แหมะ จั่วหัวเรื่องซะอย่างกะคนแก่ กะว่าอายุ 22 แล้วจะตายเลยไง๊?
จริง ๆ ก็ไม่เชิงหรอก
เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดเรา ปกติแล้วเราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมันเท่าไรหรอก ไม่เคยไปฉลองหรือซื้อเค้กมาเป่าไรงี้หรอก(แต่ใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างในการซื้อของขวัญให้ตัวเองนะแต่ว่า 555555) กิจกรรมที่ทำส่วนใหญ่คือรอลบรูปเลว ๆ ที่เพื่อนมักจะฉวยเอาโอกาสนี้เอามาโพสอวยพรเราในเฟซบุ๊ค
ที่จะเล่าในวันนี้คือ ความกระท่อนกระแท่นของชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมา
ประมาณช่วงเวลานี้ของปีที่แล้วเลย อยู่บ่อยู่ก็กลัวความตาย กลัวตัวเองตาย เลยไปหาหมอ แล้วก็กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชตั้งแต่นั้นมา แล้วหลังจากนั้นชีวิตชั้นก็เหมือน mixed mood smoothie เลยเว่ย
เล่าให้เข้าใจง่าย ๆ นะ เราว่าตั้งแต่ดูเดี่ยวไหนก็ไม่รู้ของพี่โน๊ต อุดม ที่แกพูดถึงอาร์ตตัวแม่ที่เวลาเป็นเมน อารมณ์ของผู้หญิงในช่วง PMS ก็ถูกพูดถึงมากขึ้น ทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ ก็พอจะรู้ฤทธิ์ของอารมณ์ที่ตีขึ้นตีลงช่วงนั้นอยู่บ้าง แล้วชั้นก็เป็นแบบนั้นแบบ every single day แบบ all day, all night and all the timeeeee
PMS นี่จะเป็น 7-8 วันก็หายใช่มะ อ่อนไหวง่าย ร้องไห้ กินเยอะ ประมาณนี้ นี่เป็นมากกว่านั้น นี่เศร้าหนัก เศร้าแบบไม่รู้เอาอะไรมาเศร้านักหนา แค่ตบยุงก็รู้สึกผิดอยู่เป็นวันสองวัน กูมันคนเลว ฆ่ายุงบริสุทธิ์ที่ยังไม่แม้แต่เอาปากเจาะผิวหนังเลย มันแค่บินมาตอมหูเท่านั้น มันผิดอะไรทำไมถึงต้องตาย ฮืออออออ กูมันเป็นฆาตรกร!!
เป็นไบโพล่าร์เศร้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเกรี้ยวกราดและใช้เงินเปลืองด้วย
เคยโมโหเด็กที่เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้อง แบบทำไมซนแบบนี้ อีเด็กเปรตตต พอยายมันเผลอปุ๊บ เราก็แอบดีดหน้าผากอย่างแรงมันไปทีนึง สะใจ 5555555555 พอเราดีดเสร็จ หลานแท้ ๆ ในไส้ก็ช้อนตามองเราตาแป๋ว เหมือนกับจะถามว่า ทำหนูทำไมอะ หนูเจ็บ แล้วน้ำตาก็คลอ ๆ ไอ้ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกผิดนะ สะใจอยู่ แต่เชื่อป่ะว่าสายตาของหลานที่มองเราตอนนั้นมันหลอกหลอนเรามาก ๆ แบบเห้ย นั่นเด็กนะ เด็กที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรใส่กางเกงหรือกระโปรง เด็กที่ยังเคี้ยวข้าวไม่ละเอียด แล้วนั่นหลานมึงนะเว้ย ทำไมทำแบบนี้ สายตานั้นและความรู้สึกนี้ ทำให้เรานอนร้องไห้รู้สึกผิดอยู่เป็นอาทิตย์ ถึงให้เราพยายามทำดีกับหลานเพื่อชดใช้มันก็ไม่หายไป
แล้วคิดดูว่าชีวิตเราวนอยู่กับความเกรี้ยวกราด > พอเกรี้ยวกราดก็รู้สึกผิด > รู้สึกผิดก็ซึมเศร้า > แล้วก็อยากตาย > ไปหาหมอ > อัพยา > ไฮเปอร์ > ใช้เงินเปลือง > เงินหมด > รู้สึกตัวเองเป็นภาระครอบครัว > ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ > อยากตาย > ไปหาหมอ > อัพยา > เกรี้ยวกราด /วนลูป
เอ่า แล้วถ้าไปหาหมอไปอัพยาแล้วมึงยังไม่ดีขึ้นแล้วมึงไปทำไม?
