……….
ตอนที่ 38 : การต่อสู้ครั้งสุดท้าย #2
“ท่านคือ” ลุงอาวุโสพูดขึ้นเหล่ายามพากันเงียบกันหมดไม่รู้ว่ากลัวเพราะมันเป็นหัวหน้าหรือร่างกายที่ล้ำสันขึ้นจนกลายเป็นคนละคนกับหนุ่มรูปร่างผอมคนเดิม ผมรู้สึกว่าตนเองนั้นจนมุมทันทีเมื่อตนอยู่กลางห้อง กลางวงล้อมศัตรูแบบนี้
ปัง ! ผมฉวยโอกาสที่ทั้งห้องเงียบยิงนัดแรกเข้ากลางตัวยามหนุ่มที่อยู่ใกล้ผมที่สุดก่อนบิดตัวเตะอีกคนไปกระแทกกับตู้เหล็กข้างหลังก่อนรีบดึงปืนจากข้างตัวคนที่ผมเตะไปมาถือไว้
“อย่าขยับ !” ผมตะโกนลั่นก่อนจะชี้ปืนทั้งสองกระบอกไปยังลุงและผู้บริหารที่ยืนพิงประตูพลางยิ้มร่าอย่างสบายใจ ผมพยายามคิดหาทางเอาตัวเองออกไปจากจุดนี้ให้ได้ก่อนสังเกตเห็นว่าข้างหลังลุงเป็นประตูลงไปข้างล่าง ดูเหมือนลุงแกจะรู้ว่าผมคิดอะไร แกหยิบปืนของแกขึ้นมาก่อนจะพยายามยิงใส่ผม แต่ผมก็ยังไวกว่าลุงอยู่ดี
“ทีนี้ก็มีแค่เราสองคนสินะ” ผู้บริหารก้าวมาหาผมช้าๆผมเขยิบถอยหลังไปเรื่อยๆ จนไปชิดประตู ผมบิดกลอนประตูที่อยู่ข้างหลังซึ่งก็ดันมาล็อคซะได้“ซวยจริงๆ กู” ในเมื่อออกไม่ได้ผมจึงกระหน่ำปืนสั้นคู่ไปยังร่างไอ้ผู้บริหารที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมแทน ผมยิงมันเป็นสิบนัดแต่ร่างกายมันกลับรักษาได้เร็วจนน่าตกใจ “มันต้องมีจุดอ่อนสิวะ”ผมคิดก่อนขว้างปืนในมือออกไปแต่มันก็หลบได้อย่างสบายและเมื่อไม่มีอะไรเหลือผมจึงตัดสินใจพุ่งเข้าใส่มันแทน
ผมปล่อยหมัดซ้ายตามด้วยขวาอย่างรวดเร็วเข้าที่ใบหน้ามัน แต่มันกลับทำสีหน้าไม่รู้สึกแม้แต่น้อย “อย่าออมแรงสิมันไม่สนุก” ว่าเสร็จมันก็ฮุกเข้าท้องผมเต็มๆตัวผมลอยไปชนกระจกก่อนตกลงมากระแทกแผงควบคุมการสื่อสาร “หมัดเดียวเอากูเกือบลาโลกโดนอีกสองสามชุดนี่หลับสบายแน่กู” ผมคิดในใจก่อนรีบกลิ้งตัวลงมาจากแผงควบคุมกระแทกกับพื้นห้อง พยายามใช้มือยันแผงควบคุมเพื่อลุกตัวขึ้น
“มีดีแค่นี้รึไง” ผมท้าทายก่อนถุยเลือดที่เต็มปากลงพื้น เจ้านั่นดูท่าจะโกรธ มันวิ่งเข้ามาพร้อมเหวี่ยงหมัดใส่ ผมก้มตัวหลบทันก่อนจะโดนอะไรสักอย่างพุ่งเข้าใส่ รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่เกิดขึ้น ผมล้มลงกับพื้นห้องยังไม่ทันจะเรียกสติกลับมาเต็มร้อยผมก็ต้องกลิ้งตัวหลบการกระทืบที่ทำเอาพื้นห้องถึงกับสั่น“อ่อก..” มันหันมาเตะเสยเข้ากลางตัวเต็มๆ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเลือดตัวเองพุ่งออกมาจากปากเหมือนกับในหนัง สติผมเริ่มพร่าเลือน เริ่มเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวหมุนไปมา เดี๋ยวภาพข้างหน้าก็ชัดเดี๋ยวก็จางสลับกันไป
