……….
ตอนที่ 7 : นี่แค่ขึ้นบันไดนะเนี่ย
“จะเดินไปไหนอีก บันไดมันอยู่ตรงนี้” ผมถาม เมื่อเห็นมันทำท่าจะเดินเข้าไปอีก
“อยากรู้ว่าข้างในมันมีอะไรน่ะสิ ไม่อยากมาเซอร์ไพรซ์ตอนหลังว่ะ” ริกตอบ ก่อนก้าวขึ้นบันไดหนีไฟที่อยู่ข้างๆร้าน
“รีบไปเอาของแล้วออกจากตรอกบ้านี่เถอะ น่ากลัวชิบ !” ผมพูดจับราวบันไดที่เต็มไปด้วยสนิมที่เขรอะไปทั่ว จนไม่รู้แล้วว่าสีเดิมของมันเป็นอย่างไร
ผมก้าวอย่างรีบร้อนเพราะรู้สึกระแวงหลังแปลกๆด้วยตรอกมีทั้งกลิ่นอับชื้นและน้ำเน่าเสียขังตามพื้น ระหว่างทางที่เข้ามาก็เจอถังขยะที่ข้างในมีแต่ศพพวกซอมบี้นอนกองเกือบสิบตัวอีกทั้งยังมีรอยเลือดยาวเป็นทางหายเข้าไปในความมืดอีก
“ประตูล็อกเหมือนเดิม ลองงัดดูซิ” ริกพูดเมื่อตนลองเปิดประตูชั้นสองดูพบว่ามันล็อก
“ส่องไฟมาที่ประตูดิ แล้วดูหลังให้ด้วย” ผมหยิบมีดขึ้นมาสอดเข้าไประหว่างช่องประตูออกแรงงัด ผมงัดอยู่สักพักจนมีเสียง ครึ่ก ! ของกลอนประตูจึงแน่ใจว่าครั้งนี้แหละได้เข้าสักที
แต่เมื่อผมลองบิดลูกบิดกับเปิดไม่ออกซะงั้นทั้งๆ ที่ก็หมุนเปิดได้แล้วผมจึงส่องไฟเข้าไประหว่างช่องประตูก่อนจะพบว่ามันมีอะไรมาดามขวางไว้ ทำให้ไม่สามารถเปิดประตูได้
“ไอริก” ผมเรียกเมื่อเห็นว่าแสงไฟของมันตอนนี้ไม่ได้ส่องอยู่ที่บานประตูแล้ว
“ชู่วววว !” ริกสะกิดผมพร้อมบอกให้เงียบก่อนชี้ไปยังพื้นข้างล่างที่เราเพิ่งขึ้นมาตะกี้ก่อนที่ผมจะเห็นว่าสิ่งที่มันฉายไฟอยู่มันคือกลุ่มซอมบี้ขนาดย่อมไม่ต่ำกว่าสิบตัว
“แล้วจะส่องไฟลงไปหาอะไรเล่า !” ผมรีบดึงมือมันขึ้นมา
“โทษที ช็อคกับภาพที่เห็นน่ะ แล้วเมื่อไรจะเปิดประตูได้เนี่ย” ริกถาม
“มันมีคนมาดามประตูไว้ข้างในอ่ะดิ จะให้ทำไงล่ะ” ผมตอบ
“มีอยู่สองทางไม่ขึ้นก็ลง” ริกเสนอ
“มึงยังจะบอกว่ามีสองทางอีกหรอ เห็นๆ อยู่ว่ามันมีแค่หนึ่งเนี่ย”
“งั้นก็ขึ้นข้างบนกันเถอะ” กรึ้ง ! “อุ่ย เสียงไรอ่ะ” ริกเพียงแค่เหยียบขั้นบันไดแรกก็ดันเกิดเสียงเหล็กทรุดหรืออะไรซักอย่างซึ่งดังพอจะทำให้ซอมบี้ข้างล่างได้ยินและแห่กันขึ้นมาได้
“ไม่รู้เว่ย ! ไม่ต้องเดินมันแล้ว วิ่ง !” ผมตะโกน เมื่อเห็นซอมบี้มันวิ่งขึ้นบันไดตามเสียงกรึ้ง เมื่อครู่
ผมรีบวิ่งตามไอริกขึ้นข้างบนเนื่องด้วยบันไดมันเป็นบันไดเก่าทำให้ทุกครั้งที่เท้าวางบนขั้นบันไดจะต้องมีเสียง กรึ้ง กรึ้ง ของตัวเหล็กที่ยึดบันไดไว้กับตัวตึก
พวกเราวิ่งขึ้นมาบนชั้น3 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าของอาคาร แต่ก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นเหล่าซอมบี้ที่วิ่งขึ้นมาได้แม้ว่ามันจะเร็วไม่เท่าพวกเราก็เถอะ ผมรีบฉายไฟฉายไปทั่วบริเวณว่าสภาพเป็นอย่างไรและมีทางลงหรืออะไรที่จะทำให้เรารอดออกไปจากตรงนี้ได้บ้าง
