..........
ตอนที่ 36 : ช่วงชิง
ผมวางสายทันทีเมื่อบอกริกเรียบร้อย ฟังจากน้ำเสียงฝั่งนู้นคงจะเซอร์ไพรส์กันน่าดู ผมเดินไปหยิบการ์ดบอกเวลาที่เจ้าผู้บริหารบ้านั่นมันทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ตอนนี้มันบอกเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆผมเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ก้มหยิบกระเป๋าเป้ที่พวกมันไม่เอาไปด้วย ซึ่งนั่นคิดพวกมันคิดผิดมหันต์ ตอนนี้อุปกรณ์พร้อมลุยแล้ว เหลือก็แต่ร่างกายที่ยังน่วมๆจากการโดนกระทืบอยู่
ผมกดลิฟต์ลงมาชั้นล่างของอาคาร ผู้คนมากมายยังคงต่อคิวกันลงทะเบียนเล่นเกมส์กันอย่างคับคั่ง ผมเดินสวนผู้คนมากมายที่คงคิดว่าทำไมผมแต่งตัวแปลกๆแบบนี้ แต่พวกเขาคงเข้าใจได้ว่าเป็นการโฆษณาเกมส์ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ปัญหาของผมตอนนี้คือผมไม่รู้ว่าตนควรจะไปทางไหนดี ผมจึงตัดสินใจเดินไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่อยู่ไม่ไกลจากผมนัก
“ทางลงไปห้องพนักงานใต้ดินอยู่ทางไหนหรอครับ พอดีผมเป็นเด็กใหม่น่ะ หลงกลุ่มซะแล้ว” ผมถามหลังจากรอจนผู้เล่นคนอื่นเริ่มน้อยๆลง
“ข้างเคาน์เตอร์ลงทะเบียนจะมีประตูสำหรับพนักงานอยู่ ไปตรงนั้นแหละ” เธอตอบพลางชี้ไปยังประตูสำหรับพนักงานข้างๆเคาน์เตอร์
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวก่อนจะหันหลังเดินออกมา
“โชคดี” เธอกล่าว ผมหันไปยิ้มให้เธอเล็กน้อยเป็นมารยาทซึ่งเธอก็ยิ้มตอบเช่นกันก่อนที่ผมจะมุ่งหน้าไปยังทางที่เธอบอก
ผมปิดประตูตามหลังช้าๆเมื่อเข้ามา ข้างในเป็นบันไดทอดยาวลงไปข้างล่าง สุดทางผมเห็นแสงสว่างสีขาวสาดส่องมาจบที่ขั้นบันไดสุดท้าย ผมค่อยๆ ก้าวลง มือพร้อมจะหยิบปืนทุกเมื่อ“บางทีมันก็เงียบไปนะ” ผมรู้สึกได้ว่าตนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจากข้างล่างที่น่าจะเป็นที่ที่มีแต่พนักงานนั่งกดแป้นคีย์บอร์ดไม่ก็นั่งคุยกันเสียงดังระงมไปทั้งชั้น
เมื่อเดินมาถึงขั้นสุดท้ายผมก็พบกับประตูกระจกใสมีเครื่องใส่รหัสสำหรับเจ้าหน้าที่ติดอยู่ด้ามเปิดประตู“ไม่มีคนจริงๆ ด้วยแฮะไปไหนกันหมด” ภาพที่ผมเห็นเมื่อมองผ่านประตูกระจกไปเป็นโต๊ะพนักงานที่บนโต๊ะเป็นคอมพิวเตอร์และกองเอกสาร มีตู้เก็บเอกสาร เครื่องถ่ายเอกสาร มีมุมกาแฟสำหรับพนักงาน ทั้งหมดถูกจัดเป็นบล็อกๆ อย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งไฟในห้องที่เป็นสีขาวนวลสว่างบวกกับผนังสีขาวทำให้ห้องนี้ดูสว่างขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