ตรื้ดด ตรื้ดด ตรื้ดด ~
“ใครมันโทรมาตอนนี้วะ” ผมคิด
“ไม่คิดจะรับหน่อยรึไง ถือว่าพักยกล่ะกัน ฉันรอได้ ฮ่าๆๆ” อยากจะฆ่ามันจริงๆ แต่ติดตรงได้แค่คิดเนี่ยแหละ
“โหล ! อ๋อง มึงอยู่ไหน แล้วทางนั้นสำเร็จมั้ย”เสียงริกดังขึ้น
“สำเร็จล่ะมั้ง ว่าแต่พวกมึงยังโอเคนะ” ผมถามกลับ
“ยังไหวๆ เดี๋ยวกูสามคนจะไปใช้เครื่องวาร์ปที่ชั้น 3 กลับไปหาฝั่งมึงนะไม่ต้องมาหาพวกกูแล้ว” ริกพูด
“ฮะฮะ แต่กูอยู่หอควบคุมบนทิศตะวันออกว่ะ”
“แล้วมึงจะกลับมาทำไมล่ะเฮ้ย ! บ้าไปแล้วรึไง”
“มึงฟังกูนะ ตอนนี้มึงมี 20 นาที รีบไปให้ทันล่ะ กูคง...” พูดยังไม่จบไอ้บ้านี่มันก็เตะไอดีการ์ดผมออกจากมือ
“ฉันตัดสินใจและ ฆ่านายให้จบๆ ไปเลยดีกว่า !” มันยกตัวผมขึ้นก่อนทุ่มเข้ากับตู้เหล็กข้างๆซึ่งผมไม่สนใจแล้วล่ะว่ามีอะไรอยู่ข้างใน “ตายธรรมดาๆ มันก็สบายไปนี่นะ” มันโยนผมสุดแรงกระแทกบานประตูที่ล็อคอยู่จนผมลอยออกไปพร้อมกับบานประตู
ผมรู้สึกถึงการกลิ้งตกลงขั้นบันไดเหล็กลงไปเรื่อยๆจนไปสุดอยู่ที่ชานพักก่อนจะหักมุมบันไดลงไปต่อยังชั้นลอยข้างล่าง จากตรงนี้ผมมองผ่านรูเห็นว่ามีชั้นลอยสองชั้นทำด้วยตะแกรงเหล็กก่อนจะเป็นชั้นล่างที่เต็มไปด้วยซอมบี้“ไม่ไหวแล้ว” ผมคิด ร่างกายระบมไปหมด แรงจะลุกยังไม่ค่อยจะมีแล้วตอนนี้ ที่ทำได้ก็คือมองไปยังมันที่กำลังเดินลงมาช้าๆทีละขั้นๆ
“ถ้ามียาก็ดีสิ...เดี๋ยวนะ กูมีนี่หว่า !” ผมคิดได้ว่าตนมียาอยู่ในกระเป๋าแต่ตอนนี้คงหยิบไม่ทันแล้ว ต้องลุกจากตรงนี้ซะก่อน ผมออกแรงเฮือกสุดท้ายซึ่งน่าจะมากจากการกลัวตายทำให้มีแรงที่จะขยับเขยื้อนร่างกายที่หนักอึ้งให้ไปต่อ ผมจับราวบันไดก่อนค่อยๆ เดินลง
“ดิ้นรนเข้าไป ยอมแพ้ง่ายๆ มันก็ไม่สนุกน่ะสิ ฮ่าๆๆ” ผมไม่สนใจเสียงที่มันพูด พยายามเดินลงให้เร็วที่สุด ผมทรุดฮวบเมื่อถึงขั้นสุดท้าย ไร้ราวบันไดให้จับ เสียง กึ้ง ดังขึ้นทุกครั้งที่มันก้าวเท้าลงมาแต่ละขั้นบันได
ผมเปิดกระเป๋า ควานหาขวดยาที่ตนได้ใส่เอาไว้ข้างในซึ่งเหลือแค่ขวดเดียว แต่แค่นี้ก็พอจะทำให้ผมกลับเป็นปกติได้ ผมเปิดฝากระดกรวดเดียวหมดขวด ความรู้สึกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัวเหมือนเวลาเราทายาหม่องแล้วจะรู้สึกแสบๆเย็นๆ แต่นี่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
ผมมองของในกระเป๋าซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลยสำหรับตอนนี้ เมื่อรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นผมลุกขึ้นสะพายเป้ก่อนถอยร่นออกมายืนอยู่ตรงกลางชั้นลอยชั้นสอง
