แต่วันนี้เราไม่ได้จะมาพูดถึงเรื่องกินทามะนะ! แต่เราเคยอ่านมังงะเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในวงการมังงะ ว่าเป็นการ์ตูนที่ลอกกินทามะมา5555555(คนเขียนเขาแซวกันเล่นๆเฉยๆ เพราะคนวาดเรื่องนี้ก็เคยเป็นผู้ช่วยกินทามะมาก่อน) เรื่องที่ว่านี้คือ Sket Dance ค่ะ(อ่านว่าสเก็ตดัน ไม่ใช่แดนซ์นะ)
ปล. เนื้อหาที่กำลังจะอ่านต่อไป เป็นการสปอยล์เรื่องสเก็ตดันเกือบจะทั้งหมด ถ้าหากอ่านมาแล้วจะดีกว่าค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาชีวิตเรามากกว่า โปรดอ่านอย่างระวังนะคะ:)
จากชื่ออาจจะคิดว่าเป็นการ์ตูนประกวดเต้นล่าฝัน555555 แต่เราเชื่อว่าในฐานะคนที่อ่านการ์ตูนมาก่อน มันต้องมีผ่านหูมาบ้างแหละว่ามีการ์ตูนชื่อนี้อยู่บนโลกด้วย ก่อนอื่นคงต้องเล่าเรื่องย่อคร่าวๆก่อน สำหรับใครที่เคยอ่านแล้วยินดีด้วยค่ะ! ข้ามไปตอนที่เราเม้าท์ได้เลย :D
เรื่องย่อที่อยู่ในเล่มทุกเล่มยังแซวได้ขนาดนี้555555 คือโดยสรุปมันเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของตัวละคร3ตัวในโรงเรียนไคเมย์ และเพื่อนๆบ้าๆบอๆอีกมากมายที่คอยมาขอความช่วยเหลือ(ตั้งแต่หาของหาย ไปจนถึงกอบกู้ชมรม) มันทำให้เห็นเอกลักษณ์ตัวละครแต่ละตัว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบเลย เผลอๆอาจจะเก่งแบบเกินๆสะอย่างงั้น สารภาพก่อนว่าเราอ่านเล่มเก่าๆครั้งสุดท้ายก็หลายปีแล้ว แต่พอดีมีเล่มจบอยู่กับตัวเลยหยิบมาเล่าให้ฟัง
เราอ่านเรื่องนี้ตอนม.2-3 อายุตอนนั้นก็ประมาณ14-15ปี เราเป็นเด็กคนหนึ่งแหละ เรียนไปวันๆ มีการบ้านให้ทำก็ทำ มีอะไรให้สอบแข่งขันก็สอบ ทำกิจกรรมบ้างบางที แต่ตอนนั้นเรามีเพื่อน...เพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันทั้งห้อง40คน ก็คงเหมือนกับชีวิตเด็กมัธยมทั่วไป... แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าทุกๆความทรงจำเรามีเพื่อนทั้ง40คนประกอบอยู่....(ถึงบางคนจะเกินๆไปนิด นิสัยกวนๆ ขัดแข้งขัดขาไปหน่อยก็เถอะ)
ช่วงนั้น การ์ตูนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่เราพึ่งค้นพบมาไม่นาน (ได้ซื้ออ่านจริงจังตอนม.1) เราก็จะติดมากกกก ไล่อ่านทุกเรื่องที่เขาว่าดังกัน รีบอร์น วันพีช แฟรี่เทล บลีช กินทามะ สมัยนั้นจะมีร้านการ์ตูนหน้าหอที่เราอยู่เลย ตอนกลางคืนถ้าอยากอ่านก็วิ่งข้ามถนนมาซื้อ แล้วก็เดินกลับ สมัยนั้นทุ่มเงินซื้อเยอะพอสมควร(ในขณะที่ข้าวราคาไม่เกิน30บาท แต่การ์ตูนเล่มละ35-45บาท) จนเราลามมาซื้อการ์ตูนเรื่องนี้ ก็คือสเก็ตดัน
