เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WEIRD WARpride_prai
WINTER WAR
  • เสียงปืนแผดลั่น  ร่างของโจแนสสะดุ้งเฮือกก่อนจะล้มลงไปบนหิมะที่สูงถึงเข่า  เขายกมือปิดหูของตัวเอง  หลับตาแน่นด้วยความรู้สึกกลัวท่วมท้น  ก่อนจะลืมตาขึ้นหลังจากนั้น  ไม่ใช่เสียงปืนของศัตรู  แต่เป็นเสียงจากปลายกระบอกของพรรคพวกที่เป็นนายทหาร  พอหันกลับไปก็เห็นสัญญาณมือของทหารที่ยิงปืนบอกให้เขาวิ่ง  โจแนสลุกพรวดพราดสองมือเกาะกุมสัมภาระอักโขแบกด้วยสองลาดบ่า  ตะบึงไปข้างหน้าอย่างกลัวตาย พลันเสียงปืนสนั่นขึ้นอีกครั้ง  เขาเกือบล้มแต่มีคนเข้ามาช่วยฉุดแขนไว้ทันท่วงก่อนจะรีบพาหลบหนีเข้าป่า


             “ทำไมพวกทหารโซเวียตรู้ว่าเราอ้อมมา”  โจแนสถามพลทหารที่วิ่งนำอยู่


             “การิทำปืนลั่นครับ”


             ชายหนุ่มขบกราม  สบถคำหยาบที่สุดในชีวิตออกมาเพื่อระบายความคับแค้นใจ ความสะเพร่าในยามศึกศัตรูประชิดมาตุภูมิคือการเพรียกหามัจจุราช  เสียงแห่งความตายยังดังตามไล่หลังมาระรัวเหมือนก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอก คนหนีตายเริ่มสิ้นหวัง เมื่อมองไปทางไหนรอบด้านก็ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ยืนแห้งตายแน่นขนัดตา  รู้สึกว่าวิ่งมาจนสุดทางแต่ก็ยังไม่พบทางออกอีกฟากฝั่งเสียที


             “นิค ทางนี้!”  


             โจแนสตะโกนแล้วชี้ไปยังปลายทางที่มีแสงสว่าง  นิคกำลังวิ่งย้อนกลับมาแต่ถูกปืนยิงเข้าที่ศีรษะแล้วล้มลงไปตายต่อหน้าต่อตา  โจแนสยืนอึ้งแต่เขาไม่มีเวลาร่ำลาศพตรงนั้นแล้ว น้ำตาบุรุษหยาดไหลอาบแก้มที่เย็นเฉียบ  หันหลังรีบวิ่งต่อไปทั้ง ๆ ที่ร้องไห้ให้สหายเพื่อออกไปจากที่นี่


             สุดทางเป็นเนินหิมะลาดลง  โจแนสคว้าสกีที่แบกไว้บนหลังสวมทับรองเท้าบูท  จากนั้นใช้ไม้โพลถีบทะยานตัวเองสู่เบื้องล่างอย่างไวว่อง หักหลบบรรดาก้อนหินและตอไม้ขนาดใหญ่อย่างชำนาญ  หิมะถูกตีแผ่ขึ้นมาคล้ายปีกผีเสื้อขนาดยักษ์กระพือพัด  ชายหนุ่มงอตัวเก็บแขนเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเร็วไปด้านหน้า  ยกมือขึ้นจับผ้าพันคอที่ลู่โต้กับสายลมหนาว  เสียงปืนไล่หลังเงียบลงแล้ว  มีเพียงเสียงสกีแทรกเสียดตลอดทางที่เงียบงัน  รอบข้างฉาบไปด้วยสีขาวโพลนเวิ้งว้างว่างเปล่า


             “โจแนสมาแล้วครับผู้กอง”


             ร้อยเอก อิโร  คุยติเนน ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบเดินออกมาจากในเต็นท์  สภาพคนเพิ่งกลับมาทำให้คนที่เห็นตกตะลึง  มือทั้งสองของโจแนสเปลี่ยนจากสีเนื้อเป็นสีม่วงจัดเพราะทนหิมะกัดมาตลอดทาง  ใบหน้าที่เผยออกมาเพียงครึ่งหนึ่งซีดเผือดราวกับคนตาย  แต่นัยน์ตายังแวววาวของคนมีชีวิตอยู่   อิโรรีบเข้าไปพยุงคนหนุ่มพร้อมกับผู้ช่วยอีกสองคนให้เข้าไปในเต็นท์  แล้วสั่งลูกน้องให้รีบไปเอาน้ำอุ่นมาโดยเร็ว


             “กองกำลังโซเวียต  ยึด… เพ็ตซาโมสำเร็จ”  โจแนสบอกเสียงสั่น  ทั้งร่างกายของเขาสั่นเพราะความหนาวเหน็บจับใจ