“หายไวดีนี่” มันพูดเมื่อเห็นผมกลับเป็นปกติ
“ต้องขอบใจยาของบริษัทแกแหละนะ” ผมตอบกลับ ตอนนี้กลับมายืนประจันหน้ากันอีกครั้ง
“งั้นก็เตรียมตัวลงไปนอนช้ำรอบสองได้เลย !” มันวิ่งตรงเข้ามาพร้อมเหวี่ยงหมัดใส่ แต่ผมก้มหลบได้ทันก่อนใช้สองมือดึงตัวมันเข้าหาตัวตามด้วยกระโดดเข่าใส่มันไปเต็มๆท้อง ผมกับมันกระเด็นลงไปนอนกับพื้นทั้งคู่ ผมที่อยู่บนตัวมันจัดการซัดหน้ามันอีกสองสามหมัดก่อนจะโดนมันเหวี่ยงไถลไปไกลหลายเมตร
ผมยันตัวลุกขึ้น ไอ้หมอนี่ดูท่าจะไม่เป็นมวยเท่าไหร่ สงสัยจะมีแต่แรงเท่านั้นซึ่งแค่นี้ก็น่ากลัวพอแล้วในตอนนี้ มันลุกขึ้นวิ่งเข้าหาอีกครั้ง ผมยกเท้าขึ้นกะจะถีบแต่ดันคิดผิดเมื่อมันคว้าหมับเข้าที่ขาผมก่อนหมุนตัวเหวี่ยงผมไปชนกับราวกั้นเหล็ก ยังไม่ทันจะได้ลุกผมก็ต้องกลิ้งหลบลูกเตะมันก่อนเตะข้อพับเข่าจนมันทรุดลง สองมือมันจับราวกั้นพยุงตัวไว้
ผมลุกขึ้นถีบเข้าไปกลางหลังจนท้องมันค้ำอยู่บนราวกั้น ผมถีบซ้ำจนตัวมันลอยออกไปครึ่งตัวแล้ว แต่มันก็หมุนตัวก่อนพุ่งเข้าใส่จนผมล้มลงไปนอนกับพื้นตามเดิม มันคว้าเข้าที่คอผม ยกขึ้นจนตัวผมลอยเหนือพื้น ผมพยายามแกะมือมันออกแต่ก็ทำไม่ได้จึงได้แต่พยายามเกาะแขนมันไว้เพื่อจะได้พอหายใจได้บ้าง
มันเดินไปตรงราวกั้นก่อนโยนผมออกไปดื้อๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางอากาศชั่วครู่และกำลังจะข้ามราวกั้นไป แต่ยังดีที่ผมยังเอื้อมมือจับราวได้ทัน ลำตัวกระแทกเข้ากับรั้วเต็มๆตอนนี้ผมจึงห้อยอยู่ที่ราวกั้นชั้น 2 พลางคิดว่าถ้าตกลงไปชั้นลอยชั้น 1ล่ะก็ได้ปางตายแน่
“หนังเหนียวจริงๆ แต่คราวนี้คงรอดยากล่ะนะ” มันเดินเข้ามายกขาขึ้นถีบลงบนราวกั้น ผมจำใจปล่อยมือออกข้างหนึ่งดีกว่าเจ็บแล้วค่อยปล่อย“จะอยู่ได้นานแค่ไหนน้า” มันทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะยกขาขึ้นอีกครั้ง
ปัง ! เสียงปืนดังขึ้นก่อนจะเห็นมันทรุดฮวบลงไปเพราะขาอีกข้างที่ใช้ยืนโดนยิงเข้าไปเต็มๆผมมองตามเสียงปืนไปเห็นเปายืนถือสไนอยู่โดยมีเอิร์นคุ้มกันรอบข้างให้ ทั้งสองยืนอยู่กลางรางรถราง มองตามมาเห็นริกวิ่งฝ่าซอมบี้ประมาณถนน 2กำลังมุ่งมาหาผม
“พวกแกนี่มัน !” มันลุกขึ้นเมื่อแผลหาย แต่ตอนนี้ดูอารมณ์โกรธมันจะพุ่งพร่านกว่าเดิมมาก มันทุ่มหมัดลงมาบนราวที่ผมเกาะอยู่ ผมจำใจปล่อยมือทันทีก่อนคว้าจับพื้นเหล็กชั้น 2แทน ราวเหล็กบุบแทบจะถึงหัวผม
“ปล่อยมือลงมาชั้น 1 เลย กูมียา ไม่ต้องห่วง” เสียงไอริกตะโกนบอกตอนนี้มันกำลังพยายามเข้าประตูเพื่อขึ้นมาชั้นลอย 1 ซึ่งถูกล็อคไว้กันซอมบี้เข้า