“หวังว่าบัตรนี้มันจะใช้ได้นะ” ผมล้วงเอาไอดีการ์ดของนักวิจัยที่ผมกับริกไปขู่เอามา ผมทาบบัตรลงไป มันแจ้งว่าไม่มีคนนี้ในระบบ ซึ่งทำให้ผมเหลืออยู่วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้นั่นก็คือทำลายประตูซะ
ผมชักปืนขึ้นมา ถอยห่างออกมาจากประตูจนถึงหน้าขั้นบันไดเพื่อป้องกันเศษกระจกกระเด็นใส่ เมื่อพร้อมผมก็ยิงออกไปทันที เสียงกระจกแตกดัง เพล้ง ! มันดังจนผมคาดว่าคนข้างบนอาจจะได้ยินด้วยซ้ำ ผมได้แต่หวังว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนลงมาข้างล่างนี่เพราะผมไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายเท่าไหร่
ผมก้าวข้ามบานประตู เสียงกร็อบแกรบเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อผมเดินย่ำเศษกระจกที่แตก ข้างในร้างผู้คน ผมมองเห็นฝั่งตรงข้ามของห้องมีลิฟต์ลงข้างล่างจึงรีบเดินให้เร็วขึ้นหวังจะตามเจ้าผู้บริหารนั่นให้ทันก่อนที่ทุกอย่างอาจจะสายเกิดแก้
ปัง ! เสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นมาก่อนก่อนผมจะรู้สึกเจ็บที่ไหล่ขวา ผมรีบลงไปหมอบกับพื้น ใช้โต๊ะเป็นตัวกำบัง เลือดสดไหลลงมาตามแขนช้าๆ พร้อมกับความเจ็บที่ค่อยๆแผ่ซ่าน “เอากูแล้วไง” ผมรีบควานหายาก่อนนึกขึ้นได้ว่าไอ้สเปรย์มันอยู่ที่ริก จึงได้แต่ใช้มือกุมแผลห้ามเลือดไว้
“แน่จริงก็ขึ้นมาตัวๆ ดิวะ !” ผมตะโกนท้าทายเพราะยังไงมันก็รู้ตำแหน่งผมอยู่แล้ว
เปร้ง ! กระสุนอีกนัดพุ่งตรงเข้าใส่โต๊ะเหล็กตรงหน้าผมจังๆ“ติดกับเข้าให้แล้วนะเพื่อน” ผมควานหาระเบิดมือในกระเป๋าก่อนจะขว้างไปยังทิศที่มันยิงมา
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั้งชั้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดกระเด็นไปตามแรงระเบิด ผมก้มหลบอยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่งหลบการกระแทกของสิ่งของต่างๆ ที่พร้อมจะพุ่งมาหา เพลิงไหม้โหมกระหน่ำ ทั้งควันไฟและเขม่าไฟลอยคุ้งไปทั่วเกือบทั้งชั้น
ผมได้ยินเสียงสำลักควันไฟดังขึ้นไม่ไกลจากผมนัก ผมรีบลุกขึ้นส่องสไนก่อนลั่นกระสุนไปหนึ่งนัดแต่ก็ยังไม่โดนผมไม่รอช้ารีบวิ่งฝ่าซากเครื่องมือเครื่องใช้มากมายที่ถูกแรงระเบิดพังเสียหายไปหมด เปลี่ยนมาใช้ปืนพกยิงใส่เข้าไปในกลุ่มควันข้างหน้าห่างจากผมไปไม่กี่เมตร ผมเห็นเงาคนวิ่งผ่านไป ดูจากท่าวิ่งหมอนั่นสาหัสไม่น้อยทีเดียว