             “คุณอย่าเพิ่งพูดเลย  รีบเอามือและเท้าจุ่มลงไปในน่ำอุ่นก่อนเถอะ”


             “อัซตินเป็นอย่างไรบ้าง  คุณได้ข่าวคราวจากเขาบ้างไหม”


             อิโรมองเข้าไปในดวงตาสีเทาอ่อนที่ฉาบฉายความกังวลและความกลัว  ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “อัซตินสบายดี  เขาบอกว่ารอคุณกลับมาอยู่”


             คนฟังได้ยินตอบกลับแบบนั้นจึงมีสีหน้าสบายใจขึ้น  แล้วเอนอิงตัวลงบนพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง การเดินทางไกลหลังหนีตายจากเพ็ดซาโมเป็นอันจบลงเพียงเท่านี้…





    ชานเมืองกาจานีเงียบสงัดราวกับเป็นย่านชุมชนร้าง  ทั่วทั้งเมืองถูกหิมะปกคลุมจนเป็นสีขาวโพลน ไม่มีแสงสว่างจากไฟจากสักหลังคาเรือน  ทุกคนที่นี่ต่างรู้ดีว่าทำกิจใดเล็กน้อยแม้ภายในบ้านอาจเป็นการเชื้อเชิญกองทัพโซเวียตที่กำลังรุกรานแข็งขันอยู่ทางตอนเหนือของเมืองในเวลานี้ได้  ทุกคนใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังแม้กระทั่งลมหายใจเข้าออก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาจากเบื้องบนไม่ขาดสาย ท้องฟ้าในยามนี้หมองหม่นเหมือนหัวใจทุกดวงที่เผชิญสงคราม  ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม  พลเรือนหรือทหารที่ออกไปต่อสู้ ต่างได้รับผลกระทบเหมือน ๆ กัน


             “มันไม่จบเพียงเท่านี้แน่  ต่อให้เรายอมจำนนยกดินแดนบางส่วนให้แต่โดยดีทีหลัง  การเมืองจะทำให้เราเข่นฆ่ากันอีกครั้ง”


             มหาสงครามครั้งที่สองอุบัติอีกครั้ง  เมื่อเยอรมันฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายและเริ่มเดินหน้ารุกรานประเทศโปลแลนด์ ในเดือนกันยายน ปี1939  ฮิตเลอร์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเกรียงไกรและสถาปนาเยอรมันเป็นจักรวรรดิไรซ์ที่สาม ลัทธิชาตินิยมกระพือปีกสไว  อังกฤษและฝรั่งเศสต่างประกาศสงครามกับเยอรมันและประเทศที่เข้าฝ่ายเยอรมัน รัสเซียในเวลานี้เองก็เริ่มระส่ำระสายเมื่อผลประโยชน์ไม่อาจปันส่วนได้อย่างลงตัวกับสหายเยอรมันอีกต่อไป  นั่นหมายถึงสัญญาณแห่งการแย่งชิงในเวลาต่อมา และฟินแลนด์คือป้อมปราการตั้งรับด่านแรกชั้นดี   เพื่อคุ้มครองเลนินกราดที่อยู่ห่างชายแดนฟินแลนด์ออกไปเพียงสามสิบสองกิโลเมตรจากกองทัพจักรวรรดิไรซ์ที่สาม


             “ไม่มีทางอื่นเลยหรือครับ”  โจแนสถามอัซตินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  เสียงรายงานจากวิทยุที่รับคลื่นมาจากเมืองใหญ่เฮลซิงกิรายงานสภาพการรบที่ตั้งรับตามแนวชายแดน  สลับกับข่าวสารในแผ่นดินในยุโรปที่กำลังลุกเป็นไฟ  ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดขาดไปเมื่อลมวูบหนึ่งพัดกระแทกเข้ามาใส่หน้าต่างดังตึง  ทั้้งสองที่กำลังตั้งใจฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่


              “ตอนนี้อะไรก็แย่ไปหมด  ฉันไม่สามารถเดาทิศกระแสได้เลยโจแนส”


             อาจารย์ของเขาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม  อัซตินหรี่ตาลงด้วยสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา  ชายชราใช้มือลูบเคราสีเงินขณะเม้มริมฝีปาก  เดินไปเดินมาอยู่ในระยะจำกัดอย่างเนิบนาบ  โจแนสมองอิริยาบถที่ขยับไหวของชายชราผู้นั้นตลอด   ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเครียดไม่ต่างกัน  หลังจากหนีตายมาจากเพ็ตซาโมได้  เขาก็รีบกลับมาที่กาจานีทันทีเมื่อทราบว่าข้าศึกมาประชิดเมืองแล้ว