ปัง ! เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง ผมหันมาเห็นมันที่กำลังฉุนเฉียวมากกว่าเดิมเพราะโดนขัดขวางด้วยสไนเปอร์ของเปาซึ่งก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้อยู่ดีด้วยการรักษาที่เร็วของมันแล้ว
“ปล่อยมือเด้ !” ริกตะโกนซ้ำก่อนจะยิงตัวล็อคแล้วถีบประตูเข้ามาแต่ก็พลาดตรงที่ประตูมันล็อคไม่ได้แล้วทำให้มีซอมบี้ตามหลังมันเข้ามาด้วย
“มึงมาเป็นกูมั้ย ไอ้ห่านี่ !” ผมตะโกนตอบ
ครึ่ก ! อยู่ๆ ตัวโครงเหล็กก็ทรุดลง ชั้นสองทั้งชั้นเอียงไปด้านหน้าเหมือนกับว่าอยู่ๆก็เสียสมดุลไป มันเสียหลักกลิ้งลงไปตามความลาดเอียงลงไปนอนอยู่ข้างหน้ายังดีที่ราวกั้นยังรับตัวมันไว้ไม่ให้ตกลงไปข้างล่าง ผมรีบออกแรงปีนขึ้นข้างบนก่อนจะค่อยๆ ไต่ราวกั้นที่จับไว้ปีนไต่ไปเรื่อยๆจนถึงประตูลงชั้น 1
“นี่ถ้ากูโดดลงไปตามที่มึงบอกกูคงตายไปแล้ว” ผมบอกริกที่อยู่อีกฟากของประตูก่อนจะบอกให้มันหลบไป ผมยิงตัวล็อคประตูก่อนเปิดเพื่อลงไปหามันข้างล่าง
“จะเอาไงกับมันล่ะนั่น” ริกถามพลางยิงซอมบี้
“มันต้องมีจุดอ่อนสักแห่งแหละ ว่าแต่ทำไมตัวอาคารที่ทรุดลงมาได้นี่แหละประเด็น”
“มันมาแล้ว” ริกพูดสายตาจับจ้องไปที่ร่างไอ้ผู้บริหารที่โดดลงมาจากชั้น 2 ลงมาชั้น 1
“ยิงให้ตายมันก็ไม่เป็นไรหรอก” ผมบอกริกที่ตั้งท่าจะยิง
“แต่มันก็ยังเป็นคนอยู่ดีล่ะน่า” ริกตอบก่อนยิงเข้าไปที่ลำตัวมันสามสี่นัดแต่ผลก็เหมือนเดิมริกหันกลับมามองหน้าผมด้วยสายตาไม่เชื่อ
“กูบอกแล้ว” ผมเตรียมตั้งรับมันอีกครั้ง
“เข้ามารวดเดียวเลยมา จะได้เร็วๆ” มันพูดพลางเดินเข้ามาช้าๆ ผมล่ะภาวนาให้ชั้นสองที่เอียงลงมาหล่นใส่มันจริงๆ
“ไออ๋อง !” เสียงเอิร์นวิ่งขึ้นมาเปารั้งท้ายตามมาติดๆ “ดูนั่น !” เอิร์นชี้ไปที่ประตูทางทิศใต้ ผมมองตามนิ้วมันไปเห็นอาคารที่ตั้งเรียงรายมากมายกำลังสั่น
ผมเห็นหอควบคุมทางฝั่งใต้ที่อยู่ชั้นบนเหมือนกับที่นี่กำลังเคลื่อนตกลงข้างล่างไปพร้อมๆกับชั้นลอยไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าตาผมอาจจะฝาดไปก็ได้นั่นคือผมเห็นรอยร้าวบนกำแพงรอยเบ้อเร่อเหมือนสายฟ้าฟาดก่อนที่อิฐเริ่มหล่นครืนลงมา ผืนดินสั่นสะเทือน ไฟในเมืองพลันติดๆ ดับๆสงสัยดวงอาทิตย์จำลองคงอยู่ได้อีกไม่นาน ซึ่งนั่นทำให้ผมตระหนักได้ทันทีว่านี่เราอยู่ในถ้ำนี่หว่า
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะนั่น” ริกอุทานขึ้น ผมรีบหยิบการ์ดบอกเวลาขึ้นมาดูก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลาเป็นเลขศูนย์ไปแล้ว
“อย่าบอกนะว่าหมดเวลาแล้ว” เปาถามเมื่อเห็นผมนิ่งไปเมื่อมองดูเวลา ผมส่งบัตรให้เปาก่อนที่สีหน้ามันจะเปลี่ยนเป็นวิตกกว่าเดิม
