……….
ตอนที่ 6 : ย่านการค้าสุดหลอน
“ว่าแต่มึงยังไมได้บอกเลยว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงออกไปฟัดกับพวกซอมบี้ได้ ทั้งๆ ที่พวกมันไม่น่าจะเข้ามาได้” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้
“พอตื่นขึ้นมาไม่เห็นมึง ก็รู้แหละว่าขึ้นไปนอนข้างบน ก็แค่จะเช็คดูว่าล็อคประตูดียังพอเห็นว่ามันไม่ได้ล็อค ใจมันก็อยากจะสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยแต่พอเปิดเท่านั้นแหละยืนเด่นอยู่กลางถนนเลย แล้วมันก็เห็นกูแล้วด้วย” ริกเล่า
“แล้วไมไม่ปิดประตูล่ะ” ผมถาม
“ก็กลัวมันจะส่งเสียง เดี๋ยวไปเรียกพวกมาอีก เลยกะไปจัดการมัน ไหนๆ ก็มีแค่ตัวเดียวแต่ฆ่ามันเสร็จเท่านั้นแหละแห่กันมาจากไหนไม่รู้ จะวิ่งก็ไม่ทันแล้ว แล้วก็ไม่อยากลากพวกมันเข้าบ้านด้วยเลยวิ่งวุ่นกว่าจะฆ่ามันหมด”
“โคตรโหดเลยมึงเนี่ย เฮ้ย ! ดูนั่นดิ” สายตาผมบังเอิญไปเห็นจักรยานที่พิงอยู่กับรั้วไม้หน้าบ้าน
“เจ๋ง จะได้เร็วขึ้นหน่อย นี่ไม่รู้เดินมานานเท่าไรแล้วเนี่ย” ริกว่า เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นมุ่งหน้าไปยังบ้านข้างหน้า
“เสียดายมันนั่งได้คนเดียว” ผมพูด
“แล้วมันมีคันเดียวซะที่ไหนล่ะ มีตรงนั้นอีกคัน” ริกบอกชี้เข้าไปยังโรงรถของบ้านนี้ซึ่งเปิดอยู่ ก่อนจะพบว่ายังมีจักรยานอีกคันหนึ่งจอดอยู่ข้างใน
“โว้วว ! งี้สิมันค่อยคุ้มค่ากับสิทธิพิเศษหน่อย” ผมผลักประตูรั้วไม้เข้าไปในเขตบ้านเปิดไฟฉาย ผมไม่สามารถมองเห็นได้มากนักเนื่องจากแสงจันทร์ไม่สามารถส่องเข้าไปถึงในโรงรถ
ผมค่อยๆ สาดไฟไปยังทุกที่ที่น่าสงสัยในโรงรถ ริกคอยเดินดูแถวหน้าบ้านให้สภาพในโรงรถยังไม่ค่อยเก่าเท่าไร อีกทั้งยังมีแผงเครื่องไม้เครื่องมือช่างเต็มไปหมดผมเดินเข้าไปจูงจักรยานออกจากโรงรถเดินกลับมาหาริก ปรับเบาะให้เหมาะกับตัวเอง
“ทีนี้เราคงไปเร็วขึ้นเยอะเลยล่ะ” ผมพูดระหว่างขึ้นนั่ง
“รีบไปต่อเถอะ” ริกพูดจบก็ปั่นจักรยานนำผมไปบนท้องถนน
พวกเราปั่นผ่านสองข้างทางที่มืดและเงียบสงัดระหว่างที่เราขับมาไม่เห็นวี่แววของพวกซอมบี้ซักตัว จนพวกเราปั่นมาถึงเขตร้านค้าซึ่งอยู่หลังหมู่บ้านแห่งนี้
หลังจากพวกเราเข้ามาในย่านการค้า สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือมันให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในเมืองมากๆสองข้างฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ตึกรามอาคารต่างๆ ตั้งเรียงรายเต็มไปหมด มีตรอกซอกซอยแทบจะทุกที่เป็นภาพที่ขัดกับสนามหญ้าสีเขียวโล่งๆ หน้าบ้าน ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางที่ให้ความรู้สึกสงบเงียบขัดกับเขตการค้าที่นี่ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจราจรที่แน่นขนัดแล้วก็ตาม
แต่ก่อนที่นี่ต้องเป็นเมืองใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรไปมาแน่ๆผมคิดว่าบางทีประตูที่ปิดตายนั่นอาจเป็นหลังหมู่บ้านก็ได้แล้วนี่คงเป็นทางเข้าหมู่บ้านมากกว่า
เอี๊ยดดด !
“เบรกเบาๆ ดิวะ” ผมพูดเตือนก่อนหยุดตามมันตอนนี้พวกเราพากันมาหยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องไฟฟ้าขนาดเล็กร้านหนึ่ง
“ใครมันจะไปรู้ล่ะว่ามันจะดังขนาดนี้ว่าแต่เอาไงต่อ เราจะหาอะไร ?” ริกถาม
“อยากได้อาวุธมากสุดเลยตอนนี้” ผมตอบ
“งั้นเราลองปั่นหาไปเรื่อยๆ ละกันเผื่อจะเจอร้านขายปืนหรือพวกอุปกรณ์เดินป่า”ริกตอบก่อนจะเริ่มปั่นช้าๆ ออกไป
“โอเค แถวนี้ไม่รู้ทำไมมันไม่มีไฟถนนแล้ววะ” หนทางข้างหน้าไม่มีแสงไฟอีกแล้วนอกจากแสงจันทร์ซึ่งก็ไม่เพียงพอจะมองเห็นทุกอย่าง เมื่อผมกำลังอยู่ในเมืองร้างที่มืดสนิทปราศจากแสงไฟ ผมเอาไฟฉายมาทาบกับแฮนด์รถเพื่อส่องทาง เหมือนที่ริกมันทำ
..........