ฟุ่บ ! เสียงสิ่งของแหวกอากาศมา เก้าอี้นั่นเอง ผมเอี้ยวหัวหลบแทบไม่ทัน ผมกระโดดข้ามโต๊ะตัวหนึ่ง เข้าใกล้มันมากขึ้น รัวกระสุนเข้าไปฝ่าเข้าไปในม่านควันไม่นานเสียง ตุ้บ ! ก็เป็นตัวบอกอย่างดีว่าเจ้านั่นเสร็จผมแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อความชัวร์ว่ามันตายแล้วแน่นอน เมื่อฝ่าซากข้าวของมากมายที่เสียหายผมก็เห็นร่างชายคนหนึ่งสวมชุดนอกเครื่องแบบนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
“แกพลาดแล้วที่กล้ามาลองดีกับพวกฉันแบบนี้ แล้วแกจะต้องเสียใจ”
“นั่นสินะ ฉันพลาดอย่างจังเลยล่ะ” พูดจบผมก็ยิงปลิดชีพมันซะก่อนก้มหยิบปืนเพื่อเอาแม็กสำรองมาเปลี่ยนกับของตนที่แทบไม่เหลือแล้ว
เมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์ผมรีบกดปุ่มเรียกทันที ในใจก็อดระแวงไม่ได้ว่าชั้นล่างต้องได้ยินเสียงระเบิดแน่ๆเล่นพังไปซะเกือบครึ่งชั้นขนาดนั้น
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกเสียงเหล่าพนักงานคุยกันระงมก็ค่อยๆ ดังขึ้น ชั้นนี้เต็มไปด้วยบรรดาพนักงานมากมายหนาแน่นไปหมด จนไม่คิดว่าจะมีโต๊ะพอสำหรับทุกคนด้วยซ้ำ แต่สีหน้าทุกคนก็ดูปกติดีราวกับไม่มีใครรู้ว่าชั้นบนนั้นเพิ่งจะเละไปหมาดๆเมื่อผมก้าวออกจากประตูลิฟต์สายตาพนักงานที่นั่งทำงานบนโต๊ะก็เริ่มจับจ้องมาที่ผมมากขึ้น คงเพราะการแต่งตัวที่แปลกแยกที่สุดในชั้นนี้
“มีธุระอะไรชั้นนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าชั้นของเธอคือข้างล่างหรอกรึ” พนักงานชายคนหนึ่งทักผม ในมือถือแก้วกาแฟ
“ผมทำบัตรผ่านหายน่ะครับ เลยต้องผ่านชั้นนี้” ผมแก้ตัว
“แย่เลยสิ ยังดีนะที่ชั้นนี้เธอยังใช้สแกนมือเพื่อลงไปข้างล่างได้อยู่” พนักงานพูดกลับ
“ครับ นั่นล่ะโชคดีของผมเลย” ผมตอบพลางคิดในใจว่าโชคดีจริงๆที่ เรื่องมันลงตัวดูไม่เป็นพิรุธเท่าไหร่นัก
เมื่อจบบทสนทนาผมก็ขอตัวเดินผ่านเข้าไปข้างในที่ซึ่งมีเหล่าพักงานมากมายทำงานกันอยู่ บ้างก็จับกลุ่มยืนคุยกันตามประสา ผมเห็นบานประตูกระจกธรรมดาซึ่งคาดว่านั่นเป็นประตูลงข้างล่างแน่นอน เดินมาไม่นานพนักงานหญิงคนหนึ่งก็ทักผมขึ้น
“เด็กใหม่สินะ ไม่ค่อยคุ้นหน้า” เธอถามในมือมีแฟ้มเอกสารเหมือนกำลังจะเดินไปส่ง
“ใช่ครับ บัตรหายอีกต่างหาก” ผมแก้ตัวตามเดิมก่อนจะก้าวขาเดินต่อแต่หูดันได้ยินเสียงแว่วๆ แคร๊ก ! เสียงนี้คุ้นมากสำหรับผมแต่ก็ไม่แน่ใจเพราะรอบตัวมีแต่ผู้คนมันอาจจะเป็นเสียงแม็กเอกสารก็ได้ แต่คิดไปคิดมามันมากกว่านั้นแน่ๆ