“เอาไงดีวะ?” ริกถามน้ำเสียงร้อนรน ส่องไฟลงไปยังกลุ่มซอมบี้ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งใกล้ขึ้นมายังจุดที่เรากำลังยืนอยู่เต็มที
“มึงไปหาทางลงไป เดี๋ยวหาวิธีหยุดพวกมันเอง” ผมบอกให้ริกไปหาทางลงก่อนคิดว่าจะทำไงดีแต่ก็คิดอะไรไม่ออกผมจึงตัดสินใจควักปืนออกมาจากเป้ ยิงใส่ซอมบี้ไปสองสามตัวที่ขึ้นมาถึง
“เฮ้ย ! จะบ้ารึไงเดี๋ยวก็แห่กันมามากกว่านี้หรอก” ริกตะโกน ขณะกำลังหาวิธีของมันอยู่ ซึ่งยังดีที่มีแสงจันทร์ซึ่งทำให้ผมสามารถเห็นมันได้รางๆกับวงกลมไฟอันเบ้อเร้อของมันที่เที่ยวส่องไปทั่ว
“เอาตอนนี้ให้รอดก่อนเถอะ !” ผมตะโกนบอกมัน คิดหาทางถ่วงเวลาต่อในใจก็ไม่อยากจะใช้ปืนเท่าไร ด้วยกระสุนที่มีจำกัด และสุดท้ายที่ผมคิดออกก็คือ
ผมออกแรงสุดตัวในการถีบที่ยึดบันไดที่ติดอยู่กับตัวตึกเพื่อหวังว่ามันจะหลุดโดยง่ายเพราะเห็นว่าสภาพมันค่อนข้างเก่าแล้วถ้าจะใช้ปืนจริงๆ พวกมันก็ยังมีเยอะเกินกว่ากระสุนที่ผมมีตอนนี้ เมื่อซอมบี้เริ่มแห่เข้ามาผมก็ได้แต่ถีบมันตกบันไดลงไปก่อนจะค่อยๆถีบที่ยึดต่อไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเสียงดังไปทั่ว กึ้ง กึ้ง กึ้ง.... !
“จะบอกให้เขารู้กันใช่มั้ยว่าเราอยู่กันบนนี้น่ะ” ไอริกตะโกนถามพร้อมกับวิ่งมาหา
“เจอทางออกแล้วรึไง ?” ผมถามขณะออกแรงถีบที่ยึด
“น่าจะลงไปได้แหละมันมีกระจกที่เอาไว้ให้แสงส่องเข้าไปได้ตอนกลางวันอยู่แถวๆตรงนั้นน่ะ” ริกตอบ ส่องไฟไปยังบริเวณโต๊ะและเก้าอี้ที่วางระเกะระกะอยู่และเห็นเหมือนกระจกที่นูนออกมาบนพื้นสำหรับให้แสงส่องลงไปสว่างได้ตอนกลางวันเพื่อประหยัดไฟ
“เยี่ยม !” ผมพูด
ระหว่างที่ผมกำลังใช้แรงเท่าที่มีในการทำให้ตัวยึดหลุดริกก็ช่วยจัดการซอมบี้ที่วิ่งขึ้นมาให้โดยการใช้ท่อนเหล็กฟาดเข้าที่หัว
“รีบๆ หน่อยดิวะ ไออ๋อง ! บอกตรงๆ นะถ้านานกว่านี้กูหวดต่อไม่ไหวแล้ว” ริกพูด
“ถ้ามึงหวดไม่ไหว กูก็คงเดินไม่ไหวละแหละ !” ผมตอบ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราสองคนเสร็จพวกซอมบี้ที่แห่มาไม่หยุดหย่อนแน่
ผมตัดสินใจใช้ปืนจ่อไปที่ตัวยึดและยิงจนมันหลุดออกจากตัวตึกทำให้บันไดโอนเอนและกำลังจะล้มลง ผมรู้สึกว่าตัวเองน่าจะทำตั้งนานแล้ว
“เฮ่ย เฮ่ย ! ทำอะไรบอกก่อนเด้ ! ถ้ากูตกไปพร้อมกับพวกมันทำไงเนี่ย” ไอริกตะโกนก่อนจะกระโดดออกจากบันไดที่ทำท่าจะพังขึ้นมานอนแผ่อยู่บนพื้นดาดฟ้า
“แล้วไม่เห็นรึไงว่าถือปืนอยู่”
“นี่กูผิดอีกใช่มะ ! นึกว่ามันสว่างมากนักดิ” ไอริกตะคอกก่อนลุกขึ้นนั่งพักเมื่อตนเกือบกระโดดกลับขึ้นมาไม่ทัน
“โอย ขากู” ผมร้องครวญเบาๆเดินไปเก็บไฟฉายที่ตกอยู่กับพื้นก่อนสำรวจกระสุนปืนว่ายังเหลืออยู่อีกกี่นัด
“เหลืออยู่เท่าไร” ไอริกถามเมื่อเห็นว่าผมถอดซองกระสุนออก
“เหลืออยู่ 14 นัดเอง” ผมตอบ