“พวกมันคงไม่คิดหรอกนะว่าจะปั่นจักรยานหานู่นหานี่ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเจออะไรน่ะ” ชายร่างเล็กพูดขึ้น
“เราไม่คิดจะเผยตัวจริงๆ หรอ?” ชายร่างใหญ่ถาม
“คงต้องเป็นงั้นแล้วแหละ ตอนแรกก็กะจะแหย่เล่นๆอยู่หรอกแต่ดันลืมไปว่าย่านนั้นมันมีพวกที่มาก่อนเราอยู่แล้วไอ้พวกนั้นแต่ละคนนี่ตัวโหดทั้งนั้น”
“น่าจะบอกพวกมันตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว มึงก็ดันไปยิงขู่มันเล่นอีก”
“ไอ้คนยุนี่รู้สึกจะเป็นมึงนะไอเอิร์น” ชายร่างเล็กพูด
“ตอนนั้นกูไม่ค่อยได้คิดน่ะ” เอิร์นหัวเราะ
“ตอนนี้เรารีบไปดักรอพวกมันก่อนดีกว่า อย่างพวกมันคงไปหาอาวุธก่อนแหละ”ชายร่างเล็กพูด เดินออกมาจากซอยข้างหลังร้านเครื่องไฟฟ้าพร้อมกับเอิร์นที่ตามมาข้างหลัง
“เดี๋ยวนะ แล้วจักรยานพวกเราไม่ใช้แล้วหรอ?” เอิร์นถาม
“เดินไปเงียบๆ นี่แหละ ขืนปั่นไปพูดไปเหมือนไปเที่ยวแบบพวกมันคงโดนฆ่าตายกันพอดี”
“ก็จริงแฮะ งั้นรีบไปเหอะ เดี๋ยวจะคลาดกันซะก่อน” เอิร์นเดินขนาบข้างเพื่อนของเขาไปตามถนนอันเงียบเชียบและมืดมิดมุ่งหน้าตามเจ้าสองคนนั้นไป
……….
“ เฮ้ย ! ริกร้านนี้น่าจะใช่นะ ”
ผมบอกมันเมื่อพวกเราปั่นมาได้เกือบ 20 นาที เป็นร้านเล็กๆ ไม่มีป้ายร้านแต่มีโปสเตอร์ปืนมากมายแปะอยู่ทั่วกระจกร้านพวกเราหยุดและจอดรถไว้ข้างหน้า ผมเดินไปลองหมุนลูกบิดประตูดูและพบว่ามันล็อคไว้
“ใช้มีดงัดเอาดิอ๋อง” ริกที่ยืนอยู่ข้างๆ แนะนำ
“ก็เหลือวิธีเดียวนี่แหละ” ผมชักมีดจากข้างเอวออกมา เสียบไปยังช่องระหว่างประตู ออกแรงงัด แต่งัดเท่าไรก็ไม่สามารถเปิดได้สักทีจนไอริกต้องขอลองทำมั่งแต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
“สงสัยต้องทุบกระจก” ผมเสนอ
“จะบ้ารึไง พอกระจกแตกจะมีอะไรมาหาเรามั่งก็ไม่รู้”
“งั้นจะเอาไงล่ะ” ผมถามต่อ
“นั่นไง ข้างๆ ร้านมีตรอก อาจมีประตูหลังหรือบันไดหนีไฟก็ได้” ริกนึกขึ้นได้ พร้อมกับส่องไฟฉายไปยังตรอกข้างๆ
“เออว่ะ ทำไมกูมองไม่เห็นวะ” ผมเดินตามริกไปยังตรอกข้างร้าน
“บรรยากาศข้างในใช้ได้เลยว่ะ เหมือนเดินอยู่ในหนังฆาตรกรโรคจิตที่ไล่ฆ่าไปทีละคนๆยังงั้นเลย” ริกพูดขึ้นเมื่อส่องไฟฉายเข้าไปในตรอกตรงหน้า
สภาพที่ผมเห็นเมื่อผมกับริกส่องไฟฉายเข้าไปในตรอกคือพื้นที่เต็มไปด้วยขยะมากมายไม่ว่าจะเป็นเศษไม้หรืออุปกรณ์ต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ทิ้งแล้ว กล่องขยะ ใบปลิว น้ำขังที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าแต่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คงจะเป็นคราบเลือดเป็นทางยาวบนพื้นคอนกรีตที่หายไปในความมืดด้านใน
“กลับไปทุบกระจกเถอะ” ผมพูด เมื่อแสงไฟฉายไม่สามารถส่องเข้าไปถึงข้างในสุดได้
“ลองเข้าไปก่อนก็ได้น่า มันคงไม่มีอะไรหรอกมั้งบางทีเราอาจจะพบทางเข้าที่ไม่ต้องใช้เสียงดังก็ได้นา” ริกพูดด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจนัก
“งั้นมึงนำเข้าไปเลยไอริก กูระวังหลังให้เอง” ผมบอก
“อ๋อง บอกตรงๆ เลยนะ มึงนี่มันโคตรเพื่อนเลยว่ะ” ริกพูดก่อนค่อยๆ ก้าวเข้าไปในตรอกอย่างกล้าๆกลัวๆ โดยมีผมเดินตามอยู่ข้างหลังไม่ห่าง
……….
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in