ก็ถ้าไม่ไปหาหมอก็ไม่มีทางอื่นแล้วไง เห็นป่วง ๆ งี้ เราก็อยากหายนะเว้ย เราต้องใช้ชีวิตในลูปนั้นไปจนกว่าจะเป็น หาหมอ > อัพยา > ดีขึ้นนิดนึง > หาหมอ > อัพยา > ดีขึ้นอีกนิดนึง > หาหมอ > อัพยา > ดีขึ้นอีกนิด ๆ นึง > หาหมอ > อัพยา /วนลูปไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะอยู่ตัว
กระท่อนกระแท่นขนาดนี้ อย่าว่าแต่จะนึกถึงอนาคตอนางอเลย ปัจจุบันยังแทบไม่รอด เป้าหมายระยะยาวที่เราตั้งไว้ก่อนเป็นโรคนี้ถูก bipolar and I จับมือกันกระโดดถีบขาคู่ล้มระเนระนาดเลย มันเลยทำให้เรารู้สึกแปลก ๆ ในวันเกิดอายุ 23 ของเรา
แบบเห้ย มึงมาถึงวันนี้แล้ว เก่ง ๆ ไม่คิดว่าจะมาได้ ขอเชคแฮนด์ที นับถือ ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ /ปาดน้ำตาตื้นตันใจ
พอมองย้อนไปหนึ่งปีที่เพิ่งผ่านมา ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเลยนะ เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล กินแต่ยา งานการก็ไม่ได้ทำ แต่เรารู้สึกว่าเราผ่านมันมาได้แบบที่เราไม่คิดเลยว่าเราจะผ่านความอิรุงตุงนังที่ไม่มีวิธีรับมือที่ตายตัวนั้นมาได้อะ กว่าครึ่งนึงของปีที่ผ่านมา เราจมอยู่กับความคิดอยากฆ่าตัวตาย และลงมือจริงไปแล้วครั้งนึง (หาอ่านได้ใน
แอ็ดมิทจิตเวช) นึกว่าจะไม่รอดทุกครั้งที่ดาวน์ แต่แล้วในที่สุดเราก็พาตัวเองเกาะขอนไม้ ลอยคอข้ามปีมาได้อะ /ปาดน้ำตาตื้นตันใจอีกครั้ง
จะไม่ขอปฏิญาณหรือสัญญาว่าจะอยู่ไปจนถึงอายุเท่าไร เพราะพอดาวน์มาเราก็จะลืมมันทั้งหมดอยู่ดี
จะไม่ขอพร และไม่เอาอะไรแล้ว ไม่อยากจะตั้งหวังอะไรไว้เยอะแยะ พอไม่ได้ขึ้นมามันเจ็บ แล้วเราจะไปตั้งหวังอะไรให้ตัวเองเสี่ยงเจ็บตัวทำไม อยากได้อะไรก็จะทำเอาละกัน
(ต่อไปนี้คือนอกเรื่อง)
สิ่งนึงที่เราทำในปีที่ผ่านมาคือการเริ่มเขียนบล็อก เราเขียนบล็อกครั้งแรกใน
nobody nobody but you แรก ๆ เป็นบทสัมภาษณ์ของเพื่อนในเอกที่เขียนเอาสนุก ๆ ก็จะมีเพื่อน ๆ ในเอกเรานั่นแหละที่เข้ามาอ่าน พอมีเพื่อนมาอ่านแล้วพูดถึงเวลาเจอหน้า เราก็รู้สึกดี มันดีมากเลย เราเลยหาเรื่องเขียนมาอีกเรื่อย ๆ บางคนไม่เคยแสดงตัวว่าอ่านเลยนะ แต่วันเกิดเรา เขาก็มาโพสท์หน้าเฟซบุ๊คเราว่า "รออ่านบล็อกอยู่นะ" เรารู้สึกดีมากเลย
มีครั้งนึงที่เพื่อนเรา ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างมีคนติดตามเยอะในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค แชร์บทความเรา แล้วมีคนเข้ามาอ่านถึง 100 คนในวันนั้นอะ เราโคตรดีใจเลย เราแคปไว้ดูเลยอะ /ปาดน้ำตาตื้นตันใจอีกครั้ง
ทีแรกเราลงแอ็ดมิทจิตเวชในบล็อกนู้นแหละ ก็มีเพื่อน ๆ ที่รู้จักเท่านั้นเข้ามาอ่าน แล้วเพื่อนในเอกคนนึงก็แนะนำให้เราลองเอามาลงในเว็บนี้ เราก็ลองดู ก็มีคนเข้ามาอ่านเยอะกว่าบล็อกนู้น มีคนมาคอมเม้นต์ มีคนแชร์ เรานี่ถึงกับไปเสิร์ชหาว่าเขาว่าไงบ้าง เราชอบหาฟีดแบคอ่าน ถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ดีเราก็จะได้รู้แล้วปรับปรุงเพิ่ม และเราก็แคปเก็บไว้หมดเลยเชื่อป่ะ มีโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า 'กลจ' ไว้เซฟรูปที่แคปมานี้โดยเฉพาะ
เรารู้สึกดีที่มีคนอ่านอะ มันเป็นความรู้สึกแบบ เห้ยมีคนอ่านของกูๆๆ จุดเริ่มต้นทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณ
ผู้ป่วยหัวร้อนบางคนที่แนะนำมา และเป็น
ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 ของเราด้วย เราเป็นกำลังใจให้เสมอนะ รวมถึงเพื่อนมอต้น เพื่อนมอปลาย เพื่อนมหาลัย และเพื่อนอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่งเสริมยุงยงเหลือเกิน 'ใจเว้ย และครอบครัวที่เป็นคนคอยตีคลื่นให้เราเกาะขอนไม้ลอยคอมาถึงฝั่งนี้ได้(จาก 36,703,525 ฝั่งที่ต้องลอยคอไปทั้งหมด)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in