ตอนอ่านไปครั้งแรก(ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นออกมาแค่ประมาณ22-23เล่ม) เราสนุกกับมันมากเว้ยยยย มันคือการ์ตูนตลกที่เราชอบมากกกกกกก เราขอยกเครดิตให้กับคนแปล คุณอิศเรศ ทองปัสโณว์ ที่แปลมังงะของเนชั่นหลายๆเรื่องแล้วออกมาดีมากๆ อ่านเข้าใจง่ายทุกเล่ม ก่อนหน้าเราอ่านกินทามะมาก่อน พอมาเรื่องนี้มันเล่นมุกแบบชงดื้อๆ ตบส่งๆ คนละแนวกับกินทามะ เราเลยไม่เบื่อไง ซื้อมาอ่านคู่ได้เพราะคนละแนวกัน ชีวิตเราก็มีการ์ตูนเรื่องนี้มาเพิ่มอีก1เรื่องในความทรงจำตอนมัธยม
พอเริ่มขึ้นม.ปลาย... แน่ล่ะว่าชีวิตก็จะเปลี่ยนไปนิดหน่อย เพื่อนเปลี่ยนห้อง บางคนกระจายไปอยู่ห้องอื่นที่เรียนคนละสายกัน เจอกันนานๆที แต่เพื่อนม.ปลายที่เราเจอก็สนิทกันดีนะ กิจกรรมที่ทำร่วมกันมันเริ่มเยอะขึ้น ไปนู้นมานี่ด้วยกันตั้งแต่ทัศนศึกษา กีฬาสี งานโรงเรียน เจอหน้ากันตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่าม.ปลายเป็นช่วงที่เครียดเหมือนกัน เพื่อนหลายๆคนต้องสอบแข่งขันกันเข้ามหาลัย ติวหนังสือหนักขึ้น บางทีก็ต้องแย่งที่นั่งมหาลัยกัน(ซึ่งไม่ได้เครียดขนาดนั้น เราก็มีผิดหวังบ้าง แต่ดีใจที่เพื่อนเราได้ขึ้นไปแทน) บางกิจกรรมเราก็ทิ้งบ้าง จนตอนนี้เราก็มานั่งนึกว่าเสียดายเนอะ ที่ไม่ทำตอนนั้นให้เต็มที่....
บทบาทของมังงะสเก็ตดันเริ่มชัดขึ้นนิดหน่อยในช่วงนี้ พอเราอ่านก็จะเริ่มนึกไปถึงชีวิตในช่วงมัธยมต้นมากขึ้น มันสดใหม่ มีแต่เสียงหัวเราะ ไม่ต้องเครียดเรื่องเรียนถึงขนาดนั้น ช่วงนั้นตัวละครหลัก(บอสเชน ฮิเมโกะ สวิตช์)ก็เติบโตไปพร้อมเรา เพราะอยู่ในช่วงม.ปลายเหมือนกัน.... แต่ทำไมพวกเขาดูสนุกสนานและทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งๆหนึ่งได้ขนาดนี้นะ...(ทำชมรมสเก็ตดันช่วยเหลือคนอื่น เวลาทะเลาะก็ทะเลาะกันจริงจังเพราะหวังดีกับเพื่อน ทำเรื่องป่วนๆจนเกือบเผาโรงเรียนก็มี5555 หรือแม้แต่เรื่องในอดีตของแต่ละคน)
จนในที่สุด เราก็โตแซงตัวละครจนได้....
ช่วงม.6 สอบเข้ามหาลัยเป็นช่วงที่สับสนหนักมาก ด้วยสังคมและบริบทที่เราอยู่ทำให้ไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าจริงๆเราชอบอะไร อยากเรียนอะไร จนในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายของเราก็ขาด จากตอนที่เราตัดสินใจแอดมิชชั่นแล้วเลือกคณะที่เราอยากเรียนไป4อันดับโดยที่ไม่บอกใคร ก่อนที่จะเอากระดาษก่อนจ่ายเงินมายื่นให้ครอบครัวเราดู....
