ถ้าเปรียบการเลี้ยงหมาเป็นการเติมเต็มสิ่งวิเศษให้ชีวิต
การเลี้ยงแมวก็คงเหมือนการยอมรับสิ่งธรรมดาของชีวิต
คุณพร่ำบอกกับตัวเองว่าสิ่งที่เฝ้ารอคือความสุขที่แท้จริง
ความเชื่อ ความศรัทธา ความรัก ความซื่อสัตย์
กลิ่นสบู่ที่ทั้งหอมและเหม็นในเวลาเดียวกัน
การมีความสุขจนไม่สามารถหยุดวิ่งได้ ทั้งร่างกายและจิตใจ
พลุ่งพล่าน ปลาบปลื้ม แตกกระเจิง
คุณย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่นิรันดร์
แน่นอน ไม่มีสิ่งใดเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
คุณรู้ดี คุณจะยอมรับมันได้ในที่สุด แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้
อย่างน้อยก็ไม่ใช่อีกครั้ง
เราจะสามารถหลีกหนีความจริงที่ว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ไม่มีจริงได้อย่างไร
(ในอีกความหมายคืออาจจะมีอยู่จริงแต่ไม่อาจเป็นนิรันดร์ ซึ่งในที่นี้
ฉันคิดว่ามันยิ่งแย่ไปกว่าการไม่มีอยู่จริงเสียอีก)
คำตอบคือ ก็ไม่ต้องเฝ้ารอ ฉันคงเรียนรู้สิ่งนี้ตอนได้พบกับเธอ
หลายครั้งที่พวกเราจ้องตากัน ดวงตาเป็นประกายวาววับ
เธอเป็นฝ่ายหลับตาลงก่อนเสมอ (ยกเว้นในบางครั้งที่เธอนึกอยากทำตัวประหลาดขึ้นมา)
เธอไม่เคยเข้าใจอะไรเลย หรือในอีกแง่หนึ่ง เธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกๆ อย่าง
ฉันก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าฉันรู้จักเธอดีที่สุด แต่ในบางครั้ง (ที่จริงก็หลายครั้ง) ฉันก็เหมือนไม่รู้จักเธอเลยสักนิด
คาดเดาไม่ได้ จิตใจที่ไม่มั่นคง ทุกสิ่งเหมือนพร้อมจะหลุดลอยไปจากมือเสมอ
ไม่มีกลิ่นสบู่ ไม่หอมและไม่เหม็น จับต้องได้ยาก จนบางครั้งเหมือนล่องหน (หรืออย่างน้อยเธอก็คิดแบบนั้น) ความไม่แน่นอนทั้งหมดหลอมรวมเป็นความรู้สึกที่นิ่งเรียบ
หลายๆ ครั้งฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะยอมรับความไม่เป็นนิรันดร์นั้นได้อีกครั้ง
แต่ยังหรอก ยังไม่ใช่ตอนนี้
เราจะสามารถหลีกหนีความจริงที่ว่า สุดท้ายความธรรมดาจะกลายเป็นสิ่งวิเศษได้อย่างไร
ความจริงที่แท้คือมันจะไม่มีวันสิ้นสุด
คำตอบที่เคยตอบได้จะกลับกลายมาเป็นคำถามอีกครั้ง
เรียนรู้อีกเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันพอ เลิกรอได้เลย — บางทีสิ่งนี้อาจเป็นนิรันดร์
ถ้ามันไม่มีวันสิ้นสุด ฉันก็จะโอบกอดมันเอาไว้ในวันที่ฉันต้องการ
และปลดปล่อยมันไปในวันที่ความเป็นนิรันดร์เลิกเป็นนิรันดร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in