“ไอริกระวัง !” เอิร์นตะโกนเตือน ผมรีบหันหลังกลับมาทันพอดีเห็นร่างริกถูกมันปัดกระเด็นไปสุดราวกั้นข้างหน้า
เอิร์นวิ่งเข้าใส่ ชนมันล้มลงไปนอนกับพื้นก่อนกระแทกหมัดลงไปเป็นชุด ผมรับปืนสั้นมาจากเปา วิ่งไปหาริกที่กำลังยันตัวลุกขึ้นอยู่
“โดนอีกสองสามหมัดหลับแน่กูว่า” ริกบอกผม
“เราหาจุดอ่อนมันกันดีกว่า” ผมบอก
มันถีบเอิร์นออกด้านข้าง เปาฉวยโอกาสรัวปืนกลใส่เข้าลำตัวมัน มันล้มลงไปนอนกับพื้น เปายังคงรัวกระสุนไม่หยุด เลือดสีแดงกระเซ็นทุกครั้งที่กระสุนปืนทะลวงเข้าไป พื้นตะแกรงเหล็กรอบตัวพลันกลายเป็นสีแดงอาบไปด้วยเลือด แต่มันก็ยังไม่ตาย เปาถึงกับทึ่งเมื่อกระสุนหมดแม็กแล้วแต่ร่างกายมันก็ยังรักษาได้เรื่อยๆมันลุกขึ้นช้าๆ ฉีกเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งออกเผยกล้ามเป็นมัดๆที่ตอนนี้ไม่เหลือแม้กระทั่งบาดแผลจากการโดนยิงด้วยซ้ำ
มันพุ่งเข้าไปบีบคอเปา ยกเขาลอยขึ้นกลางอากาศ เอิร์นพุ่งเข้าต่อยข้างลำตัวจนมันปล่อยมือออกหันมาสู้กับเอิร์นเหมือนเดิม
“เอาปืนมานี่” ริกฉวยปืนจากมือผมไป ก่อนวิ่งเข้าไปหา
ครึ่ก ! ครึ้ง ! เสียงตัวยึดเหล็กที่ยึดชั้นลอยเอาไว้หลุดออก ตัวชั้นที่พวกเรายืนกันอยู่เอียงลงมาทำท่าจะหลุด ชั้นสองข้างบนก็แทบจะโดนหัวผมอยู่แล้ว
“ไม่มีเวลาแล้ว !” เปาตะโกนบอกผมก่อนชี้ไปทิศใต้เหมือนเดิม คราวนี้สิ่งที่ทำให้ผมช็อกกว่าคราวแรกไม่ใช่การพังของตึกที่ไล่จากทิศใต้เขยิบขึ้นมาเรื่อยๆแต่เป็นคลื่นความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาราวกับไฟลาวาที่ประทุออกจากปล่อง แต่มันกลับพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแทน ความสูงของลาวาสูงทะลุเพดานของเมืองขึ้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเหล็กหรือของอะไรก็แล้วแต่พลันละลายหายไปกับตาเมื่อคลื่นความร้อนเคลื่อนผ่าน
“มันกำลังมาทางนี้” เปาบอก อยู่ๆไฟก็ดับลง ดวงอาทิตย์ของเมืองในหุบเขาแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ทุกอย่างพลันมืดไปหมดเนื่องด้วยเราทั้งหมดไม่ได้อยู่ในห้องที่มีหน้าต่างแต่เป็นในถ้ำที่ไม่มีแม้แต่รูในเมื่อไฟหนึ่งเดียวถูกทำลาย ทั้งเมืองก็ตกอยู่ในความมืดมิดทันที มีเพียงแสงไฟจากกำแพงลาวาที่ส่องสว่างพอจะทำให้เห็นอะไรรอบตัวอยู่บ้าง
“ต้องรีบกำจัดไอ้บ้านี่แล้วเอากล่องนั่นไปทำลายซะ” ผมพูดขึ้น
“กล่องอะไร” เปาถามแต่ผมยังไม่ทันจะได้อธิบายร่างริกก็พุ่งเข้าปะทะตัวผมจนกระเด็นล้มลงทั้งคู่เนื้อตัวริกนั้นไม่ต่างอะไรกับผมตอนแรกที่สู้กับมัน