“หวังว่าข้างล่างนี่มันจะคุ้มกับการเสี่ยงตายของเรานะ” ริกว่าพลางลุกขึ้นเดินนำผมไปยังจุดที่มันบอกว่าสามารถลงไปข้างล่างได้
“ว่าแต่เราจะลงไปยังไงล่ะ” ผมถาม
“มันจะไปยากอะไรวะ ก็นี่ไง” ไอริกยกเก้าอี้ไม้ตัวเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาก่อนฟาดลงกระจกจนแตกกลายเป็นช่องว่างมากพอที่ผมกับมันจะสามารถกระโดดลงไปได้
“ตอนนี้ปัญหาก็คือใครจะลงไปก่อน” ริกพูดขึ้น
ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ ส่องไฟลงไปยังห้องข้างล่าง พบว่ามันเป็นชั้นเก็บของมากกว่าเพราะรอบๆห้องมีแต่ชั้นวางของที่เต็มไปด้วยกล่องกระดาษลังมากมายวางอยู่ซึ่งชั้นต่างๆ ตั้งเรียงกันคล้ายกับห้องสมุด
“เฮ้ยๆ !” ผมสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ร่างกายมันเหมือนจะตกลงไป
“ฮ่าฮ่า ! สะดุ้งๆ” ไอริกหัวเราะอย่างสะใจหลังจากที่มันผลักเบาๆเพื่อแกล้งผม
“ตลกเหลือเกิ๊น !”
“ขำๆ น่า ว่าแต่ข้างล่างเป็นไงมั่ง” ริกถามพลางชะโงกหน้าลงไปดูบ้าง
“ไม่น่ามีอะไรแปลก แต่ก็ต้องระวังไว้หน่อย มันต้องมีคนหรืออะไรแน่ๆ ไม่งั้นมันคงไม่มีไม้มาดามประตูไว้หรอก”ผมว่า
“ก็จริง แล้วมึงพร้อมจะลงไปรึยังล่ะ”
“กูบอกตอนไหนวะว่าจะลง” ผมย้อนถามเมื่อมันมาโบ้ยหน้าที่ให้ซะงั้น
“มึงน่ะแหละต้องโดด เพราะเป็นคนที่ทำให้เราโดนซอมบี้ล้อมอยู่ทั่วตึกอีกทั้งยังทำให้เราเสียกระสุนที่จำเป็นไปอีก” ริกแจงเหตุผล
“แหม...โทษกูอย่างเดียวเลยนะ ลงก็ได้วะ มึงจะได้รู้ไปเลยว่าความมืดน่ะมันทำอะไรกูไม่ได้หรอกเว่ย” ผมพูด
“งั้นก็ลงไปสิ ยืนรออะไรอยู่”
“ขอทำใจหน่อยดิวะ มันสูงนะเว่ย” ผมกระชับเป้ให้มั่น เช็คว่ามีดยังเหน็บอยู่ข้างเอวหรือเปล่าก่อนจับไฟฉายในมือขวาให้มั่นคง มองลงไปข้างล่างอีกสักรอบเพื่อทำใจ
“เอาก็เอาวะ !” ผมพูดให้กำลังใจตนเอง ก่อนกระโดดลงไปข้างล่างซึ่งเพดานสูงจากพื้นสัก2เมตรกว่าได้
เมื่อเท้าถึงพื้นผมย่อเข่าลงเพื่อลดแรงกระแทกก่อนม้วนตัวกับพื้นเหมือนในหนังพร้อมยกไฟฉายขึ้นมาส่องไฟไปข้างหน้าทันที ผมพยายามเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรรอผมอยู่บ้างผมเดินสำรวจชั้นวางของต่างๆ ทุกล็อก ทุกช่อง ที่ตัวผมสามารถจะเข้าไปได้อย่างระมัดระวังผมเดินหันหลังให้กับประตูขึ้นลง เดินจนสุดหน้าต่างกลมบานใหญ่ซึ่งอยู่ใจกลางกำแพงของชั้นสองมันทำให้ผมสามารถมองภายนอกได้อย่างชัดเจนถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม
ผมเพิ่งละสายตามาจากหน้าต่างจึงมองเห็นว่าข้างๆผมมีห้องที่ทำด้วยตะแกงเหล็กอยู่ภายในเป็นอาวุธปืนต่างๆ และกล่องกระสุนอีกหลายสิบกล่อง
“แม่เจ้า นี่สิถึงเรียกว่าสวรรค์” ผมพูดกับตัวเองอย่างตื่นเต้น ลองผลักบานประตูซึ่งแน่นอนว่ามันล็อคอยู่เพราะผมเห็นมันถูกใส่แม่กุญแจไว้
ตุ้บ !