เชื่อไหมว่า...ทุกคนทำหน้าตกใจและผิดหวังกับตัวเรามากตอนนั้น...
ที่บ้านถามว่าโปรแกรมมันเลือกใหม่ได้ไหม เราก็แค่พยักหน้าไป แล้วปล่อยทุกอย่างที่เราชอบทิ้งไป เลือกคณะที่บ้านเราอยากที่จะเห็นเราเป็น และทำเหมือนว่าเราชอบและเห็นดีด้วยจะได้จบๆไป ...วันนั้นความรู้สึกดีๆของเราก็ขาดลง เราเหลือบไปเห็นสเก็ตดันวางอยู่บนชั้นเกือบสามสิบเล่ม เราก็เริ่มลงมือเปิดอ่านอีกครั้ง... หลังจากที่ไม่ได้อ่านมานาน แต่ความรู้สึกเราเปลี่ยนไปแฮะ
พอถึงเล่มที่10 เป็นเล่มที่รวมตอนเกี่ยวกับอดีตของ"บอสเซน" ตัวเอกของเรื่องที่เป็นหัวหน้าชมรมสเก็ตดัน ชื่อเล่มว่า"Happy birthday"
เรื่องอดีตของบอสเซนเริ่มต้นจากพ่อของเขา ตั้งใจจะซื้อกล้องวีดีโอมาถ่ายภรรยาของเขาตอนที่ตั้งท้อง แต่กระเป๋าเงินโดนขโมยไปเลยต้องมีเรื่องป่วนๆเกิดขึ้นก่อนที่จะกลับมาเจอกระเป๋าเงินอีกครั้ง พอมีกล้องวีดีโอแล้วก็ถ่ายเก็บไว้มากมาย จนวันหนึ่ง บอสเซนได้แอบมาเปิดวีดีโอพวกนั้นดู และพอแม่ของเขารู้ก็โดนห้ามให้เปิดอีก เนื่องจากไม่อยากเห็นหน้าตาของ"พ่อ"ที่ทิ้งแม่ไปตั้งแต่บอสเซนยังเด็ก
แต่ความเป็นจริงแล้ว "แม่"ของบอสเซนตัวจริงคือผู้หญิงผมดำที่อยู่ในคลิปต่างหาก ส่วนเธอเป็นแค่เพื่อนของทั้งสองคนเท่านั้น กว่าบอสเซนจะรู้ความจริงก็อายุ10ขวบแล้ว ที่ไม่ได้บอกเพราะอยากจะให้บอสเซนโตอีกหน่อยพอจะรับความจริงได้ ...แน่ล่ะ พอรู้ความจริงตอนนี้ก็ต้องมีรับไม่ได้บ้างเป็นธรรมดา...
ไดอะล็อกสองหน้านี้ที่เราอ่านจนจำข้อความได้ มันเป็นจุดเริ่มต้นความเศร้าของเรื่องนี้ เวลาผิดหวังอะไรมากๆแล้ว เคยนึกอะไรในหัวแปลกๆกันไหม... สมมติเราทะเลาะกับที่บ้าน แล้วในใจเราเหนื่อยแล้ว ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จะนึกแต่ว่าอยากกินข้าวแล้ว กลับไปดูละครกันเถอะ กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมได้หรือเปล่า.... หน้านี้เป็นหน้าที่เราชอบมาก มันสื่ออะไรได้เยอะนะกับจิตใจที่วุ่นวายของเด็กคนหนึ่ง..."ที่เหมือนเรา"