“ก้ม !” ผมคว้าตัวเธอก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น เสียงกระสุนลั่นขึ้นหนึ่งนัดก่อนจะเห็นว่าลุงแก่ๆคนหนึ่งที่นั่งพิมพ์งานอยู่ข้างหลังผมตะกี้โดนเข้าไปเต็มหัวหนึ่งนัด เลือดกระเซ็นไปทั่วโต๊ะทำงานและแผงกั้นบริเวณโต๊ะ ความโกลาหลและเสียงกรีดร้องโวยวายจากความตกใจกลัวเริ่มมากขึ้น ต่างคนต่างก็วิ่งวุ่นเลิกทำงานของตนหมายจะออกไปจากห้องนี้ให้ได้โดยไว
“หนีไปซะ” ผมบอกเธอก่อนจะลุกขึ้นจับปืนในมือมั่นเตรียมสวนกลับ แต่ตอนนี้มันวุ่นวายมาก ผมไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นมันอยู่ตรงไหนแล้ว แต่มันคงหายากหน่อยล่ะเพราะพนักงานวิ่งกันวุ่นขนาดนี้ ผมจึงออกวิ่งหมายจะไปถึงประตูให้เร็วที่สุด แต่ความคิดที่ว่ามันไม่เห็นผมนั้นผิดถนัด ผู้คนรอบข้างโดนกระสุนล้มไปทีละคนๆ เมื่อผมวิ่ง “จะยิงให้โดนกูให้ได้สินะ”
“ถอยไปๆ !” ผมตะโกนอีกไม่กี่สิบเมตรผมก็จะถึงประตูอยู่แล้ว แต่แล้วผมก็ต้องสะดุดกึกเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีคนมาดึงเสื้อผมจากข้างหลัง
“เธอต้องกำจัดเจ้าผู้ร้ายนี่ให้ได้นะ”ชายคนหนึ่งพูดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเหมือนไม่เคยเจอเรื่องร้ายแรงมาก่อนในชีวิต
“ผมจัดการมันแน่ แต่ตอนนี้คุณอยู่ห่างๆ ผมก่อนเถอะเดี๋ยวมันจะ…” พูดไม่ทันขาดคำชายข้างหน้าผมก็ล้มลง ผมย่อตัวหลบกับโต๊ะก่อนควักระเบิดจากเป้มาลูกหนึ่งพลางตะโกนบอกให้ผู้คนรอบประตูนั่นรีบออกไปจากตรงนั้นซะ
เปร้ง ! เจ้านั่นยิงเฉี่ยวผมไปโดนโต๊ะถัดไป ห่างจากผมนิดเดียว ผมจัดการดึงสลักออกก่อนจะปาไปเมื่อเห็นคนน้อยลงจากเดิมแล้ว และรีบหันตัวกลับมุดตัวลงไปอยู่ใต้โต๊ะก่อนที่มันจะระเบิด
ระเบิดดังลั่นขึ้น แรงระเบิดส่งตัวผมพร้อมกับโต๊ะที่ผมมุดอยู่กระเด็นลอยไปอีกหลายเมตรไปชนเข้าอย่างจังกับแผงกั้น ผมเกือบจะคลานออกมาไม่ทันเมื่อมีโต๊ะอีกตัวที่ไม่รู้มาจากไหนกำลังจะทับเอา ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ ความเจ็บจากแขนที่โดนยิงถากจากชั้นที่แล้วแปล๊บขึ้นมาบวกกับความจุกที่กระแทกเมื่อกี้นี้ทำเอาผมเดินไม่ค่อยออก
