สัปดาห์แรกของเดือนกรกฏาคมเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับโจทย์การทำงานครั้งใหม่
ข้อความจากกรุ้ปแชทฝึกงานเด้งขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง เป็นข้อความจากพี่เน็ท
พี่เน็ทส่งลิ้งค์บทความจากเว็บไซต์เว็บนึงมาให้ เป็นบทความภาษาอังกฤษชื่อว่า
30 Books You Need to Read to Earn 'Well-Read' Status
พร้อมกับฝากให้เรากับเนยช่วยเอาเนื้อหาจากบทความที่ว่ามาทำเป็น content ในครั้งนี้
โดยมีโจทย์คือปรับเนื้อหาให้ถูกจริตกับคนไทย และลองคิดดูว่าจะเปลี่ยนคำว่า well read
เป็นคำว่าอะไรได้บ้าง
เนื้อหาในบทความเป็นการพูดถึงหนังสือ 30 เล่มที่เมื่ออ่านแล้ว จะช่วยเปลี่ยนสถานะให้เรากลายเป็นนักอ่าน well read โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ของหนังสือออกเป็น 9 หมวดแตกต่างกันออกไป มีทั้งหมวด Western classic / Non-western classic / Sci-fi / Dystopia / Popular / Great american novels / Science fiction and fantasy / Literary Heavy Hitters / Immigrant Experience และ Satire
รวมทั้งหมด 30 เล่ม
ตอนแรก เราคิดว่างานครั้งนี้ไม่น่าจะยากเท่าครั้งก่อน และคิดไว้ว่าน่าจะใช้เวลาน้อยว่าที่ผ่านมา
เพราะเรามีเนื้อหาอยู่ในมือแล้วเรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำต่อไปมีแค่การอ่านบทความที่ได้มาให้เข้าใจ นำมาเล่าใหม่ในภาษาของเรา และออกแบบกราฟฟิกในการนำเสนอเท่านั้น
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบที่เราคิด
งานชิ้นนี้กลับกลายเป็นงานที่ใช้เวลานานมากพอ ๆ กับสองงานที่ผ่านมาเลย
เริ่มต้นตั้งแต่การหาคำใหม่ที่จะนำมาใช้แทนคำว่า well read เราจุ้มปุ้กกันอยู่นานสองนาน
พยายามเค้นออกมาว่า well read มันควรจะแทนด้วยอะไรได้บ้างนะ
จะให้แปลจากชื่อบทความต้นฉบับ จากคำว่า to Earn Status ไปเป็น ยกสถานะ
ก็ดูจะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดและมีความ offensive อยู่ค่อนข้างมาก
( ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทุกคนในทีมเห็นตรงกันว่า ถ้าใช้คำว่ายกสถานะ / ยกระดับ
จะดูเป็นการแบ่งชั้นให้คนอ่านมากเกินไปหรือเปล่านะ เพราะเราทุกคนคิดว่าการอ่านเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ และต่อให้ไม่ได้อ่านหนังสือในบทความจนครบ ทุกคนก็เป็นนักอ่านที่ดีได้ทั้งนั้น )
เนยกับเราคิดแล้วคิดอีก เพราะไม่อยากทำให้ content ที่กำลังจะเกิดขึ้น
กลายเป็น content ที่ทำให้ใครหลายคนอ่านแล้วรู้สึกแย่
ระหว่างนั้นมีหลายคำที่คิดออกแต่ก็ต้องปัดตกไป ด้วยเหตุผลเดียวกัน
จนกระทั่งวันประชุมเพื่ออัพเดตงานชิ้นนี้เดินทางมาถึง เราเสนอคำใหม่ที่คิดกันไว้ทั้งหมดให้พี่โจ้กับพี่เน็ทฟัง พร้อมบอกเหตุผลที่เราไม่ใช้คำเหล่านี้มาเป็นคำก็อปปี้ในคอนเทนต์
พี่โจ้กับพี่เน็ทเห็นด้วยกับเราสองคนว่าการใช้คำเหล่านั้น