            “ฟินแลนด์พยายามทำตัวเป็นกลาง  เพราะก่อนหน้าเราก็บอบช้ำมาจากสงครามสเปนแล้ว  แต่ก็โดนบีบอยู่ดี เรายกพื้นที่ให้ตามที่พวกรัสเซียขอหมด  แต่เราไม่อาจยกเกาะฮังโกให้พวกมันได้ ไม่จำเป็นต้องใจดีขนาดนั้นให้พวกมักมาก  จนสุดท้ายถึงได้รู้ว่าเจตนาคือการยึดแผ่นดินทั้งหมดของพวกเรา  สามอาทิตย์แล้วที่เราต้องสูญเสียเพื่อนร่วมชาติไป  อัซตินผมยอมไม่ได้  ไม่เลย”


             อัซตินหันมาสบตาของเขา  ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยโอนอ่อนลงเมื่อนึกถึงการสูญเสียที่ผ่านไปทุกวินาทีอยู่ในเวลานี้  สงครามไม่เคยมีอะไรดี  เอกราชซึ่งแลกมาด้วยความสูญเสียที่ทำให้คนรอคอยอยู่เบื้องหลังต้องน้ำตานองหน้า


              “เขาทำตามหน้าที่  เหมือนเธอโจแนส”


              สีหน้าของโจแนสแข็งกร้าวขึ้น  ขอบดวงตาแดงทั้งสองร้อนผ่าว เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน  ภาพที่นิคตายไปต่อหน้าต่อตายังฝังลึกอยู่ในความทรงจำและกลายเป็นฝันร้ายของเขาทุกค่ำคืน  เสียงปืนคำรามลั่นทั่วผืนป่าในวันนั้นยังชัดเจน  เพราะมันเกิดขึ้นโดยคนทรยศ


             “ผมไม่เคยรู้สึกกลัวเมื่อตระหนักว่าต้องตายในหน้าที่”  ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความกล้ำกลืน “แต่ผมกลัวความตายที่มาจากน้ำมือไอสารเลวหักหลังเพื่อน!”


              ชายหนุ่มลุกถลันจากเก้าอี้  เขากำมือแน่น ลมหายใจหนักหน่วงเข้าออกเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ  คับแค้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อัซตินจ้องใบหน้าศิษย์อย่างเห็นใจ  หลังจากรอดตายมาได้  โจแนสก็ต้องมารับรู้ว่าการิ  เพื่อนพลทหารได้แปรพักต์ไปเข้าร่วมกองทัพโซเวียต  คอยรายงานสถานการณ์ทุกอย่างในกองทัพฟินแลนด์ให้ศัตรูรู้และส่งคอยชี้จุดให้รัสเซียส่งพลกำลังมาสังหารได้ทุกครั้ง  ที่ไม่อาจต้านทานศึกได้ที่เพ็ตซาโมส่วนหนึ่งก็เพราะผู้ชายคนนี้


             “การิ… หมอนั่นไม่ได้ถอดลูกกระสุนออกจากปืน  ทั้ง ๆ ที่ผมได้ยินผู้หมวดรีอาริสั่งให้ตั้งแต่ระดับพลทหารทุกนายลงไปเก็บลูกกระสุนไว้กับตัว  เพื่อป้องกันปืนลั่นเป็นจุดชี้เป้าขณะเดินทาง เรารู้ว่าไม่อาจต้านทานที่นั่นได้อีกแล้ว  จึงต้องแบ่งกองกำลังที่ยังมีใจสู้มาสมทบที่แลปแลนด์เป็นสองกลุ่ม  แล้วเดินคนละฝั่งป่าสนอาร์กติก  เพื่อกระจายกำลังพล  นิคกับการิอยู่กลุ่มเดียวกัน  ตอนที่พวกนั้นไล่ยิงเรา นิคบอกผมว่าการิปืนลั่น   นั่นน่ะ  เขาจงใจ”


             การิคงคิดว่าไม่มีใครรอดไปจากตอนนั้นได้  แต่คนทรยศคิดผิด  เมื่อมาเจอเขาที่กองพลน้อยของร้อยเอก อิโร คุยติเนน  ในทีแรกเขาสงสัยว่าทำไมการิไม่กล้าสบตาเลย  และไม่ยอมพูดคุยด้วย กระทั่งนอนครุ่นคิดในค่ำคืนวันที่สอง  เรื่องราวทั้งหมดก็ได้ประกอบเข้าด้วยกันจนเข้าใจแจ่มแจ้ง