พนักงานหลายสิบโดนลูกหลงจากระเบิดไปตามๆกัน ศพพนักงานหลายสิบร่างกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ บางคนคงหนีไม่ทันแน่ๆผมคิดเมื่อเห็นบางคนเหลืออยู่แค่ครึ่งตัวก็มี ผมไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นมันตายรึยัง ผมรีบวิ่งไปยังประตูที่ระเบิดไป ก่อนจะหยุดใต้วงกบประตู ผมนั่งยองๆ รออยู่พักหนึ่งโดยใช้กลุ่มควันจากเศษปูนที่ถล่มลงมาและจากตัวระเบิดเองกำบังไว้
ไม่นานผมก็เห็นเงาๆ หนึ่ง ในมือถือปืนสั้นวิ่งลงบันไดผ่านผมไป ไม่รอช้าผมจัดการยิงไปสองนัดร่างนั้นกระตุกก่อนจะกลิ้งลงบันไดไปนอนกองอยู่กับพื้นข้างล่าง ผมเดินลงขั้นบันไดช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงมุมเพื่อชะโงกดูว่าห้องข้างล่างนี้เป็นห้องอะไร
ทั้งห้องเต็มไปด้วยหลอดยา ตู้ยา การทดลองยาต่างๆ ไม่มีซอมบี้ ศพ หรือพวกกลายพันธุ์อะไรเทือกนั้นแม้แต่อย่างเดียว กลางห้องผมเห็นเครื่องอะไรไม่รู้คล้ายๆ เสาเหล็กหนาคล้ายๆกับเสาไฟตามสวนสาธารณะ มันตั้งอยู่กลางห้องมีสายอะไรต่อมิอะไรโยงใยมั่วซั่วไปหมดกับเจ้าเสานั่น ถัดไปผมเห็นจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ มีข้อมูลรายละเอียดมากมายขึ้นแสดงหราข้างบนแต่ที่สะดุดตาผมมากที่สุดคงจะเป็นตัวเลขบอกเปอร์เซ็นต์อะไรสักอย่างซึ่งตอนนี้มันปาเข้าไปถึง 80 % เข้าไปแล้ว “นี่กูยังไม่สายใช่มั้ย เพราะมันยังเหลือตั้ง 20 % กว่าจะเสร็จ”ผมพูดกับตัวเอง สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเตรียมบุก ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะมีตัวอันตรายเท่าไหร่ เมื่อทำใจได้ผมก็ออกจากมุมเดินดิ่งไปยังประตูกระจกใสเหมือนเคย
ผมยิงออกไปหนึ่งนัดประตูกระจกพลันแตก นักวิจัยต่างหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ซึ่งนั่นผมทำใจไว้แล้ว เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามาผมก็ตะโกนลั่น
“หยุดเจ้าเครื่องบ้านั่นซะ ! เดี๋ยวนี้ !” ผมชี้ปืนไปยังนักวิจัยคนหนึ่งที่นั่งคุมหน้าจออะไรสักอย่างอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันใช่เครื่องที่ผมบอกให้หยุดรึเปล่า ทุกคนยังนิ่งไม่ไหวติง ตัวเลขกลายเป็น 83 % แล้วตอนนี้
“บอก ว่า ให้ ปิด ไอ้ เครื่อง บ้า นี่ ไง เล่า !” ผมยิงเข้าใส่พนักงานตรงหน้าจนล้มฟุบไปกับแป้นพิมพ์
“นับหนึ่งถึงสามถ้าไอ้ตัวไหนมันยังไม่หยุด มันจะตายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ทีละคน หนึ่ง !” ผมนับ ทุกคนสบสายตามองกันอย่างลุกลี้ลุกลนว่าจะเอาไงดี จากใจผมก็ไม่ได้อยากจะตีบทโหดเล่นตัวร้ายขนาดนี้หรอก แต่สถานการณ์มันจนมุมไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วจริงๆ“สอง !” นับเสร็จตัวเลขบนหน้าจอก็หยุดนิ่งที่ 85 % ก่อนจะขึ้นข้อความว่าระบบถูกหยุดชั่วคราว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
