้น ปีเตอร์มากระซิบข้างหูฉันว่าต้องพาวัลกลับบ้านแล้ว ส่วนนายนั่นอาสาจะพาฉันไปส่ง ฉันจะโอเคหรือเปล่า? 

    คุณเชื่อไหม ฉัน... เป็นคนประเภทเมาแล้วจะหลับ ตอนนั้นทุกสิ่งรอบตัวมันเหมือนฉายภาพสโลโมชัน แม้กระทั่งเสียงเพลงรีมิกซ์ที่เร่งจังหวะเร็วสุดขีด ในหัวของฉันมันออกมาเป็นเพลงบัลลาด ตอนนั้นไม่ว่าทอมจะถามอะไรฉัน ฉันทำได้เพียงพยักหน้า เพราะฉันตอบโต้ได้แค่นั้น... ใช่ แค่นั้นจริง ๆ

    ฉันจำได้ว่าถูกนายนั่นพยุงออกมาจากร้าน มีลมมาปะทะใบหน้าเล็กน้อย วันนั้นอากาศค่อนข้างเย็น ฉันถูกหามขึ้นแท็กซี่ จากนั้นฉันก็หลับ จำอะไรไม่ได้เลย ให้ตายสิ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันก็จำไม่ได้ ทั้งที่ฉันอยากจะจำมันอยู่นะ ฉันจะได้รู้ว่าไอ้สัตว์เดรัจฉานนั่นมันพูดอะไร ทำสีหน้าแบบไหน มีความสุข รู้สึกชนะมากไหมที่ได้ทำแบบนี้

    หลังจากนั้นฉันพอจะจำได้ราง ๆ ว่าถูกพาไปที่ไหนสักที่ ฉันรู้เพียงตาของฉันจะปิด ฉันต้องการนอน ฉันต้องการเตียงนุ่ม ๆ และหัวของฉันต้องการหมอนเพราะมันหนักเป็นบ้า ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดิน ถูกอุ้ม? หรือต่อให้ถูกลากก็คงจำไม่ได้ กว่าสัมปชัญญะในหัวฉันจะเรียงตัวเป็นระเบ่ียบ มันก็สายไปแล้ว เพราะตอนนั้นคือเวลา 9 โมงเช้า

    คุณเชื่อไหมสิ่งที่ฉันเห็นเป็นอย่างแรกตอนลืมตา คือเพื่อนสมัยประถมที่ฉันเจอเมื่อคืน นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ปลายเตียง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทีดูผ่อนคลาย ราวกับโลกใบนี้กำลังขับกล่อมมันด้วยเสียงเพลง 

    ฉันก้มลงมองร่างกายตัวเอง เห็นความหลุดลุ่ยของเสื้อผ้า อืม ฉันขอไม่พูดถึงตรงนี้ละกัน แต่เอาเป็นว่า ฉันเหมือนตื่นขึ้นมา แล้วได้รู้ว่า ชีวิตฉันจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ในขณะที่มันกำลังนั่งกระดิกเท้าอย่างสบายใจ 


    ฉันที่นั่งโง่ ๆ อยู่บนเตียงโสโครก 


    ในห้องโสโครก 


    และห่มผ้าผ่มโสโครกผืนนั้น 


    กำลังตกนรกทั้งเป็น...


    _______________________________________________________________________

    PART 2 จะเป็นตอนจบ พบกันใหม่ในหัวข้อ 'Lie' นะคะ >> คลิก
    ขอบคุณที่อ่านจนจบ .



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in