“คุยกันสนุกเลยนะมึง กูกับไอเอิร์นจะตายอยู่แล้ว” ริกพูดพลางไอแค่กสำลักเลือด
“กินยาไปซะ ได้เวลาเปลี่ยนตัวแล้ว” ผมมองไปที่เปาก่อนจะพากันเดินไปยังร่างไอ้ผู้บริหารที่ดูท่าจะไม่มีวันเหนื่อย ผมรีบจ้ำฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นร่างเอิร์นนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
“เปา มึงแม่นกว่ากู ยิงสกัดจังหวะมันไว้ เดี๋ยวกูบวกเอง” ผมเร่งฝีเท้า กระโดดปล่อยหมัดเข้าใส่ใบหน้าของมันจนมันเซถอยลงไปครึ่งก้าว ผมตะโกนบอกริกให้ไปช่วยเอิร์นก่อนก้มหลบหมัดและชกเข้าที่ท้องจนมันตัวโก่ง
ปัง ! เสียงปืนดังขึ้น ร่างมันกระตุก ทันพอดีที่ผมจะไม่โดนมันทุ่มเข้าที่กลางหลัง เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ขามันฮวบลง เข่ากระแทกพื้น ผมใช้จังหวะนี้เข่าเข้าไปที่หน้าอกมันจังๆมันหงายหลังลงไปกระแทกพื้น แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือคราวนี้มันดันกระอักเลือดซะงั้น ผมมองไปยังเปา ถามด้วยสายตาว่าใช่ใช่มั้ยมันส่งยิ้มกลับมาให้ผม
“ถึงคราวตายของมึงแล้วเพื่อน” ผมพูด มันลุกขึ้นยืน สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกับว่ารู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเก่า
ตื๊ดด ! ตื๊ดดด !
“ใครมันโทรมาอีกล่ะเนี่ย” ผมล้วงโทรศัพท์ที่ผมนำมาด้วยขึ้นมารับสาย
“ไออ๋อง ! นี่กูม่อนนะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วตอนนี้เคลโอเกิดโรคระบาด เหมือนกับเกมส์ที่พวกมึงเข้าไปเล่นกันหน่วยเราต้านไว้ไม่อยู่แล้ว เราเสียกำลังคนไปมากตอนนี้ เดี๋ยวกูจะ...” สายถูกตัดไปก่อนม่อนจะพูดจบประโยค
“เป็นไปได้ไง ก็ทำลายมันไปแล้วไม่ใช่หรอ” ผมพูดกับตัวเองดังพอๆที่รอบข้างจะได้ยิน
“ฮ่าๆๆ สงสัยมันจะเกิดขึ้นแล้วสินะ น่าสงสารจริงจริ๊งพยายามแทบตายแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว” มันพูดไปหัวเราะไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“เกิดไรขึ้น” ริกที่พยุงเอิร์นเดินมาอยู่ข้างเปา
“ไอม่อนโทรมาบอกว่าในเมืองเกิดโรคระบาดเหมือนกับในเกมส์ ตอนนี้ทั้งเมืองตกอยู่ใต้ไวรัสแล้วหน่วยของเราต้านไว้ไม่อยู่ คงเริ่มทำการอพยพคนกันแล้ว” ผมอธิบายสิ่งที่ม่อนเล่า
“จะบอกให้หายสงสัยนะ ไอ้ 80% กว่าๆมันไม่ได้หมายความว่ามันกำลังจะสำเร็จหรอกนะแต่มันหมายถึงว่ามันทำไป 80% แล้วต่างหาก แต่ก็อย่าเสียดายไป อย่างน้อยชาวเมืองก็ยังเหลือรอดอยู่บ้างเพราะมันแค่ 80% ของเมืองเองนี่เนอะ” ในใจผมมันร้อนรุ่มเหมือนกับว่าโดนมันหลอกมาตลอดและผมก็ยอมให้มันหลอกมาตลอดด้วยเช่นกัน