ผมเดินเข้าไปกลางห้อง สายตาผมกวาดไปทั่วดูว่าชั้นนี้มี รปภ. หรือตัวอันตรายอะไรหรือเปล่า ผมเดินมาหยุดที่เสาบ้านี่ “ใครคุมไอ้เจ้าเครื่องบ้านี่” ผมตะโกนถามพลางมองหน้าทุกคนในห้องก่อนจะมีนักวิจัยคนหนึ่งน่าจะรุ่นลุงได้ยกมือขึ้น ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ลุงก่อนจะจัดการยิงอุปกรณ์ควบคุมหน้าจอแป้นพิมพ์
ผมยิงจนคาดว่ามันไม่น่าจะใช้ต่อได้แล้วก่อนจะมีสัญญาณขึ้นบนหน้าจอว่าระบบขัดข้องการทำงานจะถูกหยุดลงและหน้าจอก็ดับไป เสียงเครื่องยนต์จากเสาบ้านั่นก็แผ่วลงด้วย ผมยิงไปที่หน้าจอมอนิเตอร์กลางห้องจนแตกก่อนจะเห็นว่าประตูข้างๆเยื้องไปจากหน้าจอที่ผมเพิ่งยิงไปมันเปิดออกก่อนจะมีผู้บริหารนั่นเดินออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ใครสั่งให้ยกเลิกระบบฮะ ! นี่แกอีกแล้วรึ” มันตะโกนถามก่อนจะเห็นผมที่แทบจะยืนอยู่กลางห้อง ผมเห็นกระเป๋าในมือมันยังอยู่ แล้วไอ้ที่ผมยิงทิ้งยกเลิกไปนี่มันคืออะไรล่ะเนี่ย แต่ไงก็เถอะยกเลิกไว้ก่อนถ้าจะดีที่สุด
“นี่ถ้าไม่ตายจะไม่ยอมเลิกยุ่งสินะ งั้นก็จะจัดให้” มันพยักหน้าหนึ่งทีก่อนผมจะเห็นลูกน้องข้างหลังมันเดินออกมาสี่ห้าคนก็แค่ รปภ. ละว้า ผมคิดในใจ
“แต่แกก็ยังตามเกมส์ไม่ทันอยู่ดีล่ะน่า…จัดการมันซะ อย่าให้มันลงมาข้างล่างได้” มันพูดเยาะเย้ยก่อนจะกำชับลูกน้องของมัน
“หลบไป !” ผมบอกนักวิจัยข้างๆก่อนกระโดดข้ามแผงหน้าปัดเพื่อไปหลบอยู่ด้านหลัง เนื่องด้วยห่ากระสุนระดมยิงมาแล้ว ผมเก็บปืนสั้นไว้กับตัวก่อนหยิบสไนเปอร์ขึ้นมาเล็งยิง ผมจัดการ รปภ. ไปได้คนหนึ่ง เลือกที่จะยิงช่วงหัวไว้ก่อนกลัวผู้บริหารนั่นมันวางยาเจ้าพวกนี้ไว้แล้วเดี๋ยวจะยุ่งเอาได้
“กระสุนไม่พอแน่กู” ผมบ่นเมื่อผมยิงไปหลายนัดกลับไม่โดน จึงสะพายสไนไว้เหมือนเดิม ผมย่อตัวค่อยๆ วิ่งโดยใช้ไอ้พวกตู้เป็นที่กำบังกระสุน “ต้องระเบิดอีกแล้วสินะ” ผมควักระเบิดลูกสุดท้ายในกระเป๋าออกมาดึงสลักออกถือไว้ในมือสองสามวิก่อนจะปาไปยังที่ๆพวกมันยืนอยู่