“ลงมาได้สักทีนะ” ผมพูด ส่องไฟฉายไปยังจุดที่เกิดเสียง
แต่แทนที่ผมจะได้ยินเสียงตอบกลับดันกลายเป็นว่าทุกอย่างเงียบเชียบ ผมส่องไฟหาที่มาของเสียงแต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ในห้องนี้เลยนอกจากผมเกิดความวิตกขึ้นทันที คิดได้ดังนั้นผมจึงมองขึ้นไปยังช่องที่ผมกระโดดลงมาก่อนตะโกนขึ้นไปว่า
“เฮ้ย ! รออะไรวะรีบๆ ลงมาเด้” เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับทำให้ผมแน่ใจอยู่สองอย่างก็คือไม่ไอ้ริกแกล้งก็ต้องมีอะไรในบ้านนี้แน่ๆเพราะเสียงหล่นเมื่อกี้คงไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ
ผมส่องไฟไปยังประตูที่อยู่ข้างหน้าก่อนพบว่ามันมีสองบานก็แปลว่ามันต้องมีประตูนึงที่เอาไว้ขึ้นดาดฟ้าแน่ๆ กับอีกบานนึงเอาไว้ลงไปยังชั้นล่าง
ผมตัดสินใจเปิดประตูขึ้นดาดฟ้าก่อนเพราะเดาว่าไอริกมันคงลงมาทางนี้แล้วหลอกให้ผมโดดลงมาแน่ๆแต่จะเปิดออกไปกลับพบว่ามีไม้ดามเอาไว้เหมือนกับประตูบานข้างล่างที่ผมเจอเด๊ะๆจึงรู้ว่าตนเองคิดผิด แต่ด้วยความคิดที่ว่าอยู่ดีๆ มันก็หายเงียบไปซะอย่างนี้ข้างบนจะมีอะไรหรือเปล่าจึงลองใช้ตัวกระแทกประตูดูสองสามครั้งก่อนพบว่ามันแน่นหนาเกินไปที่ผมจะเปิดได้ด้วยแรงตนเอง
“มึงจะหยุดส่งสัญญาณบอกพวกซอมบี้ได้รึยังว่าพวกเราอยู่ตรงไหนเนี่ย ฮะ? ” เสียงริกดังขึ้นก่อนที่จะโยนบางอย่างลงมาข้างล่างพร้อมกับเจ้าตัวที่กระโดดตามลงมา
“โอย ขากู สงสัยลงผิดท่าแฮะ นี่ ! รู้มั้ยกูไปเจออะไร” มันพูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะหยิบสิ่งที่มันโยนลงมาตอนแรกให้ ผมส่องไฟและเห็นว่ามันคือมีดที่เอาไว้ถางหญ้าหรือพวกเถาวัลย์สำหรับเดินป่า
“กูเจอมันอยู่ใต้โต๊ะข้างๆพอดีทำใจนานไปหน่อยน่ะ” ริกบอก
“กำลังนึกอยู่เลยว่ามึงหายไปไหน ทีนี้เราก็ลงชั้นล่างได้สักทีเผื่อจะมีกุญแจเปิดห้องเก็บปืนด้วย” ผมพูดพร้อมกับเปิดประตูอีกบานออก ส่องไฟลงไปในความมืดของชั้นล่าง
“ชิบหายแล้ว !” ผมอุทานขึ้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้าขณะไฟฉายกำลังส่องกระทบอยู่
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in