“กูขอโทษ” ผมบอกกับทุกคน
“เดี๋ยวเราก็หาทางกำจัดมันได้เองล่ะน่า” เอิร์นพูด
“ใช่ แต่ตอนนี้เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” เปาบอกสายตาและปืนยังจับจ้องไปที่ตัวไอ้ผู้บริหารนั่น ทำเอาผมได้สติมากขึ้นเมื่อไอความร้อนที่แผ่ซ่านไล่หลังมาติดๆ
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ” ผมพยักหน้าให้เปาเป็นสัญญาณ ก่อนจะพากันเดินไปกับริกและเอิร์น พยายามปีนขึ้นไปบนหอควบคุมเพื่อจะได้วาร์ปกลับ เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดก่อนจะได้ยินเสียงตุ้บของร่างกายกระทบพื้น คราวนี้มันกลับไม่ลุกขึ้นมาอีก ก็แน่ล่ะ กระสุนตัดขั้วหัวใจซะขนาดนั้น ในเมื่อยังเป็นคนจุดอ่อนก็ต้องเหมือนพวกเราวันยันค่ำ
ริกเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไปบนพื้นที่ลาดเอียงของชั้นสองที่ใกล้ถล่มลงมาเต็มที ผมเดินขึ้นสะพานที่ดูอ่อนแอกว่าตอนแรกเยอะ “ขึ้นไปๆเดี๋ยวก็โดนเผากันหมดนี่หรอก” ผมบอกริกที่พยายามเกาะซี่ตะแกรงเหล็กบนพื้นที่ลาดเอียงเพื่อจะปีนขึ้นบันไดหอควบคุม
ครึ่ก ! ครืนนน ! “เฮ้ย !” ผมอุทานขึ้นมาเมื่อชั้นสองหลุดจากกำแพงหล่นลงทับกับชั้นหนึ่ง ผมรีบมองหาเอิร์นกับเปาทันที เอิร์นกับเปาหล่นลงไปพร้อมๆ กับชั้นสองก่อนจะกลิ้งไปตามพื้นที่ชันลงไปนอนอยู่บนตัวราวกั้นเหล็ก
“ไอเอิร์น ! ไอเปา !” ผมตะโกนก้องเพื่อเรียกเพื่อนรักที่ยังคงนอนอยู่ ตอนนี้เมืองมันทำลายมาจนถึงพวกเราแล้ว
“ไม่ต้องห่วงกูสองคน พวกมึงกลับไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปเจอกันทีหลัง” เอิร์นตะโกนกลับมา
ชั้นหนึ่งทรุดลงไปอีกจนกระแทกกับพื้นถนนข้างล่าง ผมเห็นเปาหันไปยิงซอมบี้ตัวหนึ่งที่ยังวิ่งเข้ามาทางตนอยู่ ตอนนี้ซอมบี้เบาตาลงไปมาก คงเป็นเพราะยาของซิลว่าบวกกับไอ้กำแพงไฟนี่ด้วยแหละ
“ไปเด้ !” เอิร์นตะโกนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นผมกับริกยังเกาะบันไดที่ยึดกับห้องควบคุมไม่ยอมปีนขึ้นไปต่อ
“ไปเหอะไออ๋อง พวกนั้นมันเทพกันอยู่แล้ว มันกลับกันได้ ยังมีประตูวาร์ปที่ตึกใหญ่นั่นอีก” ริกบอกผมก่อนที่มันจะเริ่มไต่บันไดขึ้นไป ผมมองลงไปข้างล่างเห็นเอิร์นกับเปาออกตัววิ่งไปยังตัวตึก หนีการถล่มของอาคารที่ไล่หลัง ตอนนี้กำแพงไฟแทบจะอยู่ตรงหน้าผมอยู่แล้ว ความร้อนทำเอาตัวผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมมองจนทั้งคู่ลับสายตาก่อนรีบไต่ตามริกขึ้นไป
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in