ทันทีที่ระเบิดกระทบกับพื้นข้างหน้าพวกมันก็ระเบิดพอดี ผมเห็นร่างของทั้งสี่กระเด็นไปชนกับตู้บ้างโต๊ะบ้าง บางคนก็โดนระเบิดหายไปเลยก็มี โชคดีของผมอย่างหนึ่งก็คือประตูข้างหลังสำหรับลงข้างล่างก็โดนไปด้วย ผมออกจากหลังตู้พลางวิ่งเข้าไปยิงซ้ำที่ร่างที่เรียกว่าเละแล้วก็ว่าได้ไปอีกร่างละนัด แต่ร่างที่ห้าผมกับไม่เห็นซะงั้นก่อนจะเห็นเศษซากของชิ้นส่วนมนุษย์ซึ่งผมว่านั่นแหละคนที่ห้าล่ะ
ผมเดินก้าวข้ามบานประตูเพื่อจะลงไปยังชั้นล่าง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อ รปภ.คนที่ผมเพิ่งยิงซ้ำมันยังเอื้อมมือมาคว้าข้อเท้าผมได้
“ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ !” ผมสะบัดขาก่อนจะยิงไปที่แขนมันจนคลายออก “โอวแม่เจ้า” ผมอุทานเมื่อร่าง รปภ. ที่คิดว่าตายแล้วกับพยายามจะลุกขึ้นมาจัดการผมให้ได้
ผมรีบวิ่งลงข้างล่างทันทีโดยยังหันกลับไปมองข้างหลังเป็นพักๆแต่เมื่อเหยียบขั้นสุดท้ายของบันไดอยู่ๆ ก็มีกระเป๋าเหล็กสีเงินโผล่ขึ้นมากลางอากาศกระแทกเข้าหน้าผมอย่างจัง ผมล้มหลังกระแทกขั้นบันไดก่อนกลิ้งลงมานอนแผ่บนพื้น
“ไอ้…” ผมโดนผู้บริหารมันดักตีซะแล้ว ผมเงื้อปืนขึ้นหมายจะยิง แต่มันกลับไวกว่าจึงเตะปืนผมทิ้งไป ผมใช้มือยันตัวลุกขึ้นแต่มันก็เตะเสยเข้าท้องผมอย่างจัง
“เป็นไงเล่า ! รสชาติความเจ็บปวดนี่มันยังน้อยเกินไปสำหรับสิ่งที่แกกับเพื่อนแกทำกับฉัน เดี๋ยวแกจะรู้ว่าการค่อยๆ ถูกกินทีละคำๆมันเป็นยังไง” ผมรู้ทันทีว่ามันหมายจะให้ไอ้รปภ. นั่นมารุมทึ้งผมแน่ๆ ผมได้โอกาสเตะขามันให้เสียหลักจนมันทรุดลงผมจึงโผเข้าใส่ประเคนหมัดไปสองสามหมัดก่อนจะโดนมันถีบออกมาชนกับประตูกระจกเข้าข้างใน
“เสียใจนะ แต่มึงพลาดแล้วว่ะ” ผมสะบัดสไนเปอร์ที่สะพายอยู่ยิงใส่กลางลำตัวผู้บริหารบ้านี่จนกระเด็นไปนอนบนขั้นบันไดถัดไปข้างบนไม่กี่เมตร พวกซอมบี้ รปภ. ค่อยๆ ทยอยลงมาทีละก้าวๆผมยิงใส่หัวตัวหน้าสุดเต็มๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามันกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ เป็นไงล่ะ ผลงานของฉัน ดูนี่ซะก่อนแล้วแกจะตกใจ” มันชี้ไปยังร่างกายของมันที่ค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆ กล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้นจนเสื้อสูทสีขาวของมันเริ่มปริขาด
“มึงมันบ้าไปแล้ว !” ผมยิงซ้ำไปอีกนัดเข้าที่ลำตัว มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผมรีบวิ่งไปเก็บปืนพกกับกระเป๋าของมันก่อนหันไปถีบซอมบี้ข้างหลังล้มลง ยิงประตูกระจกให้แตกแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องซึ่งเป็นทางรอดเดียวของผมตอนนี้ ก่อนที่ไอ้บ้านั่นมันจะกลายร่างเสร็จ