             ไม่มีวันปล่อยให้คนเลวลอยนวลอีกต่อไป  เช้าวันต่อมาเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้อิโรฟัง  การสอบสวนพลทหารการิจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่หลังมื้ออาหารเช้าจวบจนเวลาบ่ายสามโมง  จากนั้นทุกคนในกองพลน้อยได้ยินคำสั่งของผู้กองอิโรว่าให้ยิงเป้าทิ้งทันที  การิสารภาพหมดเปลือก  ที่เขาทำไปก็เพราะได้เงินหนุน  และทหารโซเวียตจะไม่ฆ่าเขา   ปิดฉากคนทรยศชาติ  คนกลัวตายได้รับความตาย  ปณิธานแน่วแน่ว่าเขตแลปแลนด์จะไม่เป็นเช่นนั้นอยู่ในกายทหารร้อยเอกอิโรอย่างแรงกล้า


             “หมวดอีราริช่วยผมเอาไว้  จนตัวเองต้องตาย  ในขณะที่ผมได้แต่หนีอัซติน   มันไม่น่าให้อภัยเลย”


              โจแนสก้มหน้าร้องไห้  สองมือปิดหน้าที่กำลังอาบความโสมนัสระทม  ภาพสุดท้ายที่เห็นคือบุรุษทหารผู้นั้นตะโกนบอกให้เขาหนีไปสุดเสียง  เป็นคำสุดท้ายก่อนจากลาตลอดกาล   ส่วนนิคเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำลาเช่นกัน ทั้งสองคนจากไปเร็วเหลือเกิน


             “การที่เธอถูกปกป้อง  ไม่ได้หมายความว่าต้องมานั่งเสียใจให้คนตายไปแล้วนะโจแนส   ตั้งสติแล้วนึกถึงสิ่งที่กำลังตั้งใจทำหน่อย”


             อัซตินเตือนสติชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงขึงขัง  จากนั้นจึงค่อยผ่อนอารมณ์ลง  ชายชราเดินไปแตะลาดบ่าที่กำลังสั่นไหว  ลูกศิษย์ที่รักเพิ่งเผชิญหน้ากับสงครามมาเขาไม่ควรทำให้คน ๆ นี้ต้องรู้สึกย่ำแย่มากขึ้นอีก  เพราะสิ่งที่ควรทำที่สุดตอนนี้ก็คือการปลอบโยนและให้กำลังใจ


             “คนที่ยังมีลมหายใจก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป  อย่าให้ชีวิตหนึ่งที่ต่อให้เราต้องสูญเปล่า  จงใช้ชีวิตนี้เพื่อปณิธานของตัวเองโจแนส”


              โจแนสพยักหน้ารับคำอัซติน  เสียงสะอื้นไห้ยังคงดังอยู่แต่แผ่วลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สงบลง  เชกเช่นเดียวกับลมพายุหิมะข้างนอก  แสงแรกในรอบหลายสัปดาห์หลังจากถูกความหนาวเหน็บพรากไปได้สาดส่องลงมากระทบบ้านผู้คน  หาบห่มความอบอุ่นไปทั่วเมืองกาจานี่ที่ห่อหุ้มด้วยผืนหิมะ  นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้  โจแนสเงยหน้าขึ้นก่อนจะหยีตาเมื่อต้องแสงสว่าง


              “อัซตินผมขอไปดูที่นั่นได้ไหม”  ชายหนุ่มถาม  สายตาเหม่อมองไปยังใจกลางสมรภูมิซึ่งห่างออกไปไกล  เขาเห็นสายควันเล็ก ๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปบนฟ้าจากตรงนั้น  ก่อนจะถูกสายลมพัดมาพร้อมหิมะทำให้ภาพตรงนั้นพร่าเบลอไป


             หัวใจของเขาสงบลงแล้ว  แต่ที่แห่งนั้นยังไม่


             “ไปสิ  ไปทำหน้าที่ของเธอต่อ”


             หน้าที่ของเขาคือรักษาชีวิตผู้คน  ไม่ใช่เฉพาะทหารที่มีหัวใจสะชีพเพื่อชาติ  แต่ทุกชีวิตที่บริสุทธิ์ นั่นแลปณิธานของชายหนุ่มที่บอกกับตัวเองเมื่อครั้งตั้งใจจะเป็นแพทย์  เขาศรัทธา ว่าการต่อลมหายใจคือความหวังอย่างหนึ่ง เพื่อที่คนเหล่านี้จะได้กลับมาอยู่กับคนที่ตัวเองรักอย่างมีความสุข  


             การอยู่ด้วยกันนั้น  คือความสุขอย่างแท้จริง


            โจแนสตรงไปหยิบเสื้อโค้ทพร้อมผ้าพันคอที่แขวนไว้ตรงเสามาใส่เตรียมความพร้อม  สวมบูทพื้นแหลมที่ใช้สำหรับเดินลุยหิมะและไม่ลืมสัมภาระประจำกาย   ชายหนุ่มสะพายมันขึ้นด้วยแรงแบกสองบ่า  ก่อนจะหันไปหาอัซตินที่ยืนส่งยิ้มให้ตัวเองอยู่


             “ไปนะครับ”


             อัซตินพยักหน้า


             “โชคดี”





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in