The Luckiest เป็นเพลงที่ผู้กำกับ Richard Curtis นำมาประกอบภาพยนตร์เรื่อง About Time โดยเจ้าของบทเพลงเองยังออกปากชมว่าผู้กำกับทำให้เพลงนี้มีความหมายและใช้ได้เหมาะสมกับบริบทของภาพยนตร์ซึ่งนับได้ว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่บทเพลงเพลงนึงจะสามารถมีได้ แต่เรื่องราวที่คุณจะได้อ่านต่อไปไม่ใช่เรื่องราวของ The Luckiest แต่เป็นเรื่องของอีกบทเพลงหนึ่งซึ่งแต่งโดย Ben Folds เช่นกัน
หลังจากที่เกิดความซาบซึ้งในเพลง The Luckiest ไปแล้ว(ก็หนังมันบิ้วท์นี่นา) เราก็เลยลองหาเพลงอื่นๆของคุณเบ็นฟังบ้าง หลายวันในการดำดิ่งลงไปในจักรวาลเพลงของ Ben Folds ก็ได้พบกับความน่าแปลกประหลาด(ใจ)และความหมายมากมายที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงของผู้ชายคนนี้ เช่น Bricks, Philosophy, You don't know me แต่เพลงที่สะดุดหู ตา และใจของเรามากๆคือเพลง Cologne จากอัลบั้ม Way to Normal ที่ออกมาในปี 2008
ฉากหลังของเพลงนี้คือเมืองแห่งแม่น้ำ Rhine มหาวิหารโกธิค และเลข 4711 ท่อนแรกขึ้นมาก็ไม่ต้องเสียเวลาเดากันเลยว่าเป็นที่ไหน
Here in Cologne
I know I said it wrong
มีการบอกกันคนทักไว้ด้วยว่า ฉันรู้ว่าชื่อเมืองไม่ได้ออกเสียงแบบนี้นะ เพราะชื่อเมืองโคโลญจ์ที่ทุกคนอ่านกันนั้นเป็นการอ่านแบบอังกฤษ ซึ่งในภาษาเยอรมันเองเรียกเมืองนี้ว่า Köln (ออกเสียงว่า เคิล์น แบบที่เน้นเสียง ค.ในลำคอ) ท่อนต่อมาก็พาเราไปยัง Hauptbahnhof หรือสถานีรถไฟหลักของเมืองที่ที่เค้าไปส่งและบอกลาเธอคนนั้น
I walked you to the train
And back across alone
To my hotel room
And ordered me some food
And now I'm wondering why the floor has suddenly become a moving target
อ้าว พอกลับโรงแรมไปอยู่ดีๆเข้าสู่โหมดแฟนตาซีไปซะงั้น จากพื้นโรงแรมก็กลายมาเป็นยานอวกาศ และมีคอรัสการนับถอยหลัง 4 - 3 - 2 - 1 เหมือนกับการปล่อยยานให้ออกไปสู่ชั้นบรรยากาศของโลกแต่เปลี่ยนเป็นการปล่อยเธอไปแทน ฉันจะปล่อยเธอไปแล้วนะ ฉันจะปล่อยไป ถ้าเธอปล่อยมันไปเช่นกัน
Four, three, two, one,
I'm letting you go
I will let go
If you will let go
(Four, three, two)
Says here an astronaut
Put on a pair of diapers
Drove eighteen hours
To kill her boyfriend
ในท่อนนี้มีการกล่าวถึงนักบินอวกาศหญิงของน่าซ่าคนหนึ่ง ผู้เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกในปี 2007 ในคดีที่เธอพยายามจะลักพาตัวแฟนสาวของเพื่อนชายของเธอ(ซับซ้อนไปอี้ก) โดยเธอได้ให้คำความสัมพันธ์ของเธอกับชายคนนั้นว่า "More than a working relationship but less than a romantic relationship," เธอได้ขับรถจาก Houston ไป Florida ระยะทางประมาณ 900 ไมล์
เป็นเวลา 14 ชั่วโมงพร้อมกับอุปกรณ์การลักพาตัว เช่น ถุงมือ วิกผม แอมโมเนีย ปืนพกBB สเปรย์พริกไทยและค้อน โดยในข่าวกล่าวว่าเธอสวม Space diaperไปด้วย (เหมือนแพมเพอร์สที่ใส่ในชุดของนักบินอวกาศ) ซึ่งเธอได้ให้การปฎิเสธเรื่องนี้ในภายหลัง แต่สุดท้ายแผนการของเธอก็ล้มเหลวและถูกตำรวจจับได้ที่สนามบินเมือง Orlando
And in my hotel room, I'm wondering
If you read that story too?
And if we both might
Be having the same imaginary conversation
เค้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าถ้าเธอได้อ่านเรื่องนี้เหมือนกันแล้วเราสองคนจะคิดเรื่องนี้เหมือนกันมั้ย
เราไม่รู้ว่าสุดท้ายเค้าปล่อยเธอไปได้จริงๆมั้ย มาถึงตรงนี้เค้ายังนับให้ถึงหนึ่งไม่ได้เลย...
Weightless as I close my eyes
The ceiling opens in disguise
แล้วเพลงก็พาเรากลับไปยังสภาวะไร้น้ำหนัก เพดานห้องเปิดกว้างเสมือนว่าเป็นใจให้เค้าลอยออกไปสู่การเดินทางที่ไม่มีเธออีกต่อไป
Such a painful trip
To find out this is it
And when I go to sleep
You'll be waking up
มาถึงตรงนี้เราก็พอจะรู้ได้ว่าการจากลาที่สถานีรถไฟนั้นคงไม่ใช่การจากลาเพียงชั่วคราว แต่เป็นการจากลาทั้งทางกายภาพและทางใจ เราคิดว่ามันคงเป็น Transatlantic relationship ระยะทางที่ห่างกันโดยมีมหาสมุทรมาคั่นไว้อาจะทำให้อะไรๆต้องเปลี่ยนไป แม้แต่สิ่งธรรมดาสามัญแบบเวลาก็ยังไม่ตรงกัน ตอนนี้พระอาทิตย์ของเธอคือพระจันทร์ของเค้าไปเสียแล้ว
การเดินทางของชายคนนี้หลังจากที่เดินออกจากสถานีรถไฟวันนั้นคงจะเวิ้งว้างเหมือนการลอยอยู่ในห้วงอวกาศไปสักพัก เราสงสัยจริงๆว่าต่อให้เธอปล่อยได้ แล้วเค้าจะปล่อยเธอไปได้จริงๆมั้ย การปล่อยของเค้าจะสำเร็จหลังเสียงการนับ 1 จบลงเหมือนกับความสำเร็จในการปล่อยยานขึ้นไปสู่อวกาศรึเปล่าหรือจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเหมือนแผนการของนักบินอวกาศหญิงคนนั้น
So, will you let go?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in