จากนั้นเรื่องราวก็จะเล่าไปจนถึงแม่ที่แท้จริงของบอสเซน ทั้งพ่อและแม่ของเขาตายไปหมดแล้ว เหลือแต่บอสเซนคนเดียวไว้ให้แม่ปัจจุบันเลี้ยง แต่จริงๆแล้วบอสเซนมีแฝดอีกคนหนึ่งที่พลัดพรากกันตอนเกิด ชื่อซาสึเกะ หรือว่าประธานนักเรียนโรงเรียนไคเมย์นั่นเอง หลายๆคนบอกว่าพาร์ทนี้เหมือนละครน้ำเน่ามากเลย แต่เราร้องไห้ทุกครั้งที่กลับไปอ่านได้ไงก็ไม่รู้.... และนี่คือฉากแรกที่บอสเซนมาเจอน้องชายตัวเอง และได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวในโลกนี้อีกต่อไป
เราอ่านแล้วอินหนัก เพราะช่วงนั้นเรามีปัญหากับครอบครัวเยอะอยู่ ก็แค่อิจฉาตัวละครอื่นที่ขนาดไม่มีพ่อแม่ แต่ก็ยังเติบโตมาเป็นคนที่มีพลังบวกได้เยอะขนาดนี้ แม่ที่เลี้ยงมามีพลังใจสูงมาก เพื่อนๆในเรื่องก็คอยช่วยเหลือกันโดยไม่หวงผลประโยชน์ใดๆ เหมือนเป็นเมืองแห่งความฝัน ก็นั่นสิเนอะ มันเป็นการ์ตูนนี่หน่า.... ในขณะที่ตัวเรามีทุกอย่างไม่เคยขาดเลย แต่ทำไมความสุขมันไม่ค่อยมีเลยนะ นั่นคือความรู้สึกสุดท้ายที่กำลังสอบแอดมิชชั่นตอนม.6
ในที่สุด ชีวิตก็เหวี่ยงเราเข้ามารั้วมหาลัย... ได้เข้าในคณะที่เราพูดได้ไม่เต็มปากว่าชอบ แต่ก็ถอยกลับไม่ได้เพราะทิฐิตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆกับเพื่อนใหม่ มีการรับน้องที่ต้องถูกว๊าก เป็นกิจกรรมที่เหมือนถูกบังคับให้เร่งกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อน...ปากบอกให้รักกันไว้ สามัคคีกันไว้ แต่เราไม่เคยเชื่อเลยว่าความสัมพันธ์ที่สร้างอย่างเร่งรีบจะได้ผลดีขนาดนั้น ขนาดผ่านมันมาแล้ว เราก็เรียกได้ไม่เต็มปากอีกเช่นกันว่าได้เพื่อนที่จะสนิทซี้ปึ้กกันไปจนวันตาย
เล่มที่32 Last Dance - เล่มสุดท้ายของสเก็ตดันฉบับภาษาไทยออกปี 2559...ช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยกำลังจะขึ้นปี2พอดี...
เล่มก่อนสุดท้าย(เล่มที่31)ออกก่อนหน้าไม่กี่เดือน พูดถึงการจบหน้าที่ในฐานะชมรมของตัวเอกทั้งหลาย บอสเซนมอบหน้าที่ให้รุ่นน้องต่อ สึบากิที่เป็นประธานโรงเรียนไคเมย์ก็มอบหน้าที่ให้รองประธานสานต่ออุดมการณ์ตัวเอง... ทำให้รู้เลยว่า การ์ตูนเรื่องนี้ใกล้มาถึงบทสรุปแล้ว ส่วนตอนจบเราก็เคยเปิดอ่านแบบแปลอิ้งตอนสุดท้ายมาแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพราะชมรมก็ไม่ได้ถูกพูดถึงแล้ว แกนหลักของเรื่องหายแล้วจะเล่นอะไรได้อีกนะ
แต่ตอนจบที่แท้จริง มันอยู่ในเล่มต่างหาก....