“กูตายแน่ๆ มันไม่มีทางออกไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะต้องขึ้นข้างบนน่ะ แล้วห้องนี้มันห้องไรวะเนี่ยไม่เห็นมีไรเลยมีแต่ตู้ล็อกเกอร์กับเก้าอี้ยาว อย่าบอกนะห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ในห้องเต็มไปด้วยตู้ล็อกเกอร์มากมายกับเก้าอี้ไม้ยาวอยู่กลางห้องหยั่งกับห้องเปลี่ยนเสื้อนักกีฬายังไงยังงั้น“แล้วพวกมันจะลงมาทำไมข้างล่างวะในเมื่อไม่มีอะไร” ผมตัดสินใจวิ่งเข้าไปลึกอีกหน่อยก่อนจะใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าข้างล่างดูเหมือนเป็นห้องเก็บอาวุธกับพื้นที่ทดลองอะไรสักอย่างและมีห้องที่ดูเหมือนห้องผู้บริหารนั่น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการที่สุดทางออกต่างหากที่ผมหา
“เอาแล้วไง” ผมยิงใส่ที่ขาพวกซอมบี้บ้านั่นเพื่อชะลอความเร็วมันลง“แล้วไอ้ตู้บ้านี่มันอะไรล่ะเนี่ย” ผมพูดขึ้นเมื่อสังเกตว่าตู้ที่ต่อๆมาจากล็อกเกอร์มาถึงตรงนี้รูปทรงคล้ายกันตั้งติดกันก็จริงแต่มันไม่ใช่ตู้ล็อกเกอร์ ผมเปิดประตูออกก่อนจะถึงบางอ้อ
“ไอห่าราก เครื่องวาร์ปนี่เอง จริงสินะ มันก็ต้องส่งพวกนอกเครื่องแบบหรือพวกรปภ.ทางนี้นี่หว่า น่าจะงั้นแหละ” ผมมองทำความเข้าใจก่อนจะพยายามเลือกตำแหน่งที่จะไปแต่ดูเหมือนมันจะล็อกตำแหน่งไว้ที่ไหนสักแห่งนี่แหละ
“ดูเหมือนแกจะจนมุมแล้วสินะเพื่อนรัก” ผู้บริหารเดินเข้ามา ร่างกายมันเปลี่ยนไปจากเดิมที่ดูผอมธรรมดาๆตอนนี้มันกับมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นเหมือนกับมันไปเพาะกายมา
“กูไปเป็นเพื่อนมึงตอนไหน” ผมยิงออกไปสองนัดเข้ากลางตัวร่างมันกระตุกเล็กน้อยก่อนที่กระสุนจะค่อยๆ ออกมาจากท้องมันช้าๆ
“รู้สึกว่าชั้นจะเป็นอมตะนะ ว่ามั้ย” มันมองรูปร่างตัวเองอย่างพึงพอใจ
ผมหยิบไอดีการ์ดบอกเวลาตอนนี้มันบอกว่าเหลืออยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนที่เมืองจะระเบิด“ทางรอดเดียวสินะ” ผมพูดปลงๆ เหลือบมองเครื่องวาร์ปที่เหมือนมันจะคิดว่าผมไม่รู้ว่ามี“สงสัยต้องงวิ่งไล่จับกันหน่อยนะ” ผมรีบเข้าไปในตู้ก่อนจะปิดประตูแล้วรีบกดปุ่มวาร์ป
ทันทีที่กดปุ่มผมได้ยินเสียงร้องลั่นด้วยความโกรธแค้นตามมาจนแผ่วลงไป“มันต้องตามมาเอากระเป๋าแน่” ผมคิดแต่ก็ไม่รู้ว่าข้างในมันคืออะไรก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in