ในบางมุมก็ดูเป็นการ lable หรือแปะป้ายให้คนอ่านมากเกินไป
เราสองคนเลยกลับมาคิดกันใหม่อีกรอบ พร้อม ๆ กับการคิดรูปแบบคอนเทนต์
ตอนนั้นเรากับเนยคิดกันว่าอยากทำออกมาในรูปแบบของ challenge สั้น ๆ 30 วัน
ชวนคนอ่านมาอ่านหนังสือวันละเล่ม
และใช้คำโปรยว่า '30 day challenge อัพเลเวลเป็นนักอ่านพรีเมียม'
แล้วก็ออกมาเป็นกราฟฟิกแบบนี้
แต่ระหว่างนั้นก็มีการถกกันเกิดขึ้นอีกครั้ง เรารู้สึกว่าคำว่าพรีเมียมจริง ๆ มันก็แอบแบ่งชั้นเหมือนกันนะ
พอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเนย เนยก็คิดแบบเดียวกัน เราสองคนก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนคำก็อปปี้อีกรอบ ( และอีกรอบ ) จนมาจบที่คำว่า นักอ่าน MVP
เราใช้คำว่า MVP เพราะเป็นคำศัพท์ที่ใช้ในวงการกีฬา หมายถึงผู้เล่นที่เล่นได้ยอดเยี่ยมที่สุดประจำเกมนั้น ๆ ซึ่งฟังดูแล้วไม่ offensive เพราะเป็นเหมือนการให้รางวัลตัวเองมากกว่าการเปรียบเทียบกับใคร
แถมยังสอดคล้องกับรูปแบบของคอนเทนต์ที่เราตั้งใจไว้ว่าจะทำเป็น Challenge ก่อนหน้านี้ด้วย
กราฟฟิกและคำก็อปปี้ที่ออกมาเลยเป็นแบบนี้
ฟีดแบ็คที่ได้รับหลังจากเราอธิบายให้พี่โจ้กับพี่เน็ทฟังระหว่างการประชุมงานว่า MVP หมายถึงอะไร
คือ พี่โจ้ตั้งคำถามกลับมาว่า ถ้าเราต้องมานั่งอธิบายว่า MVP หมายถึงอะไรให้คนที่อ่าน content เข้าใจ
แล้วทำไมเราไม่ใช้คำว่า well read ไปเลยล่ะ เพราะยังไงก็ต้องเอามาแปลเหมือนกัน
เด็กสองคนก็เลย เอ้อ จริงด้วยเนอะ เท่านั้นก็เป็นอันเข้าใจกันว่า MVP ถูกปัดตกไปอีกรอบ
และเราสองคนที่ยอมแพ้ ต้องกัดฟันกลับมาใช้คำว่า well read เหมือนตอนแรกจนได้ ( ฮืออ )
บวกกับคอมเมนท์เรื่องกราฟฟิกที่ได้รับมา รวมถึงรูปแบบของตัวกิจกรรมที่อาจจะทำได้ยากเกินไปสักหน่อยภายในเวลาจำกัดแค่ 30 วัน ทำให้เราต้องเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมด
เรานั่งคิดต่อกันอยู่นาน เพราะไม่อยากจะทิ้งรูปแบบ content แบบเชิญชวนให้คนอ่านมาทำ challenge ไปด้วยกัน พี่ ๆ ทั้งสองคนก็ช่วยเราคิดเต็มที่ แต่คิดยังไงก็ยังไม่เวิร์คสักที เราเลยตกลงกันใหม่ว่า
ถ้าเสียดายไอเดียนี้ก็ไม่เป็นไร ทดเอาไว้ในใจก่อน เราอาจจะได้เอามาใช้ในการทำ content ครั้งหน้าก็ได้ ( และใครจะรู้ว่าสุดท้ายก็ได้เอามาใช้ใน content อื่นจริง ๆ ด้วยนะ )
เราสองคนเลยตัดสินใจเก็บไอเดียในครั้งนี้พับเก็บไว้ก่อน
และเริ่มลงมือทำกราฟฟิกและคิดรูปแบบใหม่ให้ง่ายขึ้นแทน
เราตัดสินใจจะนำเสนอเหมือนเราเป็นตัวแทนของเพื่อนนักอ่านที่เข้าไปสำรวจตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
แล้วเจอบทความที่ว่า และเห็นว่ามันน่าสนใจก็เลยอยากเอามาเล่าให้คนอ่านฟัง
จนในที่สุด ก็ออกมาเป็นโพสนี้จนได้
บทเรียนที่สามสำหรับการทำงานชิ้นนี้คือ :
ไม่ว่าจะทำอะไร จงคิดให้รอบคอบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in