จนเล่มจบออกมา เราอ่านตอนจบอย่างระมัดระวัง การเปิดอ่านเล่มสุดท้ายก็ใจหายอยู่เหมือนกัน เพราะมันอยู่กับชีวิตเรามานาน โดยเฉพาะการ์ตูนเรื่องอื่นที่สนุกมาตลอดแล้วจบแบบปาหมอน...ทำเอาเซ็งจนไม่อยากหยิบขึ้นมาอ่านอีกนานเลย
เรื่องราวก็เหมือนเด็กม.ปลายไทย ทุกคนก็แยกย้ายไปสอบเข้าตามคณะที่ตัวเองอยากเรียน และเล่าถึงกิจกรรมโรงเรียนครั้งสุดท้ายที่ไคเมย์จัดในรุ่น จนในที่สุดฉากอำลาที่แท้จริงของสเก็ตดันก็เกิดขึ้นในห้องเรียนที่ว่างเปล่าหลังจากงานโรงเรียนจบลง.... ไม่ใช่ตอนที่เราแอบอ่านไปล่วงหน้านี่หน่า
....และนี่เป็นครั้งแรกของเรื่องที่สวิตช์พูดด้วยเสียงของตัวเอง
นั่นคือประโยคเดียวที่เราอ่าน หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหล... สวิตช์ปิดใจมาตลอด ขนาดบอสเซนกับฮิเมโกะเข้ามาช่วยดึงขึ้นมาก็ยังบล็อคตัวเองโดยใช้เสียงสังเคราะห์จากคอมพูดมาตลอด แต่ในที่สุด ปมสุดท้ายของเรื่องก็ถูกคลี่คลายลง เรากลุ้มมาตลอดเรื่องว่าสวิตช์จะพูดเมื่อไหร่ จนในที่สุด...สวิตช์ก็ได้เอ่ยคำพูดที่เขาอยากจะสื่อออกจากใจที่สุดมาจนได้....
....แต่แค่เรื่องของเรายังไม่จบ
ผ่านไปไม่นาน... ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของมหาลัยแล้ว เรายังนึกถึงฉากตัวละครในพิธีจบการศึกษาซ้อนทับกับความทรงจำของเราตอนที่เรียนวันสุดท้ายของโรงเรียน เราได้บอกลาเพื่อนของเราได้ไม่เต็มที่เพราะว่ายังมีหลายๆคนที่จะได้เจอกันในมหาลัย... แต่มันไม่ใช่เลย กาลเวลาต่างหากที่ทำให้เราห่างกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ระยะทาง มันลดขนาดเล็กลงจนกลายเป็นอัลบั้มความทรงจำ ที่เราไปแตะต้องหรือแก้ไขไม่ได้ ทำได้แต่คิดถึงมันให้มากที่สุดในวันที่เศร้าที่สุดเท่านั้นเอง....
กระทู้พันทิปมีกระทู้หนึ่งพูดถึงเรื่อง "ถ้าเราอยากจะบอกตัวเองในอดีต เราอยากจะบอกอะไร..." มีคนหลายช่วงอายุเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย บางคนขัดสนเรื่องเงิน บางคนอยากให้ตัวเองตั้งใจเรียนมากกว่านี้ บางคนอยากให้อยู่กับครอบครัวมากกว่านี้ ....เราไม่ได้หวังว่าโลกของเราจะมีเครื่องย้อนเวลา หรือไทม์แมชชีนแบบโดราเอม่อนหรอก ถ้าเราโตขึ้นกว่านี้ก็คงจะนึกย้อนกลับมาดูตัวเอง ณ วินาทีนี้เหมือนกัน
....ว่าช่วงเวลาในอดีตมันมีค่าขนาดไหน....
ขอบคุณนะ ที่เติบโตมาพร้อมกับเรา :)
จนถึงอยู่ม.3ก็กลับไปดูอีกแต่ก็ดูไม่จบอีกตามเคย จนผ่านไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังหาเพลงประกอบสเก็ตดานซ์ฟังให้หายคิดถึงแทน จนผมจบม.6 ครบอายุ19 ผมกลับมาหาดูในเว็บผมดีใจมาก เลยตั้งใจดูให้จบไปเลย
และวันนี้ก็ดูจบไปแล้ว สนุกมากๆเลยนะครับ อาจไม่ค่อยมีคนดูเรื่องนี้แต่เรื่องนี้ก็ยังมีผมดูอยู่ เพราะมันได้อะไรหลายๆอย่าง
เรื่องนี้จะอยู่ในใจผมตลอดไป
2562